tag:blogger.com,1999:blog-76343564185520615572024-03-18T20:31:14.695-07:00พิทยาจารย์: มุมมองใหม่ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมการอธิบายทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรม บนพื้นฐานการวิพากษ์ วิจารณ์ และต่อยอดองค์ความรู้จากบุรพาจารย์โดยพิทยะ ศรีวัฒนสาร องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรพิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.comBlogger36125tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-44513301270377610662012-04-02T03:24:00.005-07:002012-04-02T03:34:58.150-07:00รายงานการสำรวจโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ(ลายเส้นคูเมือง)<div align="center">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgECVprrAuTn91lDIvBFsUinKkOdUHAKqjn4EhazBOODaU-MWr8OrKU7GEu85GoJFipi2kW8IHKEPRFyH5ae05dfjY1xqt59jRLBeAnsj-2ip9IsZ0iDaHn3dsHmRymPARpRKg70J2pJXVa/s1600/IMG0391A.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5726748409512978658" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgECVprrAuTn91lDIvBFsUinKkOdUHAKqjn4EhazBOODaU-MWr8OrKU7GEu85GoJFipi2kW8IHKEPRFyH5ae05dfjY1xqt59jRLBeAnsj-2ip9IsZ0iDaHn3dsHmRymPARpRKg70J2pJXVa/s320/IMG0391A.jpg" border="0" /></a> คูเมืองด้านใต้ใกล้นิคมโรคเรื้อนซานคามิโล</div><br /><div align="center"><br /></div><br /><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_XKINDiHcNAVIoLZ4rOWZ6A0Z1OdLclfVMWs3dHQayEsozzLrXWbLUggsFJXFs5UWoKUH-GpEQZqliwwhLaMxm3fhka415vts6E4KyVixcRSPWgRf5vB-kQGgMgzvJZn0UfVJADAPeUwX/s1600/IMG0393A.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5726748125348776626" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_XKINDiHcNAVIoLZ4rOWZ6A0Z1OdLclfVMWs3dHQayEsozzLrXWbLUggsFJXFs5UWoKUH-GpEQZqliwwhLaMxm3fhka415vts6E4KyVixcRSPWgRf5vB-kQGgMgzvJZn0UfVJADAPeUwX/s320/IMG0393A.jpg" border="0" /></a><br />คูเมืองด้านใต้มีคูลูกศรผ่ากลางเมือง<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2PGI3SyQdhDc_l4PdMr98rnOyDOu2ZBef2mCJggTPesBK-MUInuF9uWwfbgTUBIZDL3kJY756KHWvwvtYnH_FRCtLnbluseXC-TCVHuI3xqV-dj-K7TEUDDgoNt0N9PcMkkh0etadbdZL/s1600/IMG0390A.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5726747892406574370" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2PGI3SyQdhDc_l4PdMr98rnOyDOu2ZBef2mCJggTPesBK-MUInuF9uWwfbgTUBIZDL3kJY756KHWvwvtYnH_FRCtLnbluseXC-TCVHuI3xqV-dj-K7TEUDDgoNt0N9PcMkkh0etadbdZL/s320/IMG0390A.jpg" border="0" /></a><br />คูเมืองด้านตะวันออกมีการสกัดขอบคูเมืองเว้ายื่นหยักเป็นเหลี่ยมกว้างประมาณ 40 เมตร<br /><br /><div></div><br /></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-73446063188855447832012-04-02T00:49:00.003-07:002012-04-02T03:22:28.765-07:00รายงานการสำรวจโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ อ.โคกปีบ จ.ปราจีนบุรี<div align="justify"><span style="font-size:130%;">เผยแพร่โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span></div><br /><div align="justify"><em>(ระหว่างที่ผู้เขียนรับราชการเป็นนักโบราณคดี(ลูกจ้างชั่วคราว)ในโครงการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อพ.ศ.2529 ผู้เขียนมีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปสำรวจเมืองโบราณศรีมโหสถกับคณะสำรวจภายใต้การนำของคุณมานิต รัตนกุล นายช่างศิลปกรรม7</em> <em>การทำงานภาคสนามโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานแม้จะมีคณะทำงานร่วมทางไปด้วย แต่บ่อยครั้งก็ต้องออกเดินล่วงหน้าไปก่อนเพื่อสำรวจตำแหน่งและชี้เป้าโบราณสถานให้ช่างในคณะสำรวจส่องกล้องและบันทึกตำแหน่งลงในแผนผังเมืองโบราณ อุกรณ์ราคาแพงที่นำติดตัวไปด้วยคือกล้องเพนแท๊กซ์โบราณเลนซ์ใหญ่ (ไม่มีเครื่องวัดแสงในตัว)พร้อมอุปกรณ์ครบชุด หนักมาก บางครั้งแดดจัดมากๆ ก็แอบนอนเอนหลังในคูน้ำบ้าง ใต้ต้นไม้ใหญ่บ้าง ไม่มีใครรู้ สนุกดี บางวันก็มุดเข้าไปสำรวจในพงป่ารกเรื้อ กำลังมองหาร่องรอยโบราณสถาน ก็ตกใจแทบช็อคเพราะได้ยินเสียงร้องกึกก้องและถีบกิ่งไม้เพื่อกระพือปีกบินหนีออกไปอย่างรุนแรงของนกปากใหญ่ ชนิดหนึ่งซึ่งตัวโตมากๆ บางวันก็เจองูเชือกตัวเรียวเล็ก แต่กลับมีนิสัยดุร้าย เลื้อยแผล็บไป แผล็บมาไม่ยอมให้เดินผ่านไปง่ายๆ จนใจเสีย ไม่กล้าเดินหน้าต่อไป บางวันขณะที่เดินสำรวจในตัวเมืองศรีมโหสถอยู่คนเดียว แต่กลับมีเสียงย่ำใบไม้ขยับขลุกๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ พอหยุดเดิน เสียงนั้นก็พลอยหยุดเช่นกัน ในใจก็ขอให้เป็นเพียงกระต่ายก็พอ</em></div><br /><div align="justify"><em></em></div><br /><div align="justify"><em>เยื้องกับทางเข้าวัดสระมรกต มีศาลเจ้าแม่สร้อยระย้า หรือ เจ้าแม่ทับทิม ไม่แน่ใจ ผู้ใหญ่เบิ้ม เล่าว่าบางคืนขับรถผ่าน เคยเหลือบเห็นผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังข้างๆ ศาล เย็นวันหนึ่ง ผู้เขียนอาสายืมรถจักรยานยนต์ป้ายวงคนครัวจากบ้านสระข่อยไปรับช่างสำรวจซึ่งกลับไปเยี่ยมบ้านวันหยุดที่ปากทางหมู่บ้านโคกพนมดี พอขับรถผ่านศาลดังกล่าวรถเจ้ากรรมก็ดับเอาดื้อๆ เสียอย่างนั้น กิตติศัพท์เรื่องผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังอยู่ข้างศาล ทำให้ผู้เขียนพยายามใช้ทั้งมือ ขา เท้าและก้นให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด กึ่งคล่อม กึ่งเข็น กึ่งขี่ กึ่งสตาร์ทเพื่อพาทั้งรถทั้งคนออกจาก "ที่เกิดเหตุ" ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในใจก็สวดพระคาถา "ตัสสะ นะโม ตัสสะ นโม" อึงอล พร้อมกับอธิษฐาน "เจ้าประคุ๊ณ ขอให้มีคนมาช่วยทีเถิด" พอขึ้นถนนใหญ่หน้าแขวงการทางก็มี(น่าจะ)วัยรุ่น 3 คน เดินตะคุ่มๆ ถามมาแต่ไกลข้างหลังว่า " พี่รถเป็นไร" ทั้งๆ ที่กลัวจะเจอเจ้าแม่แบบไม่พึงประสงค์ แต่ก็กลัวคนไม่ดีด้วยเช่นกัน เลยตอบกลับไปว่า "ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ" พอพ้นรัศมีศาลประมาณ 100 เมตรเศษก็สตาร์ทรถติด ในใจก็คิดว่า ขากลับมาคงไม่น่ากลัวเพราะจะมีเจ้าจุ๋มช่างสำรวจติดรถกลับมาด้วย </em></div><br /><div align="justify"><em></em></div><br /><div align="justify"><em>แต่เมื่อไปถึงปากทางเข้าบ้านโคกพนมดี กลับไม่พบช่างสำรวจ ขับรถเครื่องเข้าไปดูที่บ้านพักที่สถานีอนามัยโคกพนมก็ไม่เจอใคร ทำให้รู้สึกกลัวมากเพราะจะต้องขับรถเครื่องคนเดียวผ่านศาลเจ้าแม่กลับไปบ้านป้ายวงอีกครั้ง แต่นึกขึ้นมาได้ว่าแถวนั้นมีทางเข้าหลายซอย จึงเลือกใช้ซอยที่ไม่ต้องผ่านศาลดังกล่าวโดยลำพัง</em></div><br /><div align="justify"><em></em></div><br /><div align="justify"><em><span style="font-size:130%;">วันรุ่งขึ้น ผู้เขียนไม่สามารถออกไปเดินสำรวจทางด้านตะวันออกของเมืองโบราณศรีมโหสถ ถัดจากนิคมโรคเรื้อนต่อได้ เนื่องจากมีอาการมึนศีรษะ ตัวร้อน ไข้สูง เหงื่อออก และหนาวสั่นเล็กน้อย พี่กิตติพงษ์ กุมพิโรเป็นคนปั่นจักยานผู้ชายคานคู่ของตาหลวย(ปั่นแบบเอวอ่อนบิดไปบิดมา)ไปตามหมอสร้อยสน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจอาการที่บ้านพัก</span> แล้วบอกว่าเป็นไข้หัด จากนั้นก็ฉีดยาแก้ไข้ให้จนอาการทุเลาลง ในอีก 2-3 วันต่อมา </em></div><br /><div align="justify"><em></em></div><br /><div align="justify"><em><span style="font-size:130%;">ผู้เขียนไม่ได้เล่าเรื่องรถดับหน้าศาลเจ้าแม่ให้สมาชิกในคณะสำรวจฟัง มิฉะนั้น ลุงสมุทร หมอขวัญ แห่งชายป่าผีปู่ตาบ้านโคกพนมดีคงจะถูกตามไปเยี่ยมไข้แทน)</span></em></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">รายงานการสำรวจโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ หมู่ที่ ๑ บ้านสระมะเขือ, หมู่ที่ ๒ บ้านโคกวัด และ หมู่ที่๗ บ้านหนองสะแก ตำบลโคกปีบ อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี<br /></span><br /><span style="font-size:130%;">คณะสำรวจ<br /></span>นายมานิต รัตนกุล ช่างศิลปกรรม7<br />นายกิตติพงษ์ กุมภิโร ช่างสำรวจ 3<br />นายอรรถพล ธรรมสุทธิ ช่างสำรวจ<br />นายอนุชา(พิทยะ) ศรีวัฒนสาร นักโบราณคดี(ผู้ค้นคว้าและเรียบเรียงรายงานการสำรวจ)<br /></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">คำนำ<br /></span>ระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ๒๕๒๙ และเดือนสิงหาคม – กันยายน ๒๕๒๙ โครงการสำรวจขึ้นทะเบียนโบราณสถานได้ดำเนินการสำรวจและทำแผนผังโบราณสถานในเขตอำเภอโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ อำเภออรัญประเทศ อำเภอพระยา อำเภอวัฒนานคร และอำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบราณสถานในเขตเมืองโบราณศรีมโหสถ ตำบลโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี</div><br /><div align="justify"><br />กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับที่ ๕๒ ตอนที่ ๗๕ ลงวันที่ ๘ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ การสำรวจเมืองโบราณศรีมโหสถในระยะแรก ( พ.ศ. ๒๕๐๓) ใช้วิธีการเดินสำรวจและสเกตซ์ภาพแผนผัง คูน้ำ คันดินของเมืองโบราณ ต่อมาได้อาศัยแผนที่ระวางที่ดิน ( อ้างอิงภาพถ่ายทางอากาศโครงการจัดทำน.ส.๓) ของเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินกิ่งอำเภอโคกปีบเป็นแนวทางในการบันทึกตำแหน่งของโบราณสถานสำคัญๆ แต่ตำแหน่งของโบราณสถานบางแห่งก็คลาดเคลื่อนไปจากความจริงบ้าง และลงตำแหน่งแต่เพียงโบราณสถานที่ถูกขุดแต่งแล้วเท่านั้น และที่สำคัญคือการขึ้นทะเบียนเมืองโบราณศรีมโหสถเมื่อพ.ศ. ๒๔๗๘ นั้น มิได้มีการกันเขตพื้นที่โบราณสถานหรือทำแผนผังอย่างชัดเจน จึงทำให้มีราษฎรบุกรุกเข้าไปถือครองเลี้ยงชีพในเมืองโบราณสถานอันเป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เนินโบราณสถานเป็นจำนวนมากถูกทำลายนอกเหนือไปจากการลักลอบขุดหาโบราณวัตถุ</div><br /><div align="justify"><br />การศึกษาเกี่ยวกับเมืองศรีมโหสถโดยกรมศิลปากรดำเนินการอย่างจริงจัง ระหว่างพ.ศ. ๒๕๐๙ – ๒๕๒๕ การขุดแต่งโบราณสถานทำให้ได้พบหลักฐานที่มีคุณค่าทางโบราณคดีจำนวนมาก แต่การขุดแต่งโบราณสถานก็มิได้แล้วเสร็จโดยสมบูรณ์</div><br /><div align="justify"><br />อย่างไรก็ตาม โครงการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานเชื่อว่า รายงานการสำรวจเมืองศรีมโหสถนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญอันหนึ่งในการศึกษาแหล่งวัฒนธรรมเมืองศรีมโหสถ (หรือ ดงศรีมหาโพธิ)ในอนาคตต่อไป</div><br /><div align="justify"><br />(โครงการสำรวจขึ้นทะเบียนโบราณสถานกองโบราณคดี กรมศิลปากร ๒๐ ก.ย. ๒๕๒๙)<br /><em>สารบัญ<br />ที่ตั้งและสภาพทั่วไป<br />ลักษณะทางปฐพีวิทยา<br />ลักษณะแผนผังเมืองโบราณศรีมโหสถ<br />แหล่งน้ำ<br />-ระบบการระบายน้ำและหล่อเลี้ยงคูเมือง<br />เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองศรีมโหสถ<br />-การค้นพบโบราณวัตถุบางชิ้น<br />ประวัติการขุดแต่งโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ<br />เนินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดแต่งทางโบราณคดี<br />หลักฐานเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณ<br />การกำหนดอายุเมืองโบราณศรีมโหสถ<br />สรุปและข้อคิดเห็นบางประการ<br />ภาพประกอบ<br />บรรณานุกรม<br /></em><br /><span style="font-size:130%;">ที่ตั้งและสถาพทั่วไป</span><br />เมืองศรีมโหสถเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขต ๓ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ ๑ บ้านสระมะเขือ, หมู่ที่ ๒ บ้านโคกวัด และ หมู่ที่ ๗ บ้านหนองสะแก ตำบลโคกปีบ อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี การเดินทางไปยังเมืองโบราณศรีมโหสถ เริ่มต้นที่สี่แยกโคกปีบ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตามทางหลวง จังหวัดหมายเลข ๓๐๗๑ สายโคกปีบ- ศรีมหาโพธิ ระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ เมืองโบราณอยู่ทางด้านขวามือ (ทิศใต้) ของทางหลวงจังหวัด โดยอยู่ห่างจากถนนประมาณ ๒๐ – ๖๐ เมตร ตามแนวของคูเมืองโบราณกับแนวถนน</div><br /><div align="justify"><br />ในทางภูมิศาสตร์เมืองโบราณศรีมโหสถตั้งอยู่ที่ประมาณพิกัด ดังต่อไปนี้<br /><span style="font-size:130%;">ทิศเหนือ</span> ที่ประมาณพิกัด ๔๗ PQR ๖๑๒๓๗๖ หรือประมาณเส้นรุ้ง (Lat.) ที่ ๑๓ องศา ๕๓ ลิบดา ๕๗ พิลิบดาเหนือ เส้นแวง (Long.) ที่ ๑๐๑ องศา ๒๔ ลิบดา ๕๗ พิลิบดาตะวันออก<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันออก</span> ที่ประมาณพิกัด ๔๗ PQR ๖๑๒๓๗๖ หรือเส้นรุ้ง ที่ ๑๓ องศา ๕๓ ลิบดา ๕๕ พิลิบดาเหนือ เส้นแวง ที่ ๑๐๑ องศา ๒๕ ลิบดา ๒๐ พิลิบดาตะวันออก<br /><span style="font-size:130%;">ทิศใต้</span> ที่ประมาณพิกัด ๔๗ PQR ๖๑๒๓๗๖ หรือเส้นรุ้ง ที่ ๑๓ องศา ๕๓ ลิบดา ๒๒ พิลิบดาเหนือ เส้นแวง ที่ ๑๐๑ องศา ๒๔ ลิบดา ๕๗พิลิบดาตะวันออก<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันตก</span> ที่ประมาณพิกัด ๔๗ PQR ๖๑๒๓๗๖ หรือเส้นรุ้ง ที่ ๑๓ องศา ๕๓ ลิบดา ๓๐ พิลิบดา<span style="font-size:130%;">เหนือ</span> เส้นแวง ที่ ๑๐๑ องศา ๒๔ ลิบดา ๓๓ พิลิบดาตะวันออก<br />(ที่มา แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศกรมแผนที่ทหารระวาง ๕๒๓๖ – I ลำดับชุด L ๗๐๑๗ พิมพ์ครั้งที่ ๑ – RTSD บ้านดงกระทงยาม มาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐)<br /><span style="font-size:130%;">สภาพภูมิประเทศ<br /></span>ดงศรีมหาโพธิเป็นดงไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงระหว่างเทือกเขาบรรทัดทางทิศเหนือ และเทือกเขาในจังหวัดฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี ทางทิศใต้ โดยมีที่ราบลุ่มแม่น้ำท่วมถึงคั่นทางตอนเหนือ (ที่มา : แผนที่ประเทศไทย มาตราส่วน ๑ : ๑,๐๐๐,๐๐๐)</div><br /><div align="justify"><br />พื้นที่ของดงมหาโพธิอยู่ในเขตอำเภอโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จ. ปราจีนบุรี บางส่วนของอำเภอพนมสารคามและติดต่อพื้นที่ป่าในเขตกิ่งอำเภอสนามไชย จ. ฉะเชิงเทรา อำเภอพนัสนิคม จ. ชลบุรี และป่าดิบในเขตจังหวัดจันทบุรี</div><br /><div align="justify"><br />ภูมิประเทศที่อยู่ตอนกลางโดยเฉพาะอย่างทางตอนใต้ของดงศรีมหาโพธิ์ในเขตที่ติดต่อกับเทือกเขาทางตอนใต้จะสูงกว่าพื้นที่ทางตอนเหนือและพื้นที่ชายดงโดยรอบทำให้เมืองศรีมโหสถซึ่งตั้งอยู่บนจงอยชายดงทางทิศเหนือ สูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยโดยประมาณ ๒๐ เมตร ในขณะที่พื้นที่สูงสุดของดงศรีมหาโพธิ์ในเขตอำเภอโคกปีบอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๓๓ เมตร (ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๒ กิโลเมตร) และสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๓๖ เมตร ใกล้หนองโพรงในเขตหมู่บ้านโคกพนมดี และหมู่บ้านโป่งตะเคียน (ห่างจากตัวเมืองโบราณไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๖ กม. และ ๑๐ กม. ตามลำดับ)</div><br /><div align="justify"><br />พื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงตอนเหนือของตัวเมืองศรีมโหสถ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๑๗ เมตร และลดระดับความสูงลงไปเรื่อยๆ จนเหลือ ๕-๑๐ เมตร จากระดับทะเลบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรี แม่น้ำประจันตะคาม และคลองสัมพันธ์ ห่างจากตัวเมืองศรีมโหสถ ๒๐ กม. ไปทางเหนือ และ๑๐ กม. ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนที่ราบลุ่มแม่น้ำท่วมถึงทางทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๑๗ เมตร และลดต่ำลงไปเรื่อยจนถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำลำคลองท่าสาดในเขตอำเภอพนมสารคามซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๖-๑๐ เมตร ตามลำดับ</div><br /><div align="justify"><br />จากสภาพภูมิประเทศดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าแหล่งน้ำและลำน้ำสำคัญทางตอนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมืองศรีมโหสถ ได้แก่ หนองลาด สระมะเขือ และบึงเจ้าฟ้า ต่างก็เป็นต้นน้ำของคลองลำผักชีซึ่งไหลไปรวมกับแม่น้ำปราจีนบุรี ทางทิศเหนือในเขตอำเภอศรีมหาโพธิ(ห่างจากเมืองศรีมโหสถ ๑๐ กม.) และไหลไปทางทิศตะวันตกสู่คลองบางหลวงและคลองบางพลวงเพื่อไปรวมกับแม่น้ำปราจีนบุรีที่อำเภอเมืองปราจีนบุรี (ห่างจากเมืองศรีมโหสถไปทางเหนือประมาณ ๒๐ กม.)</div><br /><div align="justify"><br />นอกจากนี้ลำน้ำสำคัญดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีลำน้ำสาขาย่อยๆ และแหล่งน้ำเล็กๆกระจายอยู่ทั่วไปบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ ลำน้ำเหล่านี้อาจเป็นทางคมนาคมสำคัญในอดีตที่ใช้ติดต่อกับเมืองโบราณแห่งอื่นๆ เช่น เมืองโคกขวาง ซึ่งตั้งอยู่ในที่ลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรีและลุ่มน้ำสัมพันธ์ ในเขตอำเภอศรีมหาโพธิ ลำนชุมชนในลุ่มแม่น้ำคลองท่าลาด ในอำเภอพนมสารคามนอกเหนือไปจากการคมนาคมทางบก<br /><br /><span style="font-size:130%;">ลักษณะปฐพีวิทยา</span><br />R.L Rendleton (Tentative series, ๑๙๔๓: Revision, ๑๙๗๑ ; อ้างจาก วิจิตร ทันด่วน กองสำรวจดิน กรมพัฒนาที่ดินกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ได้จำแนกลักษณะดินภายในเมืองศรีมโหสถ บริเวณใกล้เคียงให้อยู่ในชุดดินกบินทร์บุรี</div><br /><div align="justify"><br />ชุดดินกบินทร์บุรี เป็นดินร่วนเหนียวปนเม็ดกรวดเรียกกันว่า ดินลูกรัง เกิดจากวัตถุที่มีอยู่เดิมของหินดินดาน (Shale) และเกิดขึ้นจากพื้นผิวที่เหลือค้างจากการกัดกร่อน พบพอประมาณ บริเวณที่ลาบลุ่มภาคกลางทางทิศตะวันออก (แถบปราจีนบุรี และฉะเชิงเทราเป็นส่วนใหญ่) ความต่างระดับของผิวดิน มีตั้งแต่เกือบราบเรียบไปจนถึงสภาพพื้นที่ลูกคลื่นลอนลาด ความลาดชันประมาณ ๑-๔ % สภาพภูมิอากาศแบบสภาพทุ่งเขตร้อน (Savanah) ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ๒,๒๐๐ อุณหภูมิโดยเฉลี่ย ๒๗ องศา</div><br /><div align="justify"><br />ชุดดินกบินทร์บุรี มีการระบายน้ำดี แต่การไหลซึมลงไปในดินมีอัตราปานกลางถึงช้า เนื่องจากมีชั้นเนื้อแข็งของแผ่นศิลาแลงเบาๆ กั้นอยู่เบื้องล่าง ระดับความลึกประมาณ ๑-๑.๕ เมตร จากผิวดินตลอดปี</div><br /><div align="justify"><br />ชุดดินกบินทร์บุรี หนาประมาณ ๔๐ –๕๐ เซนติเมตร ถัดลงไปเป็นชั้นศิลาแลง หนา ๒-๓ เมตร (ช่วงนี้จะมีแผ่นชั้นศิลาแลงแข็งแทรกอยู่ในแนวขนาน ความลึกประมาณ ๑-๑.๕ เมตร จากผิวดิน) ดังตัวอย่างที่ผนังสระแก้วเป็นต้น<br /><span style="font-size:130%;">ลักษณะแผนผังเมืองโบราณศรีมโหสถ<br /></span>เมืองศรีมโหสถเป็นเมืองโบราณที่มีคูน้ำคันดินสี่เหลี่ยมค่อนข้างรี มุมมนล้อมรอบ ขนาดประมาณ ๗๐๐ x ๑,๐๐๐ เมตร คิดเป็นเนื้อที่ ๗๔๒ ไร่ ๒ งาน ๒๕ ตารางวา ตัวเมืองตั้งอยู่ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ คูเมืองทั้งสี่ด้านกว้างประมาณ ๑๕-๒๐ เมตร คูเมืองด้านทิศเหนือลึก ๑-๓ เมตร เศษ ทิศตะวันออกลึก ๓-๖ เมตร ทิศใต้ ๔-๘ เมตร ยาว ๑๐ เมตร ขอบด้านนอกถูกขุดเว้าออกไปมีลักษณะเป็นเหลี่ยม กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร ความกว้างของคูเมืองช่วงนี้ ๔๓ เมตร (ดังภาพลายเส้น)</div><br /><div align="justify"><br />คูเมืองทางทิศใต้มีลักษณะพิเศษอยู่ ๒ จุด เช่นเดียวกับตัวเมืองด้านทิศตะวันออกจุดแรกอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของโรงพยาบาลโรคเรื้อน ลักษณะเป็นขอบสันศิลาแลงดันนอกยื่นเข้าหาขอบด้านในคูเมือง ขนาดกว้าง ๘ เมตร ยาว ๑๕ เมตร ทำให้คูเมืองจุดนี้กว้างเพียง ๗ เมตร จุดที่ ๒ อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของโรงพยาบาลโรคเรื้อน ลักษณะของคูเมืองตอนนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อนกว่าทุกด้าน (ดังภาพลายเส้น)</div><br /><div align="justify"><br />ขอบคูเมืองที่มีลักษณะพิเศษทั้งสองจุดนี้ อาจจะเป็นที่ตั้งของเชิงเทินป้อมยามกับประตู ทางเข้าออกเมืองโบราณทางด้านทิศตะวันออกและด้านใต้ โดยอาจใช้สะพานชักเป็นทางข้ามคูเมืองส่วนประตูด้านอื่นขณะนี้ยังสำรวจไม่พบ</div><br /><div align="justify"><br />บนสันด้านในของคูเมืองมีคันดินสูงประมาณ ๑.๕๐-๑๕ เมตร กว้าง ๒ เมตร ล้อมรอบอยู่ทุกด้านคันดินบางช่วงบางตอนทางทิศเหนือ และทิศตะวันออกถูกไถเกลี่ยลงจนราบเรียบ</div><br /><div align="justify"><br />ตอนกลางของตัวเมืองมีคูน้ำ กว้าง๑๒ – ๑๕ เมตร วางแนวแบ่งตัวเมืองออกเป็น 2 ส่วนคูน้ำนี้เริ่มต้นจากทางทิศใต้ห่างจากคูเมืองทางทิศใต้ประมาณ ๑๐ เมตร พุ่งไปทางทิศเหนือ เกือบเป็นเส้นตรงความยาวประมาณ ๑๐๐ เมตรเศษ คูน้ำนี้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกความยาวประมาณ ๒๐๐ เมตร ลึก ๓-๔ เมตรเศษ เว้นช่วงไปประมาณ ๒๐ เมตร ช่วงที่สองยาวประมาณ ๕๐๐ เมตร ไปบรรจบกับคูเมืองทางทิศเหนือ ตอนปลายของคูมีสภาพตื้นเขินมากเนื่องจากการไถปรับพื้นที่เพื่อทำการเพาะปลูกสร้างบ้านเรือนและเล้าไก่ (พันธุ์เนื้อ) คล่อมทับปลายคู คูน้ำนี้ชาวบ้านเรียกว่า “คูลูกศร”</div><br /><div align="justify"><br />ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ภายในตัวเมือง มีคันดินโบราณขนาดใหญ่สูง ๒ เมตร ความกว้างวัดจากชายคันดิน ๒๐ เมตร ยาว ๒๐๐ เมตร ทอดตัวเป็นแนวจากคูเมืองด้านทิศตะวันตกวกไปหาคูเมืองทางทิศใต้ โดยวางตัวเหลื่อมกับคันดินนอกคูเมืองทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งกว้างประมาณ ๕-๑๐ เมตร ยาว ๙๕๐ เมตร ทอดเป็นแนวลงไปทางใต้ระหว่างสระแก้วกับสระขวัญ ก่อนจะหักมุมไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (เกือบขนานกับคูเมืองด้านใต้)จรดหนองแฟบแล้วขาดช่วงไปประมาณ ๕๐ เมตร เนื่องจากมีถนนลูกรังตัดผ่านแล้วจึงต่อยาวไปอีก ๑๐๐ เมตร และขาดหายไปในนิคมโรคเรื้อน ซึ่งมีระดับความสูงของภูมิประเทศมากกว่า คันดินช่วงนี้สูงประมาณ ๓ เมตรเศษโดยตลอด</div><br /><div align="justify"><br />สำหรับคันดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในคูเมืองนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการเรียงศิลาแลงเป็นชั้นๆ คล้ายเทคนิคการเรียงศิลาแลงในโบราณสถาน และยังพบเศษภาชนะดินเผากับเศษเครื่องเคลือบดินเผากระจายอยู่ด้วย จึงอาจเป็นไปได้ว่าคันดินนี้จะมีหน้าที่เป็นปราการเชิงเทิน หรือ เครื่องล้อมพิเศษของพื้นที่สำคัญในตัวเมืองก็ได้</div><br /><div align="justify"><br />ภายในตัวเมืองโบราณมีเนินโบราณสถานประมาณ ๒๗ แห่ง ขุดแต่งโดยหน่วยศิลปากรที่ ๕ จำนวน ๑๐ แห่ง ได้แก่โบราณสถานหมายเลข ๒ -๔ - ๖- ๘ -๑๔- ๑๕- ๒๒- ๒๕ และ๒๖ ยังไม่ได้ขุดแต่ง๑๗ แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโบราณสถานที่ถูกลักลอบขุดหาโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ</div><br /><div align="justify"><br />เนินโบราณสถานทางทิศเหนือของตัวเมืองมีทั้งสิ้น ๑๐ เนิน ขุดแต่งโดยหน่วยศิลปากรที่ ๕ จำนวน๔ เนิน ได้แก่โบราณสถานหมายเลข ๑- ๒- ๑๑- ๑๖ เนินโบราณสถานที่เหลือ ๘เนิน ถูกลักลอบขุดหาโบราณวัตถุจนหมดสภาพ<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันออก</span>ของเมืองโบราณ มีเนินโบราณสถานประมาณ ๔๕ เนิน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่หมู่บ้านสระมะเขือ ขุดแต่งโดยหน่วยศิลปกรที่ ๕ จำนวน๗ เนิน ได้แก่โบราณสถานหมายเลข ๙-๑๐ –๑๗- ๑๘-๑๙-๒๐-๒๑ นอกนั้นเป็นโบราณสถานที่ถูกลักขุดและถูกไถพื้นที่จนหมดสภาพ<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันตก </span>มีเนินโบราณสถานอยู่ ๑๒ แห่ง ขุดแต่งโดยหน่วยศิลปกรที่ ๕ จำนวน ๑ แห่ง ได้แก่ โบราณสถานหมายเลข ๓ (ภูเขาทอง) นอกนั้นเป็นโบราณสถานที่ถูกลักขุดและถูกไถพื้นที่จนหมดสภาพ ห่างจากมุมเมืองทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๗๐ เมตร พบร่องรอยคูน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๒๕๐ x ๔๐๐ เมตร คูน้ำดังกล่าวมีลักษณะดังนี้<br /><span style="font-size:130%;">ทิศเหนือ</span> บางส่วนตื้นเขินจนหมดสภาพเนื่องจากการทำไร่มันสะปะหลังยกเว้นมุม <br />ทิศตะวันออกเฉียงเหนือยังคงลึกประมาณ ๑ เมตร<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันออก</span> ลึกประมาณ ๑ เมตร กว้าง ๒ เมตรเศษ บางตอนตื้นเขินมีศิลาแลงกระจายอยู่เป็นจุดๆ<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันตก</span> ตื้นเขินจนหมดสภาพเนื่องจากการทำไร่มันสะปะหลัง และปลูกต้น มะม่วงในร่องคูยังคงสังเกตเห็นสันคูได้</div><br /><div align="justify"><br />คูน้ำทางทิศเหนือนี้ มีทางน้ำไหลสู่หนองน้ำทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองโบราณ ภายใน<br />พื้นที่ที่ถูกคันคูล้อมรอบนี้มีเนินโบราณสถานที่ตั้งอยู่อย่างน้อย ๒ เนิน เนินโบราณสถานดังกล่าว ถูกไถจน<br />หมดสภาพเหลือเป็นเพียงซากกองอิฐและศิลาแลงทางทิศเหนือของคูน้ำ มีบ่อน้ำขนากเล็กประมาณ ๔ แห่ง<br />และพบเศษกระเบื้องดินเผามุงหลังคากระจายอยู่ทั่วไป แต่ไม่พบเศษภาชนะดินเผาซึ่งแสดงถึงหลักฐานการ<br />อยู่อาศัยในพื้นที่ ซึ่งคูน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้ล้อมรอบรวมเนินโบราณสถานภายในตัวเมืองและรอบนอก<br />เมืองศรีมโหสถ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑๑๖- ๑๒๐ เนิน<br />แหล่งน้ำ<br />ภายในตัวเมืองศรีมโหสถ มีบ่อน้ำประมาณ ๒๐ บ่อ แบ่งเป็นบ่อกลม ๒ บ่อ บ่อสี่เหลี่ยม ๑๘ บ่อ มีสระโบราณ ๓ สระ ได้แก่ สระมะเฟือง สระมะกรูด และสระทองแดง<br /><span style="font-size:130%;">ทิศเหนือของตัวเมือง</span> พบบ่อน้ำโบราณ ๑ บ่อ สระ ๑๒ สระ ได้แก่ สระ มะพร้าว สระคู่ สระปลาหมอเป็นต้น<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันออกของตัวเมือง</span> พบบ่อน้ำโบราณ ๖๐ บ่อ สระ ๑๐ สระ หนองน้ำ ๒<br />แห่ง <span style="font-size:130%;">ได้แก่</span> หนองขนาก หนองจระเข้<br /><span style="font-size:130%;">ทิศใต้</span> พบบ่อน้ำโบราณ ๔๐ บ่อ บ่อกลม ๑ บ่อ บ่อเหลี่ยม ๓๙ บ่อ สระ ๑๙ สระ ได้แก่ สระแก้ว สระขวัญ สระกระท้อน<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันตก</span> พบบ่อน้ำโบราณ ๕ บ่อ สระ ๖ สระ ได้แก่ สระขนุน (สระตาเวิน) เป็นต้น</div><br /><div align="justify"><br />รอบๆบริเวณสระน้ำและบ่อน้ำที่พบภายในเมืองจะมีหลักฐานการอยาอาศัย หรือการตั้งชุมชนโบราณสถานอย่างหนาแน่น รวมทั้งบริเวณทิศเหนือและทิศตะวันออก นอกคูเมืองออกไปแต่ไม่ไกลนัก ส่วนทิศใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ และทิศตะวันตกไม่พบหลักฐานอยู่อาศัย แม้จะมีบ่อน้ำและสระน้ำกระจายอยู่ทั่วไปก็ตาม<br /><span style="font-size:130%;">ระบบระบาบน้ำและการหล่อเลี้ยงคูเมือง</span><br />เนื่องจากสภาพพื้นที่ทางตอนใต้ของเมืองโบราณศรีมโหสถ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยมากกว่าทางตอนเหนือ ดังนั้น คูเมืองทางด้านใต้จึงถูกขุดลึกกว่าคูเมืองทางทิศเหนือ เพื่อให้มีคุณสมบัติในการเก็บกักและทกน้ำเอาไว้ใช้ตลอดปีได้อย่างเพียงพอ</div><br /><div align="justify"><br />นอกจากคูเมืองศรีมโหสถจะอาศัยน้ำจากระดับน้ำใต้ดินในการหล่อเลี้ยงคูเมืองแล้วยังพบว่ามีทางน้ำไม่น้อยกว่า ๒ เส้น เส้นทางซึ่งชักน้ำมาสู่คูเมืองแหล่งน้ำนี้อาจใช้หล่อเลี้ยงคูเมืองให้มีน้ำขังในฤดูกาลที่จำเป็นได้แก่</div><br /><div align="justify"><br />๑. ทางน้ำจากสระบัวล้า ในเขตสระมรกตผ่านสระลึก (หลังโรงเรียนโคกปีบวิทยาคม) แล้วไหล<br />ลงหนองแฟบซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของตัวเมือง ระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร ทางน้ำนี้เดิมมีขนาดกว้างประมาณ ๒ – ๓ เมตร ลึก ๑ – ๒ เมตร ปัจจุบันถูกไถปรับพื้นที่เพื่อทำไร่มันสำปะหลังจนหมดสภาพไปแล้วแต่ชาวบ้านหลายคนยืนยันว่า เมื่อสิบปีที่แล้วเคยลงไปไล่หมูป่าในท้องร่องนี้ในหน้าฝน ร่องรอยของทางน้ำนี้ยังคงเห็นได้ชัดทางตอนใต้ของหนองแฟบมีบางตอนที่ถูกถนนลูกรังสร้างทับ</div><br /><div align="justify"><br />๒. ทางน้ำทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคูเมือง ทางน้ำนี้ถูกชักมาจากคูน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด <br />๑๕๐ x ๒๕๐ เมตร จากสระมะเขือตรงไปยังหนองน้ำด้านทิศตะวันออกของนิคมโรคเรื้อนโดยมีสระน้ำหลายสระอยู่ใกล้ๆ</div><br /><div align="justify"><br />ในกรณีที่คูเมืองรับน้ำมากเกินปริมาณที่ต้องการ ก็พบว่ามีทางระบายออกนอกตัวเมืองถึงสามจุดด้วยกัน จากคูเมืองด้านเหนือไปสู่ท้องนาและลำน้ำคลองผักชี<br /><span style="font-size:130%;">จุดแรก</span> ระหว่างที่ดินของนายวิชัย เทวฤทธิ์ กับที่ดินของ นางทองมี มงคล ลักษณะเป็นทางน้ำในหน้าฝนและเป็นทางเดินในหน้าแล้ง<br /><span style="font-size:130%;">จุดที่สอง</span> ระหว่างที่ดินของนางเจี๊ยบ ช่างเก็บ กับนางไข่ เมตตา ไหลลงทุ่งทางทิศเหนือของเมืองศรีมโหสถ<br /><span style="font-size:130%;">จุดที่สาม</span> หน้าบ้านผู้ใหญ่เสนอ ธรรมะ (ตรงที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านหนองสระแก) ไหลลงสู่ลำน้ำผักชี</div><br /><div align="justify"><br />อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคูเมืองมีสภาพตื้นเขิน และระดับน้ำใต้ดินอยู่ลึกกว่าเดิมอีกมาก ดังนั้น สภาพปัจจุบันของคุเมืองจึงมีน้ำหล่อเลี้ยง แต่ในหน้าฝนเท่านั้น และเนื่องจากเมืองศรีมโหสถตั้งอยู่บนพื้นที่ลูกคลื่นตอนลาด การไหลซึมลงไปในดินไม่ดีนัก ดังนั้นประโยชน์อีกแง่หนึ่งของการขุดบ่อน้ำและสระน้ำจำนวนมากในที่ต่างๆ นอกคูทางทิศใต้และทิศตะวันนออก คือ การป้องกันมิให้น้ำไหลบ่าเข้าสู่ตัวเมืองหรือคูเมืองรวดเร็วจนเกินไป อันอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันก็เป็นได้<br /><span style="font-size:130%;">เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองศรีมโหสถ</span></div><br /><div align="justify"><br />เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองศรีมโหสถที่จดจำเล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน มีทั้งนิทานพื้นบ้านกับเรื่องเล่า ประวัติการค้นพบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญๆ นิทานพื้นบ้านที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองศรีมโหสถนี้เป็นเรื่องที่อธิบายถึงความเป็นมาของคันดินโบราณสองแนว ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ถนนพระมโหสถ กับ ถนนพระนางอมรเทวี ถนนพระมโหสถนี้เป็นคันดินออกจากตัวเมืองศีมโหสถไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านบ้านสระมะเขือ บ้านหัวซา และสิ้นสุดที่บ้านเกาะสมอ ส่วนถนนนางอมรเทวี เริ่มต้นที่บ้านโคกขวาง (เมืองโบราณโคกขวาง) ไปทางทิศตะวันตกผ่านบ้านเกาะม่วง บ้านเกาะเค็ด สิ้นสุดที่บ้านหัวไผ่ </div><br /><div align="justify"><br />เนื้อความของนิทานพอจับใจความได้ว่า ท้าวมโหสถผู้ครองเมืองศรีมโหสถมีความรักใคร่พระนางอมรเทวีแห่งเมืองโคกขวางยิ่งนัก จึงส่งทูตไปเจรจาทาบทามหวังอภิเษกและยกนางขึ้นเป็นมเหสี แต่นางอมรเทวีเสนอเงื่อนไขว่า ถ้าต้องการนางเป็นมเหสีขอให้ทั้งสองฝ่ายสร้างถนนแข่งกันคนละสาย ให้เสร็จเชื่อมกันก่อนดาวประจำเมืองหรือดาวรุ่งโคจรถึงจะยอมแต่งงาน ถ้าแม้นสร้างถนนไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาก็จะไม่ยอมแต่งงานกับท้าวมโหสถ</div><br /><div align="justify"><br />ดังนั้น เมื่อกำหนดเวลาเรียบร้อยแล้วทั้งสองฝ่ายจึงเกณฑ์ผู้คนสร้างถนนออกจากเมืองของตนเอง แข่งขันกัน จวบจนใกล้จะเสร็จ นางอมรเทวีก็ทำอุบายผูกโคมไฟแขวนไว้บนยอดไม้ ท้าวมโหสถเห็นเช่นนั้นจึงเสียใจเป็นอันมากที่ไม่อาจสร้างถนนให้เชื่อมกันได้ จึงโยนขนมขันหมากทิ้ง ที่บริเวณหนองขันหมากซึ่งอยู่หน้าหมู่บ้านเกาะสมอ</div><br /><div align="justify"><br />นิทานเรื่องนี้จะถ่ายทอดสืบต่อกันมานานเท่าไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่นักมานุษวิทยาบางท่านเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เล่ากันในหมู่คนลาวที่ถูกกวาดต้อนมาไว้ที่จังหวัดปราจีนบุรี ในสมัยรัชกาลที่ ๓ (ศรีศักร วัลลิโภดม เมืองโบราณในภาคตะวันออก รายงานการสัมมนาวัฒนธรรมภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน ๑๓ –๑๔ ส.ค. ๒๕๒๔ ) เพื่ออธิบายเกี่ยวกับสถานที่ หรือปรากฏการณ์บางอย่างตามความเข้าใจในขณะนั้น<br /><br /><span style="font-size:130%;">การค้นพบโบราณวัตถุสำคัญบางชิ้นที่เมืองศรีมโหสถ</span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a><br />ในปีพ.ศ. ๒๓๙๙ กำนันอินทร์กับนายยังบุตรชาย ขุดได้พระพุทธรูปทองคำหนัก ๘ ตำลึง ที่ป่าชายดงศรีมหาโพธิ์จึงนำมอบให้พระเกรียงไกรกระบวนยุทธ์ ปลัดเมืองฉะเชิงเทรา ทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “พระนิรันตราย” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวว่า<a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี สถานที่ที่พบพระนิรันตรายเชื่อกันว่า คือ บริเวณเจดีย์ภูเขาทอง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ได้ประมาณ ๗๐ เมตร</div><br /><div align="justify"><br />ในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ นายเฉย บิดาเป็นชาวจีน ได้ว่าจ้างคนขุดดิน ทำสวนผักภายในเมืองโบราณ ขุดได้รูปหล่อครุฑสำริดที่บริเวณด้านเหนือของสระทองแดงไม่ไกลจากคูลูกศรนัก ต่อมาได้นำไปมอบให้แก่บาทหลวงเปรัวร์ชาวฝรั่งเศส บาทหลวงเปรัวร์ผู้นี้จึงได้นำไปมอบแก่กรมการเมืองปราจีนบุรี</div><br /><div align="justify"><br />เมือพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๖ เสด็จฯ ประพาสมณฑลปราจีนบุรี ในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ สมุหเทศภิบาลมณฑลปราจีนบุรี ขณะนั้นได้นำประติมากรรมครุฑสำริดรูปนี้ ทูลเกล้าฯถวาย ต่อมาจึงโปรดฯให้ซ่อมแซมรูปครุฑโบราณนั้น ให้งดงามเพื่อติดบนยอดธงประจำแผ่นดินอันใหม่ ซึ่งโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น แล้วพระราชทานนามว่า ธงมหาไพชยนต์ธวัช<a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a> ปัจจุบันนี้เป็นธงประจำกองทัพบก ครุฑสำริดยอดธงนี้คงจะยืนย่อเข่ากางปีก ลักษณะคล้ายอย่างพระราชสัญจกรตราครุฑพ่าห์ในรัชกาลที่ ๖ จึงทำให้ชาวบ้านสูงอายุแห่งบ้านโคกวัดบางคนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า ทรงนำครุฑที่พบในเมืองศรีมโหสถเป็นตราราชการแผ่นดิน</div><br /><div align="justify"><br />ราวเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๔ ผู้ป่วยนิคมโรคเรื้อนชานคามิลโล จำนวน ๕ คนได้ขุดพบพระพุทธรูปศิลาทรายสีเขียวปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ที่โคกดินทิศตะวันออกเฉียงเหนือในเขตนิคมโรคเรื้อน พระพุทธรูปดังกล่าวเป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดีชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อทวารวดี” ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ศาลาหน้าสถานีตำรวจภูธร อำเภอโคกปีบ</div><br /><div align="justify"><br />นอกจากโบราณวัตถุสำคัญข้างต้นแล้วยังมีโบราณวัตถุอีกหลายชนิดที่ค้นพบภายในตัวเมืองศรีมโหสถ โบราณวัตถุบางชิ้น ( เช่น เทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกแขกบางองค์ พระพุทธรูปธรรมจักรศิลา ลูกปัดแบบที่พบที่เมืองออกแก้ว ซึ่งกำหนดอายุสมัยฟูนัน พุทธศตวรรษที่ ๖-๑๑ และศิวลึงค์) ก็ไม่สามารถกำหนดอายุตำแหน่งที่พบให้แน่นอนได้ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาและตีความทางโบราณคดี แต่โบราณวัตถุบางชิ้นก็สามารถบอกตำแหน่งที่พบได้อย่างแน่นอนดังจะกล่าวถึงต่อไป<br />ประวัติการขุดแต่งโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ<br /><span style="font-size:130%;">หน่วยศิลปากรที่๕</span> จังหวัดฉะเชิงเทราได้ดำเนินการขุดแต่งโบราณสถานทั้งภายในตัวเมืองและนอกเมือง ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๙ – ๒๕๑๙ รวมทั้งสิ้น ๒๖ แห่ง เนินโบราณสถานส่วนใหญ่จะมีร่องรอยการลักขุดหาโบราณวัตถุก่อนหน้าการขุดแต่งของหน่วยศิลปากรที่ ๕ ดังผลการขุดดังต่อไปนี้<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑</span> <br />อยู่นอกตัวเมืองทางทิศเหนือเยื้องตอนปลายของคูลูกศร ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒๐ เมตร อยู่ใกล้กับที่ดินของ นายสมชาติ ไชยานุสรณ์ ซึ่งเช่าที่ดินของมิซซังคาทอลิกอยู่อาศัย หมู่ที่ ๒ บ้านโคกวัด ตำบลโคกปีบ ลักษณะเป็นรากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยม กว้าง ๘ เมตร และ ๖.๕๐ เมตร ยาวด้านละ ๙.๕๐ เมตร ก่อด้วยอิฐแบบทวารวดี โบราณวัตถุที่ค้นพบจากการขุดแต่งได้แก่ เศษภาชนะดินเผาแบบทวารวดี เศษเครื่องจีนและแท่นประดิษฐานรูปเคารพทำด้วยศิลาแลง ปัจจุบันมีสภาพทรุดโทรมมากเนื่องจากถูกปล่อยทิ้งไว้และขาดการดูแลรักษาภายหลังการขุดแต่ง<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๒</span><br />อยู่นอกตัวเมืองทางทิศเหนือติดถนนสายโคกปิบ – ศรีมโหสถ ระหว่างที่ดินของนายเรือง ธงชัย กับ นายกลิ่น บุญมี (ใกล้กับที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านหนองสระแก) ห่างจากคูเมือง ๒๐ เมตร <br />ลักษณะเป็นรากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมก่อด้วยศิลาแลง กว้างด้านละ ๗.๖๐ เมตร ยาวด้านละ ๘.๒๐ เมตร สูง ๑.๑๕ เมตร รากฐานทางด้านทิศใต้และด้านทิศตะวันออกบางส่วนแสดงให้เห็นว่ายังขุดแต่งไม่แล้วเสร็จโดยสมบูรณ์<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๓</span><br />ตั้งอยู่นอกตัวเมืองห่างจากคูเมืองด้านทิศตะวันตกประมาณ ๘๐ เมตร อยู่ทางใต้เขตที่ดินของนายมานิต เพียรงาม ลักษณะเป็นเนินดินรูปกลม สูงประมาณ ๑๐ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ ๒๐ เมตร รอบฐานมีเสาศิลาแลงทรงกลมและทรงแปดเหลี่ยมวางรายรอบเป็นระยะๆ นักโบราณคดีบางท่านกล่าวว่า เจดีย์ภูเขาทองนี้อาจมีลักษณะคล้ายกับมหาสถูปสาญจี ประเทศอินเดีย ซึ่งอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ ๓ (นิคม มูสิกะคามะและบรรจบ เทียมทัด, ๑๕๑๕) และเชื่อกันในสมัยรัชกาลที่ ๔ชาวบ้านขุดพระนิรันตราย ได้ที่นี่<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๔</span><br />ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมือง อยู่ห่างจากคูเมืองด้านใต้ไปทางทิศเหนือ ประมาณ ๑๒๕ เมตร ลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่อยู่ในที่ดินของนางหวน โพธิ์ศรี ปัจจุบันเนินดินถูกไถปรับจนหมดสภาพแล้ว<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๕</span><br />ตั้งอยู่บนสันคูนอกเมือง ห่างจากคูเมืองด้านใต้ประมาณ ๒๐ เมตร อยู่ในที่ดินของหมอซ้ง วงษ์สิน ลักษณะเป็นรากฐานอาคารก่อด้วยอิฐและศิลาแลง รูปสี่เหลี่ยมกว้าง ๑๕.๒๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร สูง ๒๐ เซนติเมตร มีบันไดศิลาแลงทางด้านเหนือ กว้าง ๒.๑๐ เมตร ตรงกลางมีรอยลักขุดหาโบราณวัตถุและลักษณะเป็นอิฐแบบทวารวดี มีสถูปอยู่สองข้าง ทำด้วยหินทรายสีเขียว สูง ๗๕ เซนติเมตร ที่โบราณสถานแห่งนี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๖</span><br />จากรายงานการขุดแต่งโบราณสถานของหน่วยศิลปกรที่ ๕ โบราณสถานหมายเลข ๖ ตั้งอยู่ในตัวเมืองโคกปีบด้านตะวันตกอยู่ในที่ดินของ มิซซัง คาทอลิกโคกวัด ห่างคูเมืองราว ๑๐๐ เมตร และห่างวิหารหมายเลข ๔ ราว ๒๐๐ เมตร</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะเป็นรากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ ๕.๕๐ เมตร ยาวด้านละ ๘.๘๐ เมตร สูง ๙๐ เซนติเมตร </div><br /><div align="justify"><br />แต่จากการสำรวจและการตรวจสอบตำแหน่งโบราณสถานหมายเลข ๖ ในแผนผังเดิม ที่ทำเอาไว้เดิมเปรียบเทียบกับแผนผังที่สำรวจวัดใหม่ ปรากฏว่าไม่สามารถลงตำแหน่งโบราณสถานหมายเลข ๖ ได้<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๗</span><br />ตั้งอยู่ในเมืองห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๕๕ เมตร และห่างจากสระทองแดง ๕๐ เมตร อยู่ในสวนของนางลำไย จำพานิช ซึ่งเช่ามิซซังคาทอลิก ทำกินลักษณะเป็นฐานอาคารสูง ๑ เมตร ปัจจุบันถูกลักลอบขุดเรื้อฐานศาลาแลงออกเพื่อค้นหาโบราณวัตถุจนกลายสภาพเป็นบ่อน้ำ<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๘</span><br />ตั้งอยู่ในตัวเมืองห่างจากสระมะกรูดไปทางทิศตะวันตก ๓๕ เมตร ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๑๐๐ เมตร อยู่ในที่ดินของ มิซซังคาทอลิกโคกวัด ลักษณะเป็นเนินดิน กว้างประมาณ ๒๐ เมตร ยาว ๑๕ เมตร สูง ๕๐ เซนติเมตร สภาพปัจจุบันถูกไถปรับพื้นที่เป็นไร่จนหมดสภาพ<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๙</span><br />ตั้งอยู่นอกเมืองห่างจากคูเมืองด้านตะวันออก ประมาณ ๕๕ เมตร อยู่ในสวนของนายคำพอง มีชัย ลักษณะเป็นเนินดินทรงกลม สูง ๓ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๑๕ เมตร มีแท่งศิลาแลงสี่เหลี่ยมกระจายอยู่<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๐</span><br />ตั้งอยู่นอกเมืองห่างจากคูเมืองด้านตะวันออก ประมาณ ๔๕ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๙ ไปทางเหนือ ๗๐ เมตร อยู่ในสวนของนายชุบ ดาราย</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ ๑๑.๕๐ สูง ๕ เซนติเมตร สภาพปัจจุบันถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ และถูกขนย้ายเอาแท่นประดิษฐานรูปเคารพ ขนาด ๕๐ x ๕๐ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ไปไว้ที่โรงเรียนบ้านสระมะเขือ<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๑</span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn4" name="_ftnref4">[4]</a><br />ตั้งอยู่นอกเมืองห่างจากคูเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ๑๐๐ เมตร ห่างจากหนองขนากไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๑๐๐ เมตร อยู่ในที่ดินของนายเหมือน ดาราย</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยม กว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๕ เมตร สูง ๑ เมตร โบราณวัตถุที่พบจากการขุดแต่ง ได้แก่ แท่นประดิษฐานรูปเคารพ กว้าง ๘๖ เซนติเมตร ยาว ๑.๕๐ เมตร สูง ๕๕ เซนติเมตร มีรูตรงกลาง ๓ รู อาจเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (ด้านขวา) พระพุทธรูป (กลาง) และนางปัญญาบารมี(ด้านซ้าย) พบแท่นประดิษฐานรูปเคารพศิลาทรายและโบราณวัตถุทำจากสำริดรวม ๒๖ ชิ้น ได้แก่ กรอบคันฉ่องสำริด มีจารึกภาษาขอมอักษรโบราณระบุจุลศักราช ๑๑๑๖ (พ.ศ. ๑๗๓๙ ร่วมสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งอาณาจักรขอม) ข้อความที่จารึกมีความหมายเกี่ยวกับการที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงบริจาคเครื่องไทยธรรมแก่อโรคยาศาลา ณ เมืองศรีวัตสะปุระหรืออ่านใหม่ว่า“อวัธยปุระ” นอกจากนี้มีสังข์สำริดจารึก เชิงเทียนสำริด มีจารึกลงศักราช ๑๑๑๕ ความว่า “พระธรรมไทยพระบาทมรเตงอัญศรีชยวรมเทว ทรงมอบให้แก่อโรคยาศาลาสังโวก” ขันสำริดจารึกจุลศักราช ๑๑๐๙ (๑๗๓๐) ความว่า “ไทยธรรมพระบาทกรเตงอัญศรีวิเรนทราบดีรมทรงถวายแด่ กมรเตงชคตศรีวิเรศวร ณ สังโวกต” พระพุทธรูปนาคปรคสำริด สูง ๑๕.๕ เซนติเมตร หน้าตักกว้าง ๖ เซนติเมตร ประติมากรรมนางปัญญาบารมี สูง ๑๕.๕ เซนติเมตร และพระกรขวาของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรถือลูกประคำศิลาทราย เป็นต้น<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๒</span><br />อยู่นอกตัวเมืองออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากคูเมือง ๑๕๕ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข๕ ไปทางทิศใต้ ๑๓๐ เมตร โดยมีสระปทุมอยู่ทางทิศเหนือ และสระขวัญอยู่ทางทิศใต้ระยะทางใกล้ๆกัน</div><br /><div align="justify"><br />โบราณสถานสระแก้วเป็นสระโบราณรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๑๗.๕๐ เมตร ยาว ๔๒.๖๐ เมตร ลึก ๕.๔๐ เมตร ปากสระกว้าง ๔ เมตรหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ผนังสระทุกด้าน แกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆลงบนผนังศิลาแลง ที่ปากสระมีร่องรอยการแกะสลักศิลาแลงเป็นบันไดลงสู่สระได้สภาพของภาพสลักค่อนข้างเลอะเลือน ผนังสระบางด้านมีรอยปริแยกและบางด้านก็หักพังลงมา</div><br /><div align="justify"><br />ภาพสัตว์ที่ปรากฏบนผนังสระแก้ว มีทั้งสิ้น ๔๑ ภาพ ได้แก่ ช้าง สิงห์ มกร เป็นต้น อยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยม กว้าง ๑.๒๐ เมตร ยาว ๓.๑๕ เมตร และกว้าง๑.๑๐ เมตร ยาว ๑.๒๐ เมตร ภาพสลักทั้งหมดจะแสดงให้เห็นเพียงรูปด้านข้างเท่านั้น ซึ่งคล้ายกับภาพสัตว์ในกรอบสี่เหลี่ยมที่พบภาชนะดินเผา จากการขุดค้นที่เมืองโบราณคูเมือง อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งกำหนดอายุราวกับพุทธศตวรรษที่ ๑๒ –๑๔ นอกจากนี้ยังคล้ายกับภาพสลักบนแผ่นศิลาแลงที่เมืองสะเทิม ประเทศพม่า และภาพสลักบนแผ่นศิลาแลงในประเทศอินโดนีเซีย</div><br /><div align="justify"><br />ศาสตราจารย์ ดร. ชอง บัวเซอร์ลิเยร์ สันนิษฐานว่า ภาพสลักเหล่านี้ทำขึ้นในสมัยทวารวดี ราว พุ ทธศตวรรษที่ ๑๑ แต่ศาสตราจารย์ มจ. สุภัทรดิศ ดิศกุล เชื่อว่าน่าจะมีอายุเก่าถึงพุทธศตวรรษที่ ๗-๙ ร่วมสมัยฟูนัน เนื่องจากภาพสลักของมกรบางตัวทำท่ากำลังกระโดดคล้ายกับมกรในศิลปะอินเดียแบบอมราวดี พุทธศตวรรษที่ ๗-๙<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๓ (สระกระท้อน)</span><br />อยู่นอกคูเมืองทางทิศใต้ห่างจากคูเมือง ๑๐๐ เมตร ห่างจากสระแก้วและสระโบราณหมายเลข ๕ ไปทางทิศตะวันออกระยะทาง ๓๐๐ เมตร อยู่ในที่ดินของนางเภา ธงไชย<br />ลักษณะของสระกระท้อน เป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้าง ๘ เมตร ยาว ๑๓ เมตร ลึก ๔ เมตร ปากสระหันไปทางทิศใต้ตัดแต่งเป็นเหลี่ยมย่อมุมคล้ายกับลักษณะฐานโยนิโทรณะที่ใช้ประดิษฐานศิวลึงค์ ที่ผนังสระไม่พบร่องรอยการแกะสลักภาพสัตว์<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๔</span><br />จากรายงานการขุดแต่งโบราณสถานของหน่วยศิลปกรที่ ๕ โบราณสถานหมายเลข ๑๔ ตั้งอยู่ในเมืองพระรถด้านตะวันตกเฉียงใต้ ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๖ ราว ๑๕๐ เมตร อยู่ในที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัด ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร สูง ๑ เมตร มีเสาศิลาแลงตั้งเรียงเป็นระยะทั้ง ๔ ด้าน ไม่พบโบราณวัตถุ<br />แต่จากการสำรวจครั้งหลังสุดในขณะนี้ยังค้นหาโบราณสถานหมายเลข ๑๔ ไม่พบเนื่องจากบริเวณนี้มีการไถปรับพื้นที่อยู่ตลอดเวลา<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๕</span><br />จากรายงานการขุดแต่งโบราณสถานของหน่วยศิลปกรที่ ๕ โบราณสถานหมายเลข ๑๕ ตั้งอยู่ในเมืองพระรถด้านตะวันตกเฉียงใต้อยู่ในที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัดใกล้วิหารหมายเลข ๑๔ ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้าง ๑๓ เมตร สูง ๑ เมตร มีเสาศิลาแลงกว้าง ๖๓ เซนติเมตรตั้งเรียงเป็นระยะโดยรอบ บริเวณโบราณวัตถุที่พบได้แก่ แวดินเผา และเศษเครื่องถ้วยจีน</div><br /><div align="justify"><br />แต่จากการสำรวจครั้งหลังสุด(2528)ยังค้นหาโบราณสถานหมายเลข ๑๕ ยังไม่พบ เนื่องจากบริเวณนี้มีการไถปรับพื้นที่อยู่ตลอด</div><br /><div align="justify">เวลา<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๖</span><br />ตั้งอยู่คูเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากคูเมือง ๓๕๐ เมตร ห่างจากหนองขนากไปทางทิศเหนือ ๑๐๐ เมตร เขตหมู่บ้านสระมะเขือ<br />ลักษณะเป็นรากฐานอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างด้านละ ๑๓.๕๐ เมตร ยาวด้านละ ๑๔.๕๕ เมตร ด้านตะวันตกและด้านเหนือมีแผ่นศิลาแลงปูเป็นพื้นอาคาร มีผนังก่ออิฐด้านตะวันตกสูง ๓.๖๐ เมตร กว้าง ๙๐ เซนติเมตร ลักษณะเป็นอิฐแบบทวารวดี โบราณวัตถุที่พบจากการขุดแต่ง ได้แก่ ภาพดินเผานูนสูงรูปเทวดาสมัยทวารวดี ลักษณะคล้ายกับที่พบเมืองโบราณอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี และเศษภาชนะดินเผา<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๗</span><br />ตั้งอยู่นอกตัวเมืองออกไปทางทิศตะวันออกอยู่ห่างจากคูเมือง ๒๔๐ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๙ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะทาง ๒๓๐ เมตร อยู่ในที่ดินของนายซุ่นไล้ เชาว์ดี เขตหมู่บ้านสระมะเขือ</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะเป็นรากฐานอาคารสี่เหลี่ยมด้านตะวันออกและด้านตะวันตกกว้างด้านละ ๑๖ เมตร ด้านเหนือและด้านใต้ยาวด้านละ ๑๖.๓๐ เมตร สูง ๒ เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีบันได ๓ ด้าน คือด้านตะวันออก ตะวันตก และด้านใต้ ลานบันไดทำเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง แบบเดียวกับโบราณสถานก่ออิฐที่เมืองกำแพงแสน จ. นครปฐม โบราณสถานหมายเลข ๑๖ ที่เมืองบน ต.โคกไม้เดน อ.พยุงคีรี จ.นครสวรรค์ เจดีย์ที่วัดหน้าพระเมรุกับวัดพระประโทน และโบราณสถานหมายเลข ๒๑ จ. นครปฐม </div><br /><div align="justify"><br />ทางด้านทิศตะวันตกของโบราณสถานมีเสาติดผนังคั่นเป็นครอบระหว่างซุ้มคล้ายกับโบราณสถานหมายเลข ๑ ที่เมืองบน ต. โคกไม้เดน จ.นครสวรรค์</div><br /><div align="justify"><br />โบราณวัตถุที่พบจาการขุดแต่ง ได้แก่ แม่พิมพ์ดินเผา รูปคล้ายเรือ ขนาด ๕.๑ เซนติเมตร เทวรูปดินเผา กว้าง ๔.๕ เซนติเมตร ลูกปัด ๒ เม็ด เศษภาชนะดินเผาเป็นต้น<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๑๙</span><br />ตั้งอยู่นอกตัวเมืองห่างจากคูเมืองไปทางทิศตะวันออกระยะทาง ๓๔๐ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๑๘ ไปทางทิศใต้ระยะทาง ๓๕๐ เมตร อยู่ในที่ดินของนายชุบ (ไม่ทราบนามสกุล) ติดกับด้านทิศตะวันตกของที่ดิน นายบู่ วงศ์สิน เขตหมู่บ้านสระมะเขือ</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะเป็นรากฐานโบราณสถานก่อด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๑๐.๖๐ เมตร ยาว ๒๗.๖๐ เมตร มีเสากลางก่อด้วยศิลาแลง ๒ แถว แถวละ ๕ ต้น ห่างกันเป็นช่วงๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเสา <span style="font-size:130%;">๔๐ เซนติเมตร พบลูกปัดและเศษภาชนะดินเผา<br />โบราณสถานหมายเลข๒๐</span><br />ตั้งอยู่นอกตัวเมืองห่างจากคูเมืองไปทางทิศตะวันออกระยะทาง ๓๙๐ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๑๙ ไปทางทิศตะวันออกระยะทาง ๒๓ เมตร อยู่ในที่ดินของนายบู่ วงศ์สิน </div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะเป็นรากฐานอาคารสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาด ๕.๓๐ x ๕.๓๐ เมตร สูง ๑.๓๐ เมตร ก่อด้วยศิลาแลงปนอิฐ โบราณวัตถุที่พบจากการขุดแต่งได้แก่ เศษภาชนะดินเผาฐานบัวรองบาทพระพุทธรูป ถูกทำลายแตกหักหลายชิ้น ยอดเจดีย์ศิลาแลงและนิ้วแม่มือซ้ายทำด้วยปูน ยาว ๑๕ ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ ซม.<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๑</span><br />ตั้งอยู่นอกตัวเมืองห่างจากคูเมืองไปทางทิศตะวันออกระยะทาง ๓ กิโลเมตร อยู่ในเขตหมู่๖ บ้านหัวซา ต.หัวหว้า อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี เดิมอยู่ในที่ดินของนางพันธุ์ วรรณราช แต่ได้ตั้งเป็นสำนักสงฆ์ชื่อ วัดป่าพระธาตุโพธิ์ทอง เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๑๗)</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะเป็นรากฐานอาคารก่อศิลาแลงและอิฐสูงประมาณ ๒.๕๐ เมตร ฐานด้านล่างลดชั้น๕ ชั้นห่างกันชั้นละ ๒๐ ซม. ความสูงของฐานล่างรวม ๑ เมตร ชั้นถัดไปเป็นดินอัดและมีแนวผนังก่ออิฐเรียงแนวเป็น ๑ ชั้น ชั้นบนสุดปูพื้นด้วยศิลาแลงกว้าง ๕.๘๐ x ๕.๘๐ม. ตรงกลางมีรอยลักขุดและมีเจดีย์ขนาดเล็กบรรจุพระธาตุ ซึ่งนำมาจากเมืองศรีมโหสถ (ซื้อจากพวกลักขุด) ประดิษฐานอยู่ด้านบน</div><br /><div align="justify"><br />ฐานล่างสุดด้านเหนือยาว ๑๗.๓๕ เมตร ทิศใต้ยาว ๒๐ เมตร ทิศทิศตะวันออกยาว ๑๕ เมตร ทิศตะวันตกยาว ๑๕.๑๕ เมตร ด้านตะวันออกเป็นลานบันไดรูปครึ่งวงพระจันทร์ กว้าง ๘๐ ซม. ยาว ๓ เมตร ทิศใต้มีมีแนวท่อนเสาศิลาแลงต่อเรียงกัน ๗ ท่อน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อนละ ๕๐ ซม. สูงท่อนละ ๔๐-๖๐ ซม.</div><br /><div align="justify"><br />โบราณวัตถุที่พบจากการขุดแต่งได้แก่ ขวานหินขัด ๑ อัน ลูกปัด ๒ เม็ด และเศษภาชนะดินเผา<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๒</span><br />ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมืองศรีมโหสถ อยู่ห่างจากคูเมืองด้านเหนือ ๒๖๐ เมตร ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๕๐๐ เมตร อยู่ในที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัด ลักษณะเป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดย่อมจำนวน ๑๐ หลัง รากฐานด้านล่างก่อด้วยศิลาแลงด้านบนก่อด้วยอิฐ การขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๒ แบ่งออกเป็น ๓ ช่วงดังนี้</div><br /><div align="justify"><br />ช่วงแรกขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๒/๑, ๒๒/๒ , ๒๒/๓ โบราณสถานหมายเลข ๒๒/๑ อยู่ทางด้านเหนือ กว้าง ๓ .๕๐ เมตร ยาว ๙.๒๐ เมตร สูง ๑.๑๕ เมตร ด้านตะวันออกทำเป็นมุขยื่นออกมา โบราณสถานหมายเลข ๒๒/๒ มีลักษณะคล้ายกับโบราณหมายเลขเลข ๒๒/๑ ตั้งอยู่ถัดลงไปด้านใต้ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๒๒/๑ ราว ๑ เมตร ขนาดกว้าง ๓.๕๐ เมตร ยาว ๙.๐๐ เมตร สูง ๑.๑๕ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกมีลานศิลาแลงขนาด ๑๒.๕๐ x ๑.๕๐ เมตร ต่อยื่นออกไป โบราณหมายเลข ๒๒/๓ กว้าง ๓.๘๐ เมตร ยาว๑๕.๗๐ เมตร สูง๑.๕๐ เมตร ด้านล่างก่อตัวศิลาแลงด้านบนก่อด้วยอิฐ มีบ่อน้ำกรุด้วยสิลาแลงอยู่ในตัวโบราณสถานทางด้านทิศตะวันตก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕๐ เมตร โบราณวัตถุ ที่ขุดพบในกลุ่มโบราณสถานหมายเลข ๒๒/๑-๓ ได้แก่ เศษภาชนะดินเผา เครื่องเคลือบดินเผา กระเบื้องมุงหลังคา พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือสังข์ของพระนารายณ์ ทำด้วยเครื่องสำริดเครื่องเมือเหล็ก และยอดบนของหมวกทรงชีโบ</div><br /><div align="justify"><br />ช่วงที่สองขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๒/๔ , ๒๒/๕ , ๒๒/๖ ,๒๒/๗ ,และ ๒๒/๘<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๒/๕</span> อยู่ห่างจากโบราณสถานหมายเลข๒๒/๔ ถัดลงไปทางใต้ ๔๐ ซม. ลักษณะเป็นรากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รากฐานย่อมุม ๗ ครั้ง มีบันไดด้านตะวันออก กว้าง ๓.๓๕ เมตร ยาว ๑๖.๒๕ เมตร สูง ๖๐ ซม.</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๒/๖</span> ตั้งอยู่ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๓ ไปทางทิศตะวันออกเป็นรากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง กว้าง ๕.๘๐ เมตร ยาว ๖.๕๐ เมตร สูง ๕๐ ซม. มีท่อนศิลาแลงวางวางเรียงรายอยู่โดยรอบ</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๒/๗</span> อยู่เยื้องกับโบราณสถานหมายเลข๒๒/๕ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างกันเพียงเล็กน้อยด้านล่างก่อด้วยศิลาแลง ด้านบนก่อด้วยอิฐ ขนาดอิฐไม่ใหญ่นักและไม่ใช่อิฐทวารวดี กว้าง ๔.๒๕ เมตร ยาว ๖.๑๐ เมตร สูง ๕๐ เมตร พบชิ้นส่วนประติมากรรมพระพิฆเนศอยู่บนเนินโบราณสถานแห่งนี้เกือบครบ</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๒๒/๘</span> อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของโบราณสถานหมายเลข ๒๒/๖ ห่างกันประมาณ ๓ เมตร ลักษณะเป็นรากฐานอาคารก่อด้วยศิลาและอิฐ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๓.๑๕ เมตร สภาพการขุดแต่งยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ จะเห็นได้จากมีแนวของฐานอาคารขนาดใหญ่ซ้อนอยู่ด้านล่าง</div><br /><div align="justify"><br />โบราณวัตถุที่พบจากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๒/๔ – ๘ ได้แก่ เศษภาชนะดินเผา เศษกระเบื้องมุงหลังคา เศษเครื่องเคลือบดินเผา ประติมากรรมพระโพธิสัตว์ปาณีทรงครุฑศิลาทราย ประติมากรรมนูนสูงมหิษาสุรมรรทนีศิลาทราย ชิ้นส่วนพระพิฆเนศศิลาทรายเขียว เป็นต้น</div><br /><div align="justify"><br />ช่วงที่สามขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๒/๙ –๑๐<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๒/๖ กับ โบราณสถานหมายเลข ๒๒/๘</span> ห่างกันประมาณ ๓ เมตร ลักษณะเป็นรากฐานอาคารก่อด้วยศิลาแลง กว้าง ๓.๔๕ เมตร ยาว๓.๔๓ เมตร สูง ๑๐ ซม. สภาพการขุดแต่งยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข ๒๒/๑๐ </span>อยู่ห่างด้านทิศตะวันออกของโบราณสถานหมายเลข ๘ กว้าง ๘เมตร ก่อด้วยศิลาแลงและอิฐ มีแท่งศิลาแลงจำหลักลวดลายประดับยื่นออกมาจากตัวอาคาร สภาพการขุดแต่งยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์<br />โบราณวัตถุที่พบจากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๒ / ๙ –๑๐ ไก้แก่ ระฆังหิน ๒ อัน เศษภาชนะดินเผาและเครื่องเคลือบดินเผา ชิ้นส่วนประติมากรรมพระพิฆเนศ เป็นต้น<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๓</span><br />ตั้งอยู่นอกตัวเมืองห่างจากคูเมืองออกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๓๐๐ เมตร (ด้านหลังนิคมโรคเรื้อน) ลักษณะเป็นรากฐานอาคาร ๒ หลัง ตั้งอยู่ในแนวทิศเหนือ – ใต้ ห่างกัน ประมาณ ๑๐ เมตร<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๓/๑</span> ลักษณะเป็นรากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อด้วยอิฐ และศิลาแลง มีมุขด้านตะวันออกและตะวันตก ด้านหน้าเป็นบันไดยื่นออกมา กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๖.๕๐ เมตร สูง ๑ เมตร<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๓/๒</span> ลักษณะเป็นรากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาด ๓.๘๐ x ๓.๘๐ เมตร ก่อด้วยศิลาแลงมีสภาพพังทลาย<br />สันนิษฐานว่าโบราณสถานหมายเลข๒๓/๑ เป็นวิหารส่วนโบราณสถานหมายเลข๒๓/๒ น่าจะเป็นเจดีย์เนื่องจากขุดพบศิลาแลงรูปแปดเหลี่ยมเจาะรูมีเดือยสำหรับสวมอยู่ใกล้ๆ กับรากฐาน<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๔ (สระบันได ๕ ชั้น)</span><br />ตั้งอยู่นอกเมืองห่างจากคูเมืองห่างออกไปทางทิศตะวันออกระยะทาง ๙๔๐ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข๒๐ ออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๕๗๐ เมตร อยู่ในที่ดินของนายทวน – นางพวง บ้านสระมะเขือ</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะแนวสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกกว้าง ๗.๒๐ เมตร ทิศเหนือกับทิศใต้ ยาว ๙.๖๐ เมตร ปากสระหันไปทางทิศตะวันตก ปากสระตัดแต่งลักษณะคล้ายฐานโยนิโทรณะ ผนังสลักเป็นรูปเสาติดผนังขนาด ๓๐ ซม. มี ๕ เสา เสาแต่ละเสาห่างกันช่วงละ ๑.๕๐ เมตร ด้านบนของเสาติดผนังมีทับหลังทุกด้าน ปากสระด้านในกว้าง ๓ เมตร ด้านนอกกว้าง ๒ เมตร ความลึกเกือบ ๔ เมตร บริเวณโดยรอบมีเนินโบราณสถานของกลุ่มเนินโบราณสถาน กระจายอยู่มีสระบันได ๕ ชั้นอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง ๓๐ เมตร</div><br /><div align="justify"><br />สระบันได ๕ ชั้นมีลักษณะคล้ายกับสระกระท้อนและสระในนิคมโรคเรื้อนแต่ไม่ปรากฏภาพสลักรูปสัตว์เหมือนที่พบผนังสระแก้ว<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๕</span><br />ตั้งอยู่ภายในตัวเมืองทางด้านใต้อยู่ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๗๐ เมตร ห่างจากคูลูกศรไปทางทิศตะวันตกระยะทาง ๗๐ เมตร อยู่ในที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัด</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะเป็นฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อด้วยศิลาแลงด้านล่างเป็นฐานกว้าง ๙ เมตร ยาว ๑๒ เมตร สูง ๑ เมตร มีมุขและบันไดทางด้านตะวันออกกว้าง ๑.๕ เมตร ยาว ๔ เมตร ด้านบนเป็นผนังกว้าง ๙ เมตร ยาว ๓.๕๐ เมตร สูง ๕๐ ซม. มีมุขยื่นออกมากว้าง ๑.๒๕ เมตร ยาว ๒.๒๕ เมตร มีเสาศิลาแลงทรงกระบอกวางอยู่ด้านบนอาคารที่มุมอาคารที่อยู่บนฐานล่างมุมละต้นรวม ๔ มุม อีกสอง ต้นวางอยู่ด้านหน้าห่างกันช่วงละ ๓. ๗๕ เมตร</div><br /><div align="justify"><br />โบราณวัตถุที่พบจากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๕ คือ เทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกแขก ความสูงจากเดือยใต้พระบาทถึงยอดหมวก ๒๒๒ ซม. พระกรซ้ายหลังและขาวหลังหักหายไป กำหนดอายุพุทธศตวรรษที่ ๑๑ –๑๒ จัดอยู่ในกลุ่มศิลปะเทวรูปรุ่นเก่า จึงเชื่อกันว่า โบราณสถานหมายเลข๒๕ เป็นเทวสถานพระนารายณ์ของศาสนาฮินดูลัทธิไวษณพนิกาย<br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานหมายเลข๒๖<br /></span>ตั้งอยู่ภายในตัวเมืองห่างจากโบราณสถานหมายเลข๒๕ ไปทางตะวันตก ๑๗ เมตร อยู่ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๖๕ เมตร อยู่ในที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัด ลักษณะเป็นรากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๓.๘๒ เมตร สูง ๑.๘๘ เมตร ก่อด้วยศิลาแลง ผนังตอนบนผายออกตอนล่างสอบเข้าเล็กน้อย<br /><span style="font-size:130%;">กลุ่มโบราณสถานวัดสระมรกต</span><br />ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ห่างจากคูเมืองด้านใต้ระยะทางประมาณ ๔ กม. ลักษณะเป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงและอิฐ ในชั้นต้นอาจแบ่งการก่อสร้างออกเป็นสองสมัย ดังนี้</div><br /><div align="justify"><br />สมัยแรก พบรอยพระพุทธบาทคู่ขนาดใหญ่สลักบนพื้นศิลาแลง รอยพระบาทมีลักษณะเหมือนจริงอยู่ภายในรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓ เมตรเศษ มีเครื่องล้อมชั้นแรก ก่อด้วยอิฐ ชั้นที่สองก่อด้วยสิลาแลง และชั้นที่สามก่อด้วยอิฐล้อมรอบเป็นลานทักษิณอยู่ทางด้านตะวันตก กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ สมัยทวารวดี</div><br /><div align="justify"><br />สมัยที่สอง พบรากฐานศิลาแลงของกำแพงแก้วบรรณาลัยและรากฐานของปรางค์ประธาน พบโบราณวัตถุร่วมกับศิลปะบายน ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘</div><br /><div align="justify"><br />นอกจากหลักฐานดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังพบศิลาจารึกเนินสระบัวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พระพุทธรูปและระฆังหินสมัยทวารวดี และศิวลึงค์ที่กลุ่มโบราณสถานแห่งนี้อีกด้วย<br />โบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดแต่งทางโบราณคดี</div><br /><div align="justify"><br />เนินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดแต่งโดยกรมศิลปกร หมายถึง เนินโบราณสถานที่ถูกลักขุดค้นหาโบราณวัตถุ และเนินโบราณสถานที่ถูกไถพื้นที่จนหมดสภาพหรือเกือบหมดสภาพ แบ่งเป็นเนินโบราณสถานที่อยู่ในตัวเมืองและนอกตัวเมือง<br /><span style="font-size:130%;">เนินโบราณสถานในตัวเมืองศรีมโหสถ (กลุ่มโบราณสถานกลางเมือง)</span><br />เนินโบราณสถานที่อยู่ในตัวเมืองที่ยังไม่ได้ขุดแต่งมีประมาณ ๑๓-๑๖ เนิน ดังนี้<br />๑. เนินโบราณสถานทางด้านตะวันออกของสระมะเฟือง อยู่ในป่ากล้วยและสวนมะม่วงอยู่ในที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัด ห่างจากสระมะเฟือง ๗๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานขนาดใหญ่ไม่สูงนักมีร่องรอยการถูกลักขุดหาโบราณวัตถุมีศิลาแลงกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้าง มีเนินยาวเป็นแนวจากสระมะเฟืองไปทางด้านตะวันออกและมีที่ลุ่มลักษณะคล้ายทางระบายน้ำจากที่สูงทางด้านตะวันออกลงมาสู่สระมะเฟือง<br />๒. เนินโบราณสถานในสวนของนางฉลอง พาลี ซึ่งเช่าที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัดทำกิน อยู่ห่างจากกกลุ่มโบราณสถานหมายเลข ๒๒ ปทางทิศตะวันออก ๗๐ เมตร ห่างจากสระมะเฟืองไปทางตะวันตก ๖๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานขนาดใหญ่สูง ๒ เมตรเศษ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๐ เมตร ถูกลักขุดหาโบราณวัตถุใช้รถขุดตักเป็นเครื่องมือ ชาวบ้านเล่าว่าพวกลักขุดขุดได้ธรรมจักรศิลาจากเนินนี้และทางด้านเหนือห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ เมตร ในส่วนของนางฉลอง พาลี มีเนินดินกว้างใหญ่ขวางอยู่มีศิลาแลงและอิฐกระจายอยู่เป็นตอนๆ<br />๓. กลุ่มเนินโบราณสถานในสวนของนายหมุด กับสวนนางทองพิณ สาลี เช่าที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัดทำกิน ลักษณะเป็นกลุ่มเนินโบราณสถานขนาดใหญ่ ๒ เนิน สูง ๒ เมตรเศษ กว้างเนินละประมาณ ๔๐ เมตร ยาวเนินละประมาณ ๑๐๐ เมตร มีร่องรอยการถูกลักขุดหาโบราณวัตถุอยู่ห่างจากกลุ่มโบราณสถานหมายเลข ๒๒ ไปทางตะวันตกประมาณ ๕๐ เมตร โบราณวัตถุที่ขุดได้จากเนินนี้ คือ เม็ดข้าวสาลีมีสีดำ ชาวบ้านเรียกว่า “ข้าวสารดำ” มักนิยมนำมาป่นเป็นผงแล้วทำเป็นพระพิมพ์ตามความเชื่อทางโชคลางทางด้านตะวันออกของเนินใหญ่ของเนินทั้งสองมีกลุ่มโบราณสถานกระจายอยู่ใกล้ๆ มีร่องรอยการถูกลักขุดจากการสอบถามชาวบ้านได้ความว่า พวกลักขุดพบแผ่นทองคำมีลายดุนนูนต่ำเป็นรูปตางๆ และมีจารึกบนแผ่นทองนี้ด้วย<br />๔. เนินโบราณสถานในที่ดินของนายทองมา พาลี ( เช่าที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัดทำกิน) อยู่ในตัวเมืองห่างจากคูเมืองด้านเหนือ ๑๐๐ เมตร เป็นเนินโบราณสถานเล็กๆ เตี้ยๆ มีเศษดินและศิลาแลงกระจายอยู่<br />๕. เนินโบราณสถานบนฝั่งตะวันตกของสันคูลูกศร ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๒.๓๐ เมตร อยู่ในที่ดินของมิซซังคาทอลิกโคกวัด เป็นเนินโบราณสถานเตี้ยๆเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐ เมตร สูง ๕๐ ซม.<br />๖. กลุ่มเนินโบราณสถานในสวนนายเล็ก กับสวนนางฉวี โยธามาตย์ มีเนินโบราณสถานอยู่ ๔ เนิน ถูกลักลอบขุดจากเมืองด้านใต้ประมาณ ๑๕๐ – ๑๗๐ เมตร ห่างจาก โบราณสถานหมายเลข ๒๕-๒๖ ไปทางตะวันตกประมาณ ๕๐-๑๐๐ เมตร เนินโบราณสถานกลุ่มนี้บางเนินอาจเป็นโบราณสถานหมายเลข ๖, ๑๔, ๑๕ ซึ่งถูกขุดแต่งโดยกรมศิลปกร (แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถลงตำแหน่งได้)<br />๗. เนินโบราณสถานในที่ดินของนางสมคิด มิ่งหมัด อยู่ทางด้านตะวันตกของตัวเมืองห่างจากคูเมืองด้านตะวันตก ๓๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานถูกลักลอบขุดและไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ มีก้อนศิลาแลงและอิฐกระจายอยู่<br />เนินโบราณสถานนอกคูเมือง</div><br /><div align="justify"><br />พื้นที่รอบๆเมืองศรีมโหสถนอกคูเมืองออกไปทางสี่ทิศมีเนินโบราณสถานกระจายอยู่ทั่วไปรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า ๘๕ เนิน ในจำนวนนี้ได้แก่ นินโบราณสถานที่ถูกลักขุดและเนินโบราณสถานที่ถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ ดังรายละเอียดต่อไปนี้<br /><span style="font-size:130%;">เนินโบราณสถานนอกเมืองด้านเหนือที่ยังไม่ได้ขุดแต่ง</span>มี ๗ เนินดังนี้<br />๑. เนินโบราณสถานใต้ฐานโรงสีกิมล้ง หลังวัดคาทอลิกบ้านโคกวัด ลักษณะเป็นเนินสูงใหญ่<br />ภายหลังปลูกโรงสีคล่อมทับ ชาวบ้านเล่าว่าแท่นสีข้าวของโรงสีก็ตั้งอยู่บนแท่นศิลาแลงสี่เหลี่ยม<br />๒. เนินโบราณสถานในที่ดินของนางเฮี๊ยะ ฮวดหลี ตั้งอยู่กลางทุ่งริมชวดลำผักชี ห่างจากเนิน<br />โรงสีกิมล้ง ๑๕๐ เมตร เดิมมีขนาดใหญ่สูงเกือบเท่ายอดกล้วย ปัจจุบันถูกลักขุดจนหมดสภาพ เหลือความสูงประมาณ ๑ เมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เมตร มีศิลาแลงและอิฐกระจายอยู่รอบๆ<br />๓. เนินโบราณสถานในที่ดินของนายเกษม ทองมา ถูกลักขุดจนหมดสภาพ ศิลาทรายและอิฐ<br />กระจายอยู่ ชาวบ้านเรียกว่าเกาะกลาง อยู่ห่างจากเนินโบราณสถานในที่ดินของนางเฮี๊ยะ ฮวดหลี ประมาณ ๖๕ เมตร<br />๔. เนินโบราณสถานในที่ดินของนางแดงและทางทิศเหนืที่ดินของนางแดงลักษณะเป็นเนิน<br />โบราณสถาน ๒ เนิน ถูกลักขุดจนหมดสภาพ พบศิลาแลงอิฐและหินแกรนิตแท่งสี่เหลี่ยมโตๆ กระจายอยู่ทั่วไป อยู่ห่างจากเนินโรงสีกิมลังไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ๑๓๐ เมตร<br />๕. เนินโบราณสถานทางด้านตะวันตกของโรงเรียนสระมะเขือ ห่างจากโรงเรียนสระมะเขือ ๔๐<br />เมตร เป็นเนินดินขนาดใหญ่ ถูกลุกขุดและไถปรับจนหมดสภาพ มีกองอิฐและศิลาแลงกระจายอยู่ทั่วไป<br />๖. เนินโบราณสถานทางด้านตะวันตกของโรงเรียนสระมะเขือ ห่างจากโรงเรียนสระมะเขือ ๔๐<br />เมตร เป็นเนินดินขนาดใหญ่ ถูกลุกขุดและไถปรับจนหมดสภาพ มีกองอิฐและศิลาแลงกระจายอยู่ บนเนินมีสระน้ำใหญ่อยู่ทางตอนใต้<br /><span style="font-size:130%;">กลุ่มเนินโบราณสถานทางด้านตะวันออก <br /></span>เนินโบราณสถานนอกเมืองด้านตะวันออก ที่ยังไม่ได้ขุดแต่งมีไม่น้อยกว่า ๔๐ เนิน เนินโบราณสถานที่น่าสนใจมีดังนี้<br />๑. กลุ่มเนินโบราณสถานทางด้านทิศเหนือและด้านตะวันตกแยงเหนือของสระบันได ๕ ชั้น (<br />กลุ่มเนินเนินโบราณสถานสระบันไดห้าชั้น) อยู่ในเขตหมู่บ้านสระมะเขือห่างจากคูเมืองด้านตะวันออกเฉลี่ย ๗๕๐ เมตร มีลักษณะเป็นกลุ่มโบราณสถานจำนวน ๑๗ เนิน ขนาดเล็กและขนาดกลางบางเนินถูกลักลอบขุดหาโบราณวัตถุ บางเนินถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ อยู่ในเขตที่ดินของนายหวน – นางพวง แพงดี นายไท- ยายสม นายอุทัย นายลั้ง นายอ่าง สมญา นายสงุน คังเชื้อ นางจุ่น นายประเสริฐ นายคำ – นางเสงี่ยม นายลั้ง กัลยา เป็นต้น รวมทั้งหมด ๗ เนิน<br />๒. กลุ่มเนินโบราณสถานหนองจระเข้ อยู่ในเขตหมู่บ้านสระมะเขือ อยู่ในที่ดินของนายมุ้ย ง่วน<br />กิจ นายบู่ วงศ์ศิลป์ นางสุกตา ทันยัง นายคำ ตันแพง นางสมศรี บุญมา นางเหลี่ยม ฯลฯ ห่างจากคูเมืองไปทางทิศตะวันออกเฉลี่ย ๔๕๐ เมตร เป็นกลุ่มโบราณสถานที่กระจายอยู่ทางด้านใต้ ตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ ของหนองจระเข้จำนวน ๑๔ เนิน ส่วนใหญ่เป็นเนินที่ถูกไถปรับพื้นที่และเนินดินที่ถูกขุดหาโบราณวัตถุเนินที่น่าสนใจ คือ เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของผู้ใหญ่ทองคำ ซึ่งถูกลักขุดและไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพบริเวณนี้พวกลักขุดขุดได้ธรรมจักรสิลา ๑ อัน<br />๓. กลุ่มเนินโบราณสถานในที่ดินของนายพยอม จันทา อยู่ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๑๙ ไป<br />ทางทิศใต้ระยะทาง ๑๘๐ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข๑๗ ไปทางตะวันออกระยะทาง ๒๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินทรงกลม สูงประมาณ ๓ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๕ เมตร มีร่องรอยการลักขุดหาโบราณวัตถุมีชิ้นส่วนของอิฐและศิลาแลงกระจายอยู่เป็นจุดๆ<br />๔. กลุ่มโบราณสถานบ้านนายเพิ่ม ไผ่ขาด นายคำพอง มีชัย อยู่ห่างจากคูเมืองไปทางทิศตะวัน<br />ออกระยะทางเฉลี่ย ๑๗๐ เมตร เป็นกลุ่มโบราณสถานจำนวน ๕ เนิน อยู่ในเขตที่ดินนายเพิ่ม ไผ่ขาด ๓ เนิน ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานเล็ก บางเนินถูกไถปรับพื้นที่และถูกขุดอยู่ในเขตที่ดินของนายคำพอง มีชัย ๒ เนิน ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานเล็ก ถูกลักลอบขุดหาโบราณวัตถุ<br />๕. โบราณสถานในเขตที่ดินของนายเหมือน ดาราย และนายพยอมจันทา อยู่ห่างจากคูเมืองไป<br />ทางทิศตะวันออก ๑๒๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินสูงประมาณ ๒ เมตร รูปยาวรี ยาวประมาณ ๑๕ เมตร กว้าง ๘ เมตร<br />๖. เนินโบราณสถานทิศใต้ของหนองขนาก อยู่ในที่ดินของนางพิณ ชาญการ และนางประเมียน<br />มงคล อยู่ห่างจากหนองขนากไปทางทิศใต้ ๑๒๐ เมตร ห่างจากคูเมืองไปทางทิศตะวันออก ๒๕๐ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๑๘ ไปทางตะวันตะ ๖๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินดินลูกเล็กๆเตี้ยๆ ถูกขุดมีเศษศิลาแลงและอิฐกระจายอยู่<br />๗. กลุ่มกลุ่มโบราณสถานในเขตที่ดินนายซุ่นไล้ เชาว์ดี (ก.) อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันออกเฉลี่ย<br />ประมาณ ๑๐๐ เมตร มีเนินโบราณสถานอยู่ ๒ เนิน ถูกลักลอบขุดหาโบราณวัตถุและไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ<br />๘. กลุ่มโบราณสถานในเขตที่ดินของนางมะลิ อยู่ถัดลงมาทางตอนใต้ของที่ดินนายซุ่นไล้ <br />เชาว์ดี อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันออก ๑๒๐ เมตร เป็นเนินทรงกลมลูกเล็กๆ สูงไม่เกินเนินละ ๑ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกินเนินละ ๑๐ เมตร รวม ๓ เนิน มีร่องรอยการขุดหาโบราณวัตถุ<br />กลุ่มเนินโบราณสถานนอกเมืองด้านใต้ (กลุ่มเนินโบราณสถานสระขอนขวาง)<br />เนินโบราณสถานนอกเมืองด้านทิศใต้ที่ยังไม่ขุดแต่งมีจำนวน ๓๐ เนิน ดังต่อไปนี้<br />๑. กลุ่มเนินโบราณสถานในที่ดินของนายสุพรรณ บันลือวงษ์ มีสองเนินถูกลักขุดและไถปรับ<br />พื้นที่มีศิลาแลงและอิฐกระจาย อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้ ๑๕๐ เมตร<br />๒. เนินโบราณสถานในที่ดินของนายสนิท สายพรหม อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้<br />๑๐๐ เมตร เป็นเนินถูกลักขุด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๙ เมตร<br />๓. เนินโบราณสถานบนสันคูด้านตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ในเขตที่ดินของนายซุ่นไล้ เชาว์ดี (ข.) <br />ห่างจากคูเมือง ๕ เมตร เป็นเนินใหญ่แต่ถูกลักขุดจนหมดสภาพ มีศิลาแลงและอิฐกระจายอยู่<br />๔. กลุ่มเนินโบราณสถานในเขตที่ดินของนางเล็ก สักกะตะ มีเนินโบราณสถานทรงกลม ๓ เนิน <br />เรียงเป็นแนวในทางตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากคูเมือง ๑๕๐ – ๒๐๐ และ ๒๕๐ ตามลำดับ สูงเนินละ ๑ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเนินละ ๑๐ เมตร ถูกลักขุดมีเศษศิลาแลงและอิฐกระจายทั่วไป<br />๕. กลุ่มเนินโบราณสถานในเขตที่ดินของนายซุ่นไล้ เชาว์ดี (ค.) อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันออก<br />๑๘๐ เมตร เป็นเนินขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗ เมตร สูง ๑ เมตร มีร่องรอยการลักขุด<br />๖. กลุ่มเนินโบราณสถานในเขตที่ดินของนายทองเจือ มนตรี อยู่ในป่ารกจำนวน ๔เนิน อยู่<br />ทางด้านตะวันตกหนองน้ำ ๒ เนิน เป็นเนินสูงประมาณ ๑ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๕ เมตร มีร่องรอยการถูกลักขุดมีศิลาแลงและอิฐถูกรื้อกระจายออกมา ห่างจากคูเมืองประมาณ ๒๗๐ เมตร อีก ๒ เนิน อยู่ทางด้านตะวันออกของหนองน้ำ ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานบนคันดินยาว สูง ๑ เมตรเศษ ยาวประมาณ ๒๐ เมตร อีกเนินเป็นเนินโบราณสถานเล็กๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๗ เมตร มีศิลาแลงกลมจมดินอยู่ เป็นคันดินสูง ๕๐ ซม. กว้างประมาณ ๕ เมตร ยาว ๖๐ เมตร ทอดเป็นแนวอยู่ด้านเหนือ<br />๗. กลุ่มเนินโบราณสถานในเขตที่ดินของพันโทเฉลิม มนตรี อยู่ทางด้านตะวันออกของที่ดินนาย<br />ทองเจือ มนตรี ห่างจากคูเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้ ๕๓๐ เมตร เป็นเนินถูกลักขุด ทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐ เมตร สูง ๕๐ ซม.<br />๘. กลุ่มเนินโบราณสถานในเขตที่ดินของนายม้วน ดาราย อยู่ทางด้านใต้ของที่ดินพันโทเฉลิม <br />มนตรี มีเนินโบราณถูกปรับพื้นที่ ๒ จนหมดสภาพ ๒ เนิน อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันตกเฉียงใต้ ๕๕๐ เมตร<br />๙. เนินดินที่พบพระพุทธรุปปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ (หลวงพ่อทวารวดี) ในที่ดินของนิคมโรค<br />เรื้อน ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๖๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ มีเศษกระเบื้องดินเผาใช้มุงหลังคากระจายอยู่<br />๑๐. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของนายณรงค์ มะนาวมอง มี ๒ เนิน อยู่ห่างจากโบราณสถาน<br />หมายเลข ๒๓ (หลังนิคมโรคเรื้อน) ไปทางตะวันออกระยะทาง ๕๐ เมตร และทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง ๗๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานถูกลักขุดและถูกไถปรับพื้นที่เพื่อทำการเกษตรจนหมดสภาพ มีแท่งศิลาแลงท่อนเสาศิลาแลง ถูกรื้อกระจัดกระจาย<br />๑๑. กลุ่ม เนินโบราณสถานทิศตะวันออกและทิศใต้ของหนองแฟบ (กลุ่มเนินโบราณสถานท้าย<br />นิคม) จำนวน ๑๐ เนิน อยู่ในพื้นที่ดังต่อไปนี้<br />๑๑.๑ เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายทองหล่อ วงษ์เทศ มี ๓ เนิน เนินแรกอยู่ห่างจากคูเมืองคานใต้ ๔๐๐ เมตร อยู่ทางด้านตะวันออกของหนองห่างจากหนองแฟบ ๑๕๐ เมตร เป็นเนินขนาดใหญู่ ถูกลักขุดจนหมดสภาพ มีอิฐ ศิลาแลงและกระเบื้องมุงหลังคาถูกรื้อกระจายอยู่ทั่วไป เนินที่สองอยู่ถัดลงมาทางใต้ห่างจากเนินแรก ๘๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินเตี้ย ๆ ถูกลักขุดมีแหล่งศิลาแลงถูกรื้อกระจายออกมา และเนินที่สามอยู่ถัดลงมาทางใต้ห่างจากเนินที่สอง ๕๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถาน ถูกไถปรับพื้นที่เพื่อทำการเกษตร<br />๑๑.๒ เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายใบ จงชัย จำนวน ๓ เนิน อยู่ทางใต้ของที่ดินของ นายทองหล่อ วงษ์เทศ อยู่ห่างจากหนองแฟบประมาณ ๒๐๐-๒๕๐ เมตร เป็นเนินโบราณสถานที่ถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ<br />๑๑.๓ เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นางตุ๊ ราชพิทักษ์ จำนวน ๑ เนิน ลักษณะเป็นเนินโบราณสถาน ถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ มีเศษอิฐ ศิลาแลงและเศษกระเบื้องมุงหลังคากระจายอยู่<br />๑๑.๔ เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายเทิน พามี อยู่ทางใต้ของที่ดิน นางตุ๊ ราชพิทักษ์ จำนวน ๓ เนิน เรียงกันอยู่ห่างจากหนองแฟบทางใต้ประมาณ ๒๕๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานถูกลักขุด อยู่ชายป่าทึบทางด้านตะวันออกมีร่องรอยทางน้ำไหลในฤดูน้ำมากลงสู่หนองแฟบ ทางน้ำนี้เริ่มที่สระบัวล้า ( เป็นสระข่อย ) ผ่านสระลึกด้านหลังโรงเรียนโคกปีปวิทยาคม ลงสู่หนองแฟบ<br />๑๒. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นางวันทอง ศักดิ์สง จำนวน ๒ เนิน เนินแรกอยู่ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๓๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินถูกลักขุดอยู่บนชายคันดินด้านนอกคูเมือง กว้างประมาณ ๑๐ เมตร ยาว ๑๕ เมตร สูงประมาณ ๕๐ เซนติเมตร เนินที่สองอยู่ห่างจากคูเมือง ๑๐๐ เมตร เป็นเนินถูกลักขุด กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๐ เมตร สูง ๑ เมตร<br />๑๓. แหล่งสกัดท่อนเสาศิลาแลงทรงกลม อยู่ในที่ดินของนางวันทอง ศักดิ์สง อยู่ห่างจากคูเมือง ๕๐ เมตร ลักษณะเป็นพื้นของชั้นหินด้านบนของศิลาแลงมีรอรอการปาดหน้าดินลูกรังชั้นบนออก แล้วจึงตัดหรือสกัดเอาศิลาแลงทรงกลมที่ยังสกัดไม่เสร็จถูกทิ้งติดบนพื้นศิลาแลง มีร่องรอยการใช้เครื่องมือสกัดให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการอย่างชัดเจน<br />๑๔. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายมี สายบุญมา อยู่ทางด้านตะวันตกของหนองแฟบ อยู่นอกคันดินโบราณด้านใต้ของคูเมือง ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๓๔๐ เมตร เป็นเนินทรงกลมสูง ๒ เมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๕ เมตร มีร่องรอยการถูกลักขุดตรงกลางเนิน มีศิลาแลงถูกรื้อกระจายออกมา<br />๑๕. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นางเภา ธงชัย อยู่ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๑๘๐ เมตร อยู่ห่างจากสระกระท้อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๑๐๐ เมตร เป็นเนินถูกไถปรับพื้นที่เพื่อทำการเกษตรจนหมดสภาพ<br />๑๖.กลุ่มเนินโบราณสถานทางตะวันตกของที่ดินนายมี สายบุญมา ( กลุ่มเนินโบราณสถานใต้สระกระท้อน ) จำนวน ๗ เนิน อยู่ห่างจากสระกระท้อนลงไปทางใต้ระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร ห่างจากคูเมืองทางด้านใต้ประมาณ ๓๐๐ เมตร อยู่นอกคันดินโบราณสถานทางด้านใต้ของคูเมือง ลักษณะเป็นเนินถูกลักขุดและเป็นเนินถูกไถปรับพื้นที่เพื่อทำการเกษตร มีศิลาแลงและอิฐถูกรื้อกระจาย มีต้นไม้ปกคลุม<br />๑๗. เนินโบราณสถานทางตะวันออกของที่ดิน นายสุข กลับชัย อยู่ทางด้านเหนือกลุ่มโบราณสถานในที่ดินของนายมี สายบุญมา ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๒๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ มีอิฐศิลาแลงและกระเบื้องมุงหลังคากระจายทั่วไป<br />๑๘. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายพัน ทาทิตย์ อยู่นอกคันดินโบราณที่อยู่ทางด้านใต้ของ คูเมือง ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๒๖๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินดินถูกไถปรับพื้นที่เพื่อทำการเกษตร มีศิลาแลงถูกรื้อออกมากระจายอยู่<br />๑๙. เนินโบราณสถานบนสันคูด้านนอก ที่ดินของหมอเซ้ง อยู่ห่างจากคูเมือง ๑๐ เมตร ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๕ ประมาณ ๕๐ เมตร ลักษณะป็นเนินทรงกลมสูง ๕๐ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐ เมตร มีร่องรอยการถูกลักขุด<br />๒๐. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นางทองสุข ม่วงพรหม จำนวน ๒ เนิน อยู่ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๘๐ เมตร อยู่ห่างจากสระแก้วไปทางด้านตะวันตกประมาณ ๖๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานขนาดใหญ่ ถูกลักขุดมีอิฐและศิลาแลงถูกรื้อกระจายออกมา<br />๒๑. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายโฮง เหรียญตระกูล อยู่ห่างจากคูเมืองด้านใต้ ๑๕๐ เมตร ห่างจากสระแก้วไปทางตะวันตก ๒๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานถูกลักขุดและถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ <br /></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">กลุ่มเนินโบราณสถานนอกเมืองด้านตะวันตก(กลุ่มเนินโบราณสถานภูเขาทอง)</span> </div><br /><div align="justify">เนินโบราณสถานทางด้านตะวันตกของคูเมืองที่ยังไม่ได้ขุดแต่ง มีจำนวน ๑๑ แห่ง อยู่ในพื้นที่ดังต่อไปนี้. <br />๑. เนินโบราณสถานในที่ดินของ นายเทพ โคว้ตระกูล ห่างจากคูเมืองด้านตะวันตก ๑๘๐ เมตร ห่างจากเจดีย์ภูเขาทองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะทาง ๒๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินเตี้ย ๆ หมดสภาพ มีรากฐานศิลาแลงโผล่ขึ้นมาให้เห็นเล็กน้อย เจ้าของที่ดินใช้เป็นที่ฝังอัฐิของบรรพบุรุษ<br />๒. เนินโบราณสถานด้านตะวันออกของเจดีย์ ภูเขาทอง ( ไม่ทราบชื่อเจ้าของที่ดิน ) อยู่ห่างจากคูเมือง ๖๐ เมตร อยู่ห่างจากโบราณสถานภูเขาทอง ๑๕ เมตร ลักษณะเป็นเนินถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ<br />๓. เนินโบราณสถานในที่ดินของ นางทองมี เหล็กม่วง อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันตก ๓๐๐ เมตร ห่างจากเจดีย์ภูเขาทองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ๓๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินโบราณสถานถูกลักขุดจนหมดสภาพ<br />๔. เนินโบราณสถานในที่ดินของ นางน้อย มีชัย อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันตก ๒๐๐ เมตร อยู่ห่างจากเจดีย์ภูเขาทอง ๑๐๐ เมตร เป็นเนินถูกลักขุดจนหมดสภาพ มีศิลาแลงกระจายอยู่<br />๕. เนินโบราณสถานในที่ดินของ นางเปีย มะนาวทอง จำนวน ๒ เนิน เป็นเนินใหญ่แต่ถูกลักขุดจนหมดสภาพ อยู่ห่างจากเนินโบราณสถานบ้านนายน้อย มีชัย ไปทางตะวันตก ๓๐ เมตร และ ๖๐ เมตร ตามลำดับ<br />๖. เนินโบราณสถานในที่ดินของ นายน้อย มะนาวทอง อยู่ในแนวเดียวกันกับเนินโบราณสถานในที่ดินของนางเปีย มะนาวทอง อยู่ห่างจากเนินโบราณสถานบ้านนายน้อย มีชัย ไปทางตะวันตก ๕๐ เมตร เป็นเนินถูกลักขุดจนหมดสภาพ<br />๗. เนินโบราณสถานในที่ดินของ นางทองสุข พาทิตย์ อยู่ห่างจากเจดีย์ภูเขาทองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ระยะทาง ๒๐๐ เมตร อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันตก ๒๕๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินถูกไถปรับพื้นที่เพื่อการเกษตร<br />๘. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายน้อย ถี่ถ้วน อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันตก ๓๕๐ เมตร ห่างจากเจดีย์ภูเขาทองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ถัดจากเนินโบราณสถานที่ดิน นางทองสุข พาทิตย์ ระยะทาง ๓๐๐ เมตร เดิมเป็นเนินสูงใหญ่คล้ายเจดีย์ภูเขาทอง ชาวบ้านเรียกว่าเจดีย์ภูเขาทองน้อย ต่อมาถูกลักขุดจนหมดสภาพ<br />๙. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายตุ่น เหล็กนวล อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันตก ๙๐ เมตร เป็นเนินถูกไถปรับพื้นที่จนหมดสภาพ มีอิฐและศิลาแลงกระจายอยู่เล็กน้อย<br />๙.๑ เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นางทองมี เหล็กม่วง มีร่องรอยการถูกลักขุด เป็นเนินนาดใหญ่ สูงประมาณ ๑.๕๐ เมตร <br />๑๐. เนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายพลอย มีคำ อยู่ห่างจากคูเมืองด้านตะวันตก ๑๐๐ เมตร อยู่ห่างจากเนินโบราณสถานในเขตที่ดินของ นายตุ่น เหล็กนวล ไปทางใต้ ๔๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินถูกลักขุดและถูกไถปรับพื้นที่เพื่อการทำการเกษตรจนหมดสภาพ</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">หลักฐานการตั้งถิ่นฐานของ ชุมชนโบราณ </span><br />หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยของชุมชนโบราณที่เมืองศรีมโหสถ คือ เศษภาชนะดินเผาประเภทต่าง ๆ จากการสำรวจพบว่าบริเวณที่มีเศษภาชนะดินเผากระจายอย่างหนาแน่น ได้แก่ ภายในตัวเมืองและนอกคูเมืองด้านตะวันออกและด้านตะวันตก จะพบเศษภาชนะดินเผาระยะไม่ห่างจากคูเมืองมากนัก สำหรับด้านใต้นอกคูเมืองออกไปนั้นพบเศษภาชนะดินเผาน้อยมากหรือแทบจะไม่พบเลย<br /></div><br /><div align="justify">เศษภาชนะดินเผาที่พบจากการสำรวจเมืองโบราณสถานมีทั้งชนิดเนื้อดินเผาธรรมดาและชนิดเครื่องเคลือบดินเผา อาจจำแนกได้ดังต่อไปนี้ .<br /><span style="font-size:130%;">๑. เศษภาชนะดินเผาเนื้อดินธรรมดา</span><br />จากกการวิเคราะห์ส่วนผสมโดยวิธีทางกายภาพอาจแบ่งเศษภาชนะดินเผาที่พบในเมือง<br />โบราณศรีมโหสถ ออกเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้<br /><span style="font-size:130%;">กลุ่มที่ ๑</span> มีอัตราส่วนผสมของแกลบข้าวและฟางข้าวปนอยู่ในเนื้อดินมาก ส่วนใหญ่จะมีผิวสีคล้ำออกดำหรือน้ำตาลอมเทาเข้มมาก ใช้อุณหภูมิไม่สูงนัก ประมาณ ๙๐๐ องศา เนื้อเบาค่อนข้างหนา พบค่อนข้างมาก </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">กลุ่มที่ ๒</span> มีอัตราส่วนของเม็ดดินลูกรังหรือก้อนปมศิลาแลงปนมาก ส่วนใหญ่จะมีผิวสีน้ำตาลปนแดง หรือเหลืองปนแดงใช้อุณหภูมิประมาณ ๑๐๐๐ องศา เนื้อหนักและหนาพบมาก </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">กลุ่มที่ ๓</span> ดินเหนียวเนื้อละเอียดปนทรายหยาบ สีเหลืองปนแดง เนื้อบางเบาพบน้อย อุณหภูมิประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๑๐๐ องศา<br />ลวดลายที่พบเป็นเศษภาชนะดินเผา อาจจำแนกได้ ดังนี้<br /></div><br /><div align="justify">๑.ลายเชือกทาบ ใช้ไม้พันเชือกแล้วตีลายที่ตัวภาชนะ </div><br /><div align="justify">๒. ลายประทับ หรือกดประทับด้วยเครื่องมือปลายแหลมรูปตัววีกลับหัว หรือกดประทับด้วยไม้ตีเป็นรูปตารางสี่เหลี่ยมหรือเป็นหลุม </div><br /><div align="justify">๓.ลายขูดขีดเป็นตาราง รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน </div><br /><div align="justify">๔. ลายเขียนสี ที่ตัวภาชนะหรือขอบปาก เศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบหรือลายขูดขีดเป็นตารางจะพบได้ทั่วไปในแหล่งโบราณคดีก่อน ประวัติศาสตร์ตอนปลายและสมัยประวัติศาสตร์ การกำหนดอายุอย่างแน่นอน จะต้องศึกษาชั้นดินโดยละเอียด ส่วนเศษภาชนะดินเผาที่ตกแต่งลายโดยการใช้เครื่องมือปลายแหลมกดประทับลายรูปตัววีกลับหัว ซ้อนกัน ๒ ครั้ง รอบ ๆ ส่วนคอภาชนะ ลายประทับเป็นตารางสี่เหลี่ยมหรือเป็นหลุมและลายเขียนสีที่ขอบปากภาชะพบมากในแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดี<br /></div><br /><div align="justify">นอกจากเศษภาชนะดินเผาที่ตกแต่งเป็นลวดลายดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีเศษภาชนะ ดินเผาเรียบไม่มีลาย บางชิ้นพบว่าเป็นของที่ทำเลียนแบบเครื่องเคลือบดินเผาของจีนในราชวงศ์ถัง ( พศว. ๑๔-๑๕) ได้แก่ พวยกาดินเผาหกเหลี่ยมของพื้นเมืองที่เลียนแบบพวยกาเหลี่ยมของเครื่องถ้วยฉางช่าแวร์ เป็นต้น พวยกาดินเผาเหลี่ยมดังกล่าวนี้ไม่พบว่านิยมทำในอินเดีย<br /><span style="font-size:130%;">๒. เศษเครื่องเคลือบดินเผา<br /></span>เครื่องเคลือบดินเผาที่พบจากการสำรวจเมืองศรีมโหสถอาจจำแนกได้ เป็น ๓ ชนิด คือ เครื่องเคลือบดินเผาลพบุรี เครื่องถ้วยจีน และเครื่องเคลือบสมัยใหม่ (ร.๗ – ปัจจุบัน) </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">๒.๑ เครื่องเคลือบดินเผาลพบุรี</span> <br />เครื่องเคลือบดินเผาแบบลพบุรีที่พบจากการสำรวจเมืองโบราณศรีมโหสถ มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มเตาที่บ้านกรวดและกลุ่มเตาที่บ้านบาราแนะ อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ พวกแรกมีลักษณะการเคลือบด้วยสีน้ำตาลไหม้ อมม่วง ปนเหลืองใส ตกแต่งลวดลายใต้เคลือบ ด้วยลายลูกคลื่นซ้อน ๆ กัน และต่อเนื่องกันบนไหล่ภาชนะ ลายดังกล่าวเป็นลักษณะการเลียนแบบ เครื่องถ้วยซ้องซึ่งอยู่รวมกัน นอกจากนี้ยังนิยมทำลวดลายบัวลูกแล้วโดยขอบปาก หรือเหนือลาย ลูกคลื่น อีกพวกหนึ่งเคลือบสีเขียวใส ส่วนผสมในเนื้อภาชนะหนากว่าที่พบในเครื่องถ้วยจีนในขณะนี้ยังไม่สามารถกำหนดอายุเครื่องถ้วยลพบุรีได้อย่างแน่นอนจากการเปรียบเทียบขุดค้นที่ Royal Palace และบริเวณป่าช้าที่สระสรวง ( Sra Srang ) ของ จอร์จ โกรสลิเย่ ( George Groselier ) ( ๑) เนื่องจากภายหลังพบเครื่องเคลือบดินเผาลพบุรีแบบสีน้ำตาลไหม้อยู่ร่วมกับแบบสีเขียวใสในเตาเดียวกัน ดังนั้นการกำหนดอายุเครื่องถ้วยลพบุรีที่พบในเมืองโบราณศรีมโหสถ จึงอาจกำหนดอย่างกว้าง ๆ ตามจารึกในกระดิ่งที่พบที่เตาบ้านบาระแนะราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ หรือไม่เกินต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ( ข้อมูลจากอมรา ศรีสุชาติ ฝ่ายวิชาการกอง โบราณคดี )<br /><span style="font-size:130%;">๒.เครื่องถ้วยจีน</span> </div><br /><div align="justify">เครื่องถ้วยจีนที่พบจากการสำรวจเมืองศรีมโหสถอาจจำแนกได้ดังนี้<a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn5" name="_ftnref5">[5]</a> </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">๒.๒.๑ เครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์ซ้อง</span> ( ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๖- ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ) แบ่งเป็น<br /><span style="font-size:130%;">๒.๒.๑.๑เครื่องถ้วยจากมณฑลกวางตุ้ง</span> พุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ พบ ๒ ชนิด คือ เคลือบสีขาวขุ่น ผิวเคลือบแตกรานไม่มีลาย ได้แก่ ถ้วยชามและฝาชามกับชนิดเคลือบสองสีสีขาวกับสีเขียวใสไม่เขียนลาย พบในเครื่องถ้วยขนาดเล็ก เช่น ตลับฝาอบ เป็นต้น </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">๒.๒.๑.๒เครื่องถ้วยเต๋อฮัว มณฑลฝูเจี้ยน</span> พุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ พบ ๓ ชนิด ชนิดแรกเคลือบสีขาวขุ่น ทำลวดลายใต้เคลือบเป็นเส้นรูปตัววีซ้อนกัน ชนิดที่สองเคลือบสีเขียวใสเรียกว่า เขียวซ้อง มีร่องรอยการวางปากประกบกันขณะเผาไม่เขียนลาย และชนิดที่สาม เคลือบสีน้ำตาลไหม้ปนเหลือง หรือปนดำ ขูดลายเป็นร่องซ้อนกัน เคลือบทั้งด้านในและด้านนอก </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">๒.๒.๒ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน</span> ( กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ต้นพุทธศตวรรษที่๒๐) พบเครื่องถ้วยชิงไป๋จากเตาจิ่งเต๋อเจิ้น ลักษณะเป็นเครื่องถ้วยขนาดเล็กจำพวกตลับคล้ายผลฟักทอง เคลือบสีขาวอมฟ้าไม่มีลาย เนื้อบางมากเคลือบทั้งด้านในและด้านนอก </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">๒.๒.๓ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง</span> ( ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ) พบเครื่องถ้วยน้ำเงิน - ขาว ( Blue and white ) เขียนลายใต้เคลือบเป็นลายเส้นด้วยพู่กันเนื้อบาง </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">๒.๒.๔ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ชิง</span> ( ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - พ.ศ. ๒๔๕๔ ) พบ ๕ ชนิด </div><br /><div align="justify">ชนิดแรกเป็นเครื่องถ้วยน้ำเงินขาว เขียนลายด้วยพู่กันใต้เคลือบก้นถ้วย ด้านบนเขียนลายวงกลมซ้อน ๆ กัน หรือลายม้วนซ้อนกัน มีลายเส้นปนด้วย </div><br /><div align="justify">ชนิดที่สองเคลือบสีขาวอมเขียว ไม่เขียนลาย ไม่เคลือบก้นถ้วย </div><br /><div align="justify">ชนิดที่สามเขียนลายสีเขียว เหลือง ชมพู ดำ บนเคลือบสีขาวใส ราชวงศ์ชิงตอนปลาย </div><br /><div align="justify">ชนิดที่สี่ สีขาวใสเขียนยี่ห้อสีน้ำเงินใต้เคลือบ และชนิดที่ห้า เขียนลายใบไม้สีเขียวใต้เคลือบ </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">๒.๓เครื่องเคลือบดินเผาสมัยใหม่(ร.๗–ปัจจุบัน)</span> มักพบตามแหล่งโบราณคดีที่มีการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ซ้อนทับลงไป ลักษณะการเคลือบและการเขียนลวดลายค่อนข้างหยาบ สีภาชนะไม่สดใส ลายที่พบได้แก่ ลวดลายพรรณพฤกษาเป็นส่วนใหญ่<br /><span style="font-size:130%;">การกำหนดอายุเมืองโบราณศรีมโหสถ</span><br />การพบเครื่องมือขวานหินขัดที่ได้จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๑ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตสำนัก สงฆ์วัดป่าพระธาตุโพธิ์ทอง หมู่ ๖ บ้านหัวชา ตำบลหัวหว้า อำเภอศรีมหาโพธิ์ ห่างจากคูเมืองด้านตะวันอกประมาณ ๓ กิโลเมตร ทำให้อาจสันนิษฐานได้ว่าคงจะมีชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ที่ใช้เครื่องมือหินขัดอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ เมื่อประมาณ ๒๔๐๐ – ๒๘๐๐ ปีมาแล้ว ( ราว ๓๐๐ ปี ก่อนพุทธศตวรรษถึงพุทธศตวรรษที่ ๔ ) ชุมชนนี้จะพัฒนาขึ้นเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบเมื่อใดและมีโครงสร้างทางสังคมซับซ้อนเพียงใดนั้นยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนในการยืนยัน แต่จากการพบลูกปัดโรมันภายในตัวเมืองศรีมโหสถ ซึ่งกำหนดอายุจากการเปรียบกับเหรียญทองโรมัน ๒ เหรียญที่พบที่เมืองออกแก้วในแหลมโคชินจีน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม เหรียญหนึ่งมีพระรูปของพระเจ้าอันโตนิอัส ( Antonius Pius )อีกเหรียญหนึ่งมีพระรูปของพระเจ้ามาคัส ออกเรริอัส ( Marcus Aurelius ) และภาพสลักรูปมกรที่ปรากฏอยู่บนผนังสระแก้ว ซึ่งทำท่ากำลังจะกระโดดก็มีลักษณะคล้ายกับมกรในศิลปะอินเดีย แบบอมราวดี ( ราวพุทธศตวรรษที่ ๗ – ๙ ) จึงอาจกล่าวได้ว่าราวพุทธศตวรรษที่ ๗ นั้นเมืองศรีมโหสถมีพัฒนาการร่วมสมัยกับอาณาจักรฟูนัน ( พุทธศตวรรษที่ ๖ – ๑๑ ) และอาจมีการติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายกับอาณาจักรโรมัน และอินเดียไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม<a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn6" name="_ftnref6">[6]</a></div><br /><div align="justify"><br />จากการขุดแต่งโบราณสถานเนินสระบัวล้า ของกลุ่มโบราณสถานวัดสระมรกตในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๙ ได้พบรอยพระพุทธบาทคู่ ลักษณะเหมือนรอยเท้ามนุษย์สลักอยู่บนพื้นลานศิลาแลง มีลานประทักษิณก่อโดยรอบตรงกลางพระบาททั้งสองข้าง มีเครื่องหมายธรรมจักรประดิษฐ์อยู่โดยมีร่องกากบาทอยู่ตรงกลาง ร่องกากบาทนี้มีลักษณะคล้ายเครื่องหมายสวัสดิกะมาก ส่วนรอยริ้วรูปวงกลมถูกลานประทักษิณคล่อมทับ ซึ่งสังเกตเห็นเพียงเล็กน้อยก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของรอยสลักรูปบัวรองบท รอยพระพุทธบาทคู่นี้จัดเป็นอุเทสิกเจดีย์อย่างหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าตามคติของชาวอินเดียโบราณและชาวลังกา ซึ่งจะหันมาสร้างพระพุทธรูปในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ แต่จากการพบศิลาจารึกเนินสระบัว ( จารึกหลักที่ ๕๖ ) ซึ่งกล่าวถึงการสรรเสริญพระรัตนตรัย มหาศักราช ๖๘๓ ( พ.ศ. ๑๓๐๔ ) ณ บริเวณเนินสระบัวล้า จึงทำให้อาจกำหนดอายุรอยพระพุทธบาทคู่ อยู่ในต้นพุทธศตวรรษที่๑๔ นอกจากจะพบว่า กลุ่มโบราณสถานวัดสระมรกตสร้างขึ้นเนื่องในพุทธศาสนาราว พ.ต.ว. ๑๙ แล้ว ยังปรากฏร่องรอยพระพุทธศาสนาในบริเวณอื่นด้วยทั้งภายในเมือง และนอกเมืองศรีมโหสถ อาทิ เนินดินนอกเมืองหลังนิคมโรคเรื้อนที่พบพระพุทธรูปปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ เป็นต้น และตามประวัติจากคำบอกเล่าก็กล่าวถึงการพบธรรมจักรศิลาของพวกลักขุดที่เนินดินผู้ใหญ่ทองคำ บ้านสระมะเขือ และเนินดินด้านตะวันออกของกลุ่มโบราณสถานหมายเลข ๒๒ ในตัวเมืองศรีมโหสถ และในขณะเดียวกันภายในตัวเมืองศรีมโหสถก็ปรากฏหลักฐานประติมากรรมทางศาสนาฮินดู ทั้งลัทธิไศวนิกายและลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งกำหนดอายุศิลปะอยู่ในกลุ่มเทวรูปรุ่นเก่า ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ แสดงให้เห็นว่าในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑– ๑๔ ชาวเมืองศรีมโหสถรับนับถือลัทธิสำคัญทางศาสนา ๓ ลัทธิ พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ได้แก่ พุทธศาสนา ลัทธิไศวนิกาย และไวษณพนิกาย และเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่า พุทธศาสนานั้นคงจะเป็นที่นิยมนับถือกันในกลุ่มใหญ่สามัญชนมากกว่า ในขณะที่ลัทธิไศวนิกาย และไวษณพนิกายซึ่งพบอยู่ภายในเมืองนั้นคงจะนับถือกันในกลุ่มของราชวงศ์ และข้าราชการสำนักคล้าย ๆ กับลักษณะการนับถือศาสนาฮินดูของราชสำนักขอมสมัยก่อนเมืองนครในช่วงเดียวกัน หลักฐานเกี่ยวกับเมืองศรีมโหสถในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๗ ค่อนข้างจะไม่แจ่มชัดนัก ถึงแม้ว่าจะมีการพบประติมากรรมศิวลึงค์ และโยนิคลึงค์จำนวนไม่น้อยภายในตัวเมืองศรีมโหสถ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านศิลาจารึก ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการกำหนดอายุ และการตีความทางโบราณคดีเกี่ยวกับเมืองนี้ แต่จากการพบประติมากรรมภาพสลักนูนต่ำมหิษสุรมรรทนีที่โบราณสถานหมายเลข ๒๒ จากการเปรียบเทียบกับหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในประเทศกัมพูชาว่าในช่วงศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๗ ก็อาจกล่าวได้ว่าศาสนาฮินดูคงจะมีอิทธิพลสูงมากในเมืองศรีมโหสถ จนกระทั่งราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงพบหลักฐานจารึกบนภาชนะสำริดจำนวน ๓ ชิ้น จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๑๑ </div><br /><div align="justify"><br />ชิ้นแรกจารึกจุลศักราช ๑๑๐๙ ( พ.ศ. ๑๗๓๐ ) ชิ้นที่สองจารึกจุลศักราช ๑๑๑๕ ( พ.ศ. ๑๗๓๐๖ ) กล่าวถึงการอุทิศถวายเครื่องไทยธรรมแก่อโรคยศาลา ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ณ เมือง “ สังโวก” เหมือนกัน ชิ้นที่สามนั้นจารึกจุลศักราช ๑๑๑๕ กล่าวถึงการอุทิศถวายเครื่องไทยธรรมแก่อโรคยศาลาของพระเจ้าชัยวรมัน ที่ ๗ แต่เรียกนามเมืองเสียใหม่ว่า “ อวัธยปุระ ” จึงอาจเป็นไปได้ว่า ในช่วงก่อนพุทธศักราช ๑๗๓๖ นั้น เมืองโบราณคดีศรีมโหสถมีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักว่าเมืองสังโวกตหรือสังโวก ภายหลังนามเมืองถูกเปลี่ยนมเรียกว่าอวัธยปุระอย่างเป็นทางการ เมืองศรีมโหสถคงมีความสัมพันธ์ หรืออาจเป็นเมืองที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และคงเป็นเมืองโบราณอีกเมืองหนึ่งนอกเหนือไปจากบรรดาชื่อเมืองโบราณที่ปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างโรคยศาลา เพื่ออุทิศเป็นประโยชน์แก่ประชาชนของพระองค์ มิฉะนั้นแล้วภาชนะสำริดมีจารึกคงไม่ถูกนำมาเก็บรักษาหรือซ่อนเร้นรวมกันอยู่ ณ โบราณสถานหมายเลข ๑๑อย่างแน่นอน<a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn7" name="_ftnref7">[7]</a> อย่างไรก็ตาม ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นมาก็มิได้ปรากฏเรื่องราวของเมืองศรีมโหสถอีกเลย แม้จะมีเกร็ดพงศาวดารที่เล่าถึงการเดินทางทัพของพระยาวชิรปราการ ( พระเจ้าตากสิน ) ผ่านดงศรีมหาโพธิ์ หลังกรุงแตกครั้งที่ ๒ ก่อนจะเดินทางไปเมืองชลบุรี ระยอง และจันทบุรี จนกระทั่งตอนสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้กวาดต้อนเชลยสงครามครั้งศึกเจ้าอนุวงศ์ จากเมืองจำปาศักดิ์และหัวเมืองใกล้เคียงมาไว้ที่เมืองปราจีนบุรี จึงมีชุมชนของลาวพวนบางส่วน อาศัยอยู่บริเวณดงศรีมหาโพธิ์ และภายหลังมีชาวจีนเข้ามาอยู่สมทบด้วยแต่ก็เป็นเพียงชุมชนเล็ก ๆ เท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ความรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องทางวัฒนธรรมของชุมชนโบราณเมืองศรีมโหสถได้เสื่อมสลายลงในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ อันเป็นช่วงเดียวกับการเสื่อมอำนาจของอาณาจักรขอมโบราณ<a title="" style="mso-footnote-id: ftn8" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn8" name="_ftnref8">[8]</a><br /><br /><span style="font-size:130%;">บทสรุปและข้อคิดเห็นบางประการ</span></div><br /><div align="justify"><br />เมืองศรีมโหสถ เป็นเมืองโบราณ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมนค่อนข้างรี ล้อมรอบด้วยคูน้ำและคันดินขนาด ๗๐๐ x ๑,๕๐๐ เมตร ตั้งอยู่ในตำบลโคกปีบ อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี ลักษณะภูมิประเทศตั้งอยู่บนที่ดอนชายดงศรีมหาโพธิ์ สภาพพื้นที่เป็นที่ราบลอนลูกคลื่น จัดอยู่ในชุดดินกบินทร์บุรี เนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียวปนเม็ดกรวดหรือเรียกว่า “ ดินลูกรัง ” จัดเป็นเมืองโบราณรุ่นแรก ๆ ที่ปรากฏในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในเขตมืองศรีมโหสถ แสดงให้เห็นถึงร่องรอยความซ้ำซ้อนทางวัฒนธรรม อันเกิดจากอิทธิพลศิลปะฟูนัน ศิลปะทวารวดี ศิลปะเทวรูปรุ่นเก่า และศิลปะขอมครอบงำอยู่เป็นช่วง ๆ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗ เรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘<br />ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเขตเมืองศรีมโหสถ อาจเป็นผลมาจากสภาพที่ตั้งของตัวเมือง มีลักษณะคล้ายรัฐกันชนระหว่างเขตวัฒนธรรมของอาณาจักรสำคัญที่ก่อตัวอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ดังจะเห็นจากหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยแรก ๆ ที่พบในตัวเมือง ได้แก่ ลูกปัดซึ่งคล้ายกับที่พบในเมืองนอกแล้ว ประเทศเวียดนามและเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรี กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษ ที่ ๗ - ๙ แสดงให้เห็นว่าราวพุทธศตวรรษที่ ๗ - ๙ นั้น เมืองศรีมโหสถได้ติดต่อสัมพันธ์กับอาณาจักรฟูนันมาจนกระทั่งอาณาจักรฟูนันเสื่อมอำนาจลง จึงปรากฏร่องรอยทางด้านศาสนาและศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทวารวดีเข้ามาแทนที่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๔ จากหลักฐานการพบพระพุทธรูปปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ พระนิรันตราย พระพุทธรูปศิลาทรายสลักนูนสูงปางสมาธิมีสถูปประดิษฐานอยู่สองข้าง และการค้นพบธรรมจักรศิลา อันเป็นเครื่องหมายแห่งการประกาศศาสนาพุทธในดินแดนแถบนี้<br />ขณะที่เมืองศรีมโหสถรับอิทธิพลทางศิลปทวารวดีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๔ ก็มีศิลปกรรมอีกกลุ่มหนึ่งที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูทั้งลัทธิไศวนิกายและลัทธิไวษณพนิกายเกิดขึ้น ลักษณะของศิลปะดังกล่าวแสดงออกถึงสุนทรียภาพทางการสร้างสรรค์ประติมากรรมที่มีโครงสร้างกล้ามเนื้อใกล้เคียงกับลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ นักโบราณคดีเรียกศิลปะนี้ว่า “ ศิลปะเทวรูปรุ่นเก่า ” และกำหนดอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ ศิลปเทวรูปเก่านี้พบที่เมืองโบราณศรีมโหสถ เมืองโบราณศรีเทพ และเมืองโบราณชายฝั่งทะเลภาคใต้บางส่วน โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะทางอินเดียตอนใต้สมัยราชวงศ์ปัลลวะ<br />การปรากฏศิลปเทวรูปรุ่นเก่าภายในตัวเมืองศรีมโหสถ ทำให้สันนิษฐานว่าเมืองโบราณแห่งนี้คงรับเอาแนวความคิดทางศาสนาฮินดูมาจากสองแหล่งคือทางอาณาจักรเจินละ ซึ่งมีอิทธิพลทางการเมืองสืบมาจากอาณาจักรฟูนัน และจากพ่อค้าชาวอินเดียโดยการติดต่อค้าขายทางทะเลเช่นเดียวกับเมืองโบราณชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาอย่างธรรมเนียมการนับถือศาสนาฮินดูจากเจินละ ดังปรากฏหลักฐานประติมากรรมทางศาสนาฮินดูเป็นจำนวนมากภายในตัวเมืองศรีมโหสถ ในขณะที่พบหลักฐานประติมากรรมทางพุทธศาสนาภายในตัวเมืองน้อยมาก ตรงกันข้ามกลับพบร่องรอยทางพุทธศาสนาที่สำคัญบริเวณรอบนอกตัวเมืองเป็นส่วนใหญ่</div><br /><div align="justify"><br />เป็นที่ตระหนักว่าศิลาจารึกเนินสระบัว สร้างขึ้นภายใต้อิทธิพลทางศาสนาพุทธที่รับผ่านมาจากอาณาจักรทวารวดี แต่มิได้หมายความว่า ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๔ เมืองศรีมโหสถจะตกอยู่ภายใต้การครอบงำทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรมจากอาณาจักรทวารวดีแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาโดยสิ้นเชิงแต่ประการใด อิทธิพลของวัฒนธรรมทวารวดีอาจแสดงออกแต่เฉพาะด้านศิลปะพุทธศาสนาเท่านั้น ประชาชนชาวศรีมโหสถยังสืบทอดขนบประเพณีและวัฒนธรรมที่ได้รับมาจากอาณาจักรเจินละอย่างเห็นได้ชัด</div><br /><div align="justify"><br />ดังปรากฏในบางตอนของศิลาจารึกเนินสระบัว ที่ใช้ภาษาขอมโบราณจารึกข้อความแสดงให้เห็นอิทธิพลทางอักษรศาสตร์ของอาณาจักรเจินละที่มีต่อเมืองศรีมโหสถ แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะยังไม่ค้นพบจารึกที่มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๗ แต่การใช้ภาษาขอมในจารึกที่เมืองศรีมโหสถก็ยังปรากฏอีกครั้งตอนกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อิทธิพลทางวัฒนธรรมอีกประการหนึ่งที่พบในจารึกเนินสระบัว คือ การใช้ชื่อชั้นยศ “ กมรเตง ” ของบุคคลชั้นสูงตามแบบอย่างขอมโบราณ และอาจสันนิษฐานได้ว่า ชาวศรีมโหสถชั้นสูงที่นับถือศาสนาพุทธ รับคติการสร้างศาสนสถานอุทิศแด่รูปเคารพบรรพบุรุษของตน รวมทั้งประเพณีการอุทิศถวายสิ่งของบำรุงศาสนสถานมาจากอาณาจักรเจินละผสมผสานกับความเชื่อการนับถือวิญญาณบรรพบุรุษของชาวพื้นเมือง โดยกล่าวจากข้อความอุทิศถวายพระโคแก่รูปเคารพที่ใช้บรรจุอังคารของบรรพบุรุษ คือ “ กมรเตง…( ชคตะ ? ) ” ซึ่งอาจจะหมายถึงพระพุทธรูปก็ได้ คล้ายกับคติการสร้างเทวสถานเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ประจำรัชกาลกษัตริย์ของไศวนิกาย</div><br /><div align="justify"><br />ธิดา สาระยา ( ๒๕๒๙ ) สันนิษฐานว่า รอยพระพุทธบาทที่โบราณสถานสระมรกตมีอายุเก่าแก่ถึงพุทธศตวรรษที่ ๖ โดยเชื่อว่าการสร้างพระพุทธบาทน่าจะมีขึ้นก่อนการเข้ามาของพระพุทธรูปสมัยอมราวดีที่บ้านพงตึกและโคราช ก่อนที่คติการสร้างธรรมจักรศิลาในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะปรากฏที่เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในพุทธศตวรรษที่ ๑๐ แต่นักโบราณคดีบางท่าน ( สุภัทรดิศ : ๒๕๒๙ ) ก็เชื่อว่า รอยพระพุทธบาทที่โบราณสถานวัดสระมรกต มีอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๕ </div><br /><div align="justify"><br />ในระยะแรก ๆ การศึกษาศิลาจารึกเนินสระบัวไม่สู้จะให้ความกระจ่างต่อการตีความทางโบราณคดีเท่าใดนัก ครั้นเมื่อมีการค้นพบรอยพระพุทธบาทคู่ที่โบราณสถานวัดสระมรกตในต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๙ จึงทำให้การศึกษาจารึกเนินสระบัวเป็นไปอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการกำหนดอายุรอยพระพุทธบาท เป็นต้น</div><br /><div align="justify"><br />ศิลาจารึกเนินสระบัว บรรทัดที่ ๑ – ๓ กล่าวถึงการประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของชนชั้นสูงผู้หนึ่ง ( แห่งเมืองศรีมโหสถ ) ในปีฉลู นักษัตร แรม ๑ ค่ำ เดือนเจ็ด วันพุธ มหาศักราช ๖๘๓ ( พ.ศ. ๑๓๐๔ ) ข้อความสำคัญประโยคหนึ่งในบรรทัดที่ ๒ และ ๓ อาจนำมากำหนดอายุของรอยพระพุทธบาทค่อนข้างแน่นอน ดังนี้<br />“ ( มรเตง…) พุทธสิระ ประดิษฐานพระศาสดานั้น ฯ คำว่า “ พระศาดานั้น ” สันนิษฐานว่าหมายถึง รอยพระพุทธบาทคู่ ในรูปลักษณ์หรือความหมายแทนองค์พระพุทธเจ้า</div><br /><div align="justify"><br />พระพุทธบาทเป็นอุเทสิกเจดีย์อย่างหนึ่ง ที่สร้างขึ้นบูชาแทนองค์พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ ก่อนความนิยมในการสร้างพระพุทธรูปจะแพร่หลายมากยิ่งขึ้นในแถบเอเชียอาคเนย์ ดังนั้น แทนที่ผู้สร้างรอยพระพุทธบาทจะจารึกประโยคว่า “ ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ” ตรง ๆ กลับใช้ว่า “ ประดิษฐานพระศาสดานั้น ” แทน</div><br /><div align="justify"><br />ข้อความว่า “ …พระบาท พระผู้มีปัญญา…ผู้ไตร่ตรองศีลและปัญญา…” และข้อความ “ …พระบาทประดิษฐาน ( กมรเตง ) .. ” คงจะหมายถึง กมรเตง ( ชคตะ ? ) ผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของผู้สร้างรอยพระพุทธบาทคู่ คำว่า “ ผู้ไตร่ตรอง ” หมายถึงผู้ที่มีสมาธิหรือไตร่ตรองโดยสมาธิ ผู้ไตร่ตรอง ( สมาธิ ) ศีลและปัญญาอันเป็นหลักสำคัญประการหนึ่งทางพุทธศาสนาซึ่งเรียกว่าหลักไตรสิกขา ย่อมหมายถึง พุทธมามกะ ส่วน“ กมรเตง ( ชคตะ ? ) ” ในที่นี้สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปบรรจุอังคารบรรพบุรุษของ กมรเตงพุทธสิระ ผู้ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทคู่นั่นเอง</div><br /><div align="justify"><br />จากการวิเคราะห์ศิลาจารึกเนินสระบัวดังกล่าวข้างต้นอาจกล่าวได้ว่า รอยพระพุทธบาทคู่โบราณสถานวัดสระมรกต สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. ๑๓๐๔ ( ม.ศ. ๖๘๓ ) หรือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ โดยดั้บอิทธิพลทางศาสนาพุทธจากกลุ่มวัฒนธรรมทวารวดีจากหลักฐานลักษณะพุทธศิลปะ ซึ่งปรากฏในประติมากรรมที่ดงศรีมหาโพธิ์ หรือ จะกล่าวได้ชัดเจน คือ รอยพระพุทธบาทคู่ที่โบราณสถานวัดสระมรกต สร้างขึ้นโดยชนชั้นสูงชาวพื้นเมืองศรีมโหสถที่นับถือศาสนาพุทธ ผู้ร่วมเผ่าพงศ์วงศากับกลุ่มชนชั้นสูงที่นับถือศาสนาฮินดูแห่งเมืองมโหสถ และผู้ที่ผลักดันให้เกิดศิลปะเทวรูปรุ่นเก่าขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ ที่เมืองศรีมโหสถ คือ กลุ่มชนชั้นสูงกลุ่นี้ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรเจินละ ซึ่งคงจะแผ่เข้ามาในดงศรีมหาโพธิ์สมัยพระเจ้าอิสานวรมันพร้อม ๆ กับการผนวกเอาดินแดนบางส่วน ( ตอนกลาง – ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ) เหนืออ่าวไทยแถบจังหวัดจันทบุรีจรดอาณาเขตทางทิศตะวันออกของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นเขตอิทธิพลของอาณาจักรทวารวดี และหลักฐานในศิลาจารึกปราสาทด๊อกก๊อกธมที่เล่าถึงพระราชประวัติของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ แสดงให้เห็นว่าดินแดนแถบนี้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขอมมาโดยตลอด</div><br /><div align="justify"><br />หลักฐานทางโบราณคดีที่สร้างเนื่องในศาสนาฮินดู อายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๗ พบน้อยมากในเมืองศรีมโหสถ ในขั้นต้นนี้เข้าใจว่ารูปเคารพสำคัญในศาสนาฮินดูสมัยเทวรูปรุ่นเก่าตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๔ อาจยังคงปรากฏมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๗ เลยก็ได้ มีเพียงภาพสลักศิลาทรายนูนต่ำมหิษสุรมรรทนีจากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒๒ ( เทวสถานกลางเมือง ) รูปเดียวเท่านั้น ซึ่งอาจกำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖ ประติมากรรมดังกล่าวนุ่งผ้ายาวคร่อมข้อเท้าคล้ายกับการนุ่งผ้าของประติมากรรมขอมสมัยพบมดาหรือสมโบร์ไพรกุก ( ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ ) แต่ผ้าห้อยหน้ามีลักษณะอย่างประติมากรรมสมัยพระโค ( ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ) และผ้าพันเอวซึ่งปรากฏเค้าราง ๆ ให้เห็น มีลักษณะอย่างประติมากรรมสตรีที่ปราสาทเนียงเขมาศิลปะสมัยเกาะแกร์ ( ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ) </div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">สำหรับศิวลึงค์ศิลาทรายขนาดใหญ่ที่เก็บรักษาไว้ที่วัดสระมรกตนับเป็นหลักฐานทางโบราณคดีเนื่องในลัทธิไศวนิกายที่ปรากฏโบราณสถานวัดสระมรกต ลักษณะที่น่าสนใจ คือ เป็นศิวลึงค์ที่สร้างขึ้นเพียง ๒ ภาค ได้แก่ รุทรภาคกับวิษณุภาค</span></div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">น่าสังเกตว่า รุทรภาค มีขนาดสั้นมาก ขณะที่วิษณุภาคมีความยาวถึง ๕ เท่าของรุทรภาค และด้านหลังของศิวลึงค์นี้ทำแบนราบเรียบราวกับต้องการให้มองเห็นแต่ด้านหน้าเพียงด้านเดียว ลักษณะของศิวลึงค์มี ๒ ภาคนี้จัดอยู่ในวิวัฒนาการช่วงปลาย อาจกำหนดอายุราวพุทธศตวรษที่ ๑๕ – ๑๗ ส่วน ศิวลึงค์ในรุ่นแรก ๆ แถบดงศรีมหาโพธิ์นั้น จะมีลักษณะคล้ายองค์กำเนิดเพศชายค่อนข้างชัดเจนและกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๓</span> </div><br /><div align="justify"><br />จากการพบศิวลึงค์ดังกล่าวที่โบราณสถานวัดสระมรกตทำให้เกิดความสงสัยว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นที่นี่ ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ต่อมาประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงพบหลักฐานพระพุทธรูปนาคปรกสวมกระบังหน้าแบบนครวัด ( ปลายพุทธศตวรษที่ ๑๗ ) พระพุทธรูปนาคปรกพระเนตรพริ้ม พระโอษฐ์อมยิ้มแบบบายน ( พุทธศตวรษที่ ๑๘ ) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแบบบายนและพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑ ( พุทธศตวรษที่ ๑๘ ) พร้อม ๆ กับการพบหลักฐานทางพุทธศาสนานิกายมหายานที่โบราณสถานหมายเลข ๑๑ และประติมากรรมพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑที่โบราณสถานกลางเมือง ( เทวสถานพระพิฆเนศ )</div><br /><div align="justify"><br />นั่นคือระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ศาสนาฮินดูได้เข้ามาแทรกแซงศาสนาพุทธที่โบราณสถานวัดสระมรกต เมื่อถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ จึงเกิดการฟื้นฟูศาสนาพุทธที่วัดสระมรกตอีกครั้งหนึ่ง และยังพบว่าศาสนาพุทธพยายามแทรกแซงศาสนาฮินดูที่เทวสถาน กลางเมืองศรีมโหสถอีกด้วย</div><br /><div align="justify"><br />ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างเมืองศรีมโหสถกับดินแดนอื่น นอกเหนือไปจากหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการติดต่อกับอาณาจักรฟูนัน หรือหลักฐานอิทธิพลทางศิลปะกับอิทธิพลทางศาสนาจากอาณาจักรทวารวดีและความสัมพันธ์ทางเครือข่ายวัฒนธรรมกับเมืองโบราณใกล้เคียงและอาณาจักรเจินละในช่วง ต้น ๆ ของพัฒนาการแหล่งวัฒนธรรมเมืองโบราณศรีมโหสถแล้วยังปรากฏหลักฐานการติดต่อกับประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ( พุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ ) จากการพบชิ้นส่วนพวยกาดินเผารูปหกเหลี่ยม ซึ่งเชื่อว่าทำเลียนแบบพวยกาเหลี่ยมของเครื่องถ้วยฉางช่าแวร์ในสมัยราชวงศ์ถัง แต่กระนั้นก็ตามพวยกาดินเผาชิ้นนี้อาจทำเลียนแบบขึ้นในสมัยหลัง ๆ ก็ได้ </div><br /><div align="justify"><br />การติดต่อทางการค้ากับประเทศจีนยังคงปรากฏให้เห็นต่อมา เมื่อสำรวจพบเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์ซ้อง ( พุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๙ ) จากมณฑลกวางตุ้งและเครื่องถ้วยเต๋อฮัวจากมณฑลฝูเจี้ยน อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงแห่งความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของเมืองศรีมโหสถ และการพบเครื่องถ้วยจีนยังคงมีต่อมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๒ จากการพบเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์หงวน , หมิง , และชิง</div><br /><div align="justify"><br />นอกจากเครื่องถ้วยจีนแล้วยังพบเครื่องถ้วยลพบุรีลักษณะคล้ายกับเครื่องเคลือบดินเผาซึ่งพบที่แหล่งเตาเผา อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ อาจกำหนดอายุในเบื้องต้นจากจารึกบนกระดิ่งดินเผาที่เตาบ้านบาระแนะ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ แต่ไม่เกินต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ( ข้อมูลจาก อมรา ศรีสุชาติ , ฝ่ายวิชาการ กองโบราณคดี ) แสดงให้เห็นว่าในช่วงดังกล่าวนี้เมืองศรีมโหสถยังติดต่อกับแหล่งวัฒนธรรมในลุ่มแม่น้ำมูลตอนใต้อีกด้วย</div><br /><div align="justify"><br />กล่าวโดยสรุป หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในสมัยต้น ๆ ของแหล่งวัฒนธรรมเมืองศรีมโหสถตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๔ แสดงให้เห็นถึงการรับกระแสทางวัฒนธรรมต่างศาสนาจากอาณาจักรทวารวดีและอาณาจักรเจนละ อย่างปราศจากปรากฏการณ์รุนแรง ศาสนาฮินดูมีรากฐานอย่างมั่นคงภายใต้การรับใช้ชนชั้นสูงแห่งเมืองศรีมโหสถมาจนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ในขณะที่ร่องรอยทางศาสนาพุทธปรากฏอยู่ทั่วไปนอกเขตเมือง แต่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ได้เกิดเหตุการณ์แทรกแซงกันทางศาสนาอย่างรุนแรงจากการปรากฏรูปเคารพในลัทธิไศวนิกายที่ศาสนสถานวัดสระมรกต ในช่วงนี้ศาสนาพุทธคงสดุดพัฒนาการของตนไปชั่วขณะหนึ่งกระทั่งปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงเกิดการฟื้นฟูทางพุทธศาสนาขึ้นทั่วทั้งเมืองศรีมโหสถ รวมทั้งอาจมีความพยายามในการขจัดศาสนาฮินดูออกจากเมืองศรีมโหสถ โดยประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑที่เทวสถานกลางเมืองในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ <br /><br /><span style="font-size:130%;">การอ้างอิง</span><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a>สุจิตต์ วงษ์เทศ, วัดต้นโพธิ์, อักษรสัมพันธ์, พระนคร หน้า ๕๓-๕๕ (๒๕๑๑)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ตำนานพระพุทธเจดีย์เล่ม๒, (๒๔๘๙)<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> จดหมายเหตุพระราชกรณียกิจรายวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ค.ศ. ๑๙๑๒ (๒๔๕๕) กองสมุดแห่งชาติ หน้า ๓๓๖<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref4" name="_ftn4">[4]</a> บรรจบ เทียมทัด โบราณคดีเมืองปราจีนบุรี, สารบรรณทหารเรือ, พระนคร หน้า ๗๐<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref5" name="_ftn5">[5]</a> กรมศิลปากร , เครื่องถ้วยในประเทศไทย , อมรินทร์การพิมพ์ , กรุงเทพมหานคร , หน้า ๗๕ ปี ๒๕๒๓<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref6" name="_ftn6">[6]</a> มจ. สุภัทรดิศ ดิศกุล “ อาณาจักรฟูนัน ” โบราณคดีดงศรีมหาโพธิ์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร หน้า ๔๒ – ๔๓<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref7" name="_ftn7">[7]</a> มจ. สุภัทรดิศ ดิศกุล “ ศาสนาพราหมณ์ในอาณาจักรขอม ” ศิลปากรปีที่ ๑๕ เล่ม ๒ กรกฏาคม ๒๕๑๔ หน้า ๒๖ – ๓๘<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn8" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref8" name="_ftn8">[8]</a> พระครูศรีมหาโพธิ์คณารักษ์ , จังหวัดปราจีนบุรี ฯ , หน้า ๓๐<br /></div><span style="font-size:130%;">บรรณนุกรม</span><br />๑. กรมแผนที่ทหาร , แผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ, ระวาง ๕๒๓๖-๑ ลำดับชุด ๗๐๑๗ มาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐<br />๒. กรมแผนที่ทหาร , แผนที่ประเทศไทย , มาตราส่วน ๑ : ๑,๐๐๐,๐๐๐<br />๓. กรมศิลปากร , เครื่องถ้วยในประเทศไทย , อมรินทร์การพิมพ์, กรุงเทพ, ๒๕๒๓.<br />๔. กรมศิลปากร , ทะเบียนโบราณวัตถุสถานทั่วราชอาณาจักร , คุรุสภา , กรุงเทพ, ๒๕๑๖.<br />๕. กองหอสมุดแห่งชาติ ,จดหมายเหตุกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ค.ศ. ๑๙๑๒ (๒๔๕๕).<br />๖. นิคม มูสิกะคามะ และบรรจบ เทียมทัด , โบราณคดีเมืองปราจีนบุรี , กรมสารบรรณทหารเสือ การพิมพ์ , กรุงเทพฯ, ๒๕๑๕.<br />๗. พระครูศรีมหาโพธิคณารักษ์ , จังหวัดปราจีนบุรี, อักษรสัมพันธ์การพิมพ์, กรุงเทพฯ, ๒๕๑๐”<br />๘. สุจิตต์ วงษ์เทศ, วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์, อักษรสัมพันธ์การพิมพ์,๒๕๑๐.<br />๙. สุภัทรดิศ ดิศกุล, มจ. ศาสนาพาหมณ์ในอาณาจักรขอม , ศิลปากร ปีที่ ๑๕ เล่ม ๒ กรกฎาคม ๒๕๑๖.<br />๑๐. สุภัทรดิศ ดิศกุล, มจ. อาณาจักรฟูนัน , อักษรสัมพันธ์การพิมพ์, กรุงเทพฯ, ๒๕๑๐.<br />๑๑. สมเด็จ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ตำนานพุทธเจดีย์ เล่ม ๒ ,คุรุสภา , กรุงเทพฯ, ๒๔๕๕.พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-69346466149246331392012-03-26T21:43:00.005-07:002012-03-28T20:44:08.064-07:00รายงานการบูรณะพระปรางค์สามยอด พ.ศ.2537<span style="font-size:130%;"><span style="font-size:180%;">รายงานการบูรณะโบราณสถานพระปรางค์สามยอด ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี<br />ปีงบประมาณ 2537 (กรกฎาคม 2538)</span></span><br /><span style="font-size:130%;"></span><span style="font-size:100%;">เสนอ กรมศิลปากร<br /><em>(ศึกษาเปรียบเทียบ ค้นคว้าและเรียบเรียงโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร)</em></span><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjii2aZ_sokGOQQfxM2-Xq6PLoNqvfjc8gE5-wEk8NFV2Dcpo2o_DdAMUq2oBkUtSfk8SfBFuXNW8TbGZFjMUu-_TW33UFvc88O8bS3MT283a9rD9W5YVWmRTGeqz2Bof0OuZhgkgPez_gf/s1600/20.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5725152470561066098" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 255px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjii2aZ_sokGOQQfxM2-Xq6PLoNqvfjc8gE5-wEk8NFV2Dcpo2o_DdAMUq2oBkUtSfk8SfBFuXNW8TbGZFjMUu-_TW33UFvc88O8bS3MT283a9rD9W5YVWmRTGeqz2Bof0OuZhgkgPez_gf/s320/20.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxkY5qBQgHcVioMY7_aa0FDdOKhy9bRPWd_a7CvU3W4fw3VwKAd1UsNTaJjlEgkB5yjTT6MHNoeLMoaNg2nzmbVGaFbgXAzl_mq_Dv0wokfdle2nxLDMQU2CR0_vu8-DiQarFScZ3JXPjj/s1600/18.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5725151923759211266" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 237px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxkY5qBQgHcVioMY7_aa0FDdOKhy9bRPWd_a7CvU3W4fw3VwKAd1UsNTaJjlEgkB5yjTT6MHNoeLMoaNg2nzmbVGaFbgXAzl_mq_Dv0wokfdle2nxLDMQU2CR0_vu8-DiQarFScZ3JXPjj/s320/18.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1fTnhQMn7g0Pj-DuEXRg4T6Zm_ueOJ8wqFZ3LpVrohiTCBdX4VXLrOqhwzPJuzfDF1HNb80tJSNVOausBhFUYP0B2EWqtlmGRfPbxsgWktDcAWovTt6AcF8ycJWyeXlDq2bfflBUIGqiv/s1600/19.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5725151745631088994" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 254px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1fTnhQMn7g0Pj-DuEXRg4T6Zm_ueOJ8wqFZ3LpVrohiTCBdX4VXLrOqhwzPJuzfDF1HNb80tJSNVOausBhFUYP0B2EWqtlmGRfPbxsgWktDcAWovTt6AcF8ycJWyeXlDq2bfflBUIGqiv/s320/19.jpg" border="0" /></a><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5725152137970161138" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 236px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6ivLiyMYTQIGAImIyY4s0OiVX3sFcnUV2hiKa7nIrO3kvEYN-rifudgz4-oNaoU-H1AdEtxcFHSwQHz7htqOPBi_Zrpvd9pVx_43071mMQlTxxaGtNnJ07iEjhoij9lzA9Tx4bOMmLC4i/s320/6.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEishWLKXJf-gp1iwWy1Agi_BrtIHg9RcA3YUhi46n1VXQHYDdb7sH8BoLtARxL24aA5c956cGHdaoyQVAtVldv33SvmDlxG9wOrvLLqgDmiBEGsKH-ALNBmWhMyqb-q7TrwoQHktjl_XLM1/s1600/2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5725151482313064594" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 241px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEishWLKXJf-gp1iwWy1Agi_BrtIHg9RcA3YUhi46n1VXQHYDdb7sH8BoLtARxL24aA5c956cGHdaoyQVAtVldv33SvmDlxG9wOrvLLqgDmiBEGsKH-ALNBmWhMyqb-q7TrwoQHktjl_XLM1/s320/2.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_MRzzGBCqBiY7YYj9FR46vjAD5ZvVBnYonJVYgkjiEaC0Hq_6vQbZX66wKkcurTHZpWUsq0ETQkfdj8j72_C6OYiFG3nLbNt5Up-xFlduYjD6wyKGBGDDY14271NqQ9XTXXqVwxE-bkFo/s1600/3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5725151125104254418" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 255px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_MRzzGBCqBiY7YYj9FR46vjAD5ZvVBnYonJVYgkjiEaC0Hq_6vQbZX66wKkcurTHZpWUsq0ETQkfdj8j72_C6OYiFG3nLbNt5Up-xFlduYjD6wyKGBGDDY14271NqQ9XTXXqVwxE-bkFo/s320/3.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvbSE-_X_1Z6gRnIA0VWb5w6RdYbuAcYw4wpZp4Hc-7dK84bHVg1EQPFSKpq9fhL1k0r6Zfw7ZmOc3xALpefITo5oIoBeqZdmmSw4zeFf2f5BAbRlFEQ2OHZaY9j3rpEBRJt9dhP8t1Sap/s1600/6.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5725150895273119090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 251px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvbSE-_X_1Z6gRnIA0VWb5w6RdYbuAcYw4wpZp4Hc-7dK84bHVg1EQPFSKpq9fhL1k0r6Zfw7ZmOc3xALpefITo5oIoBeqZdmmSw4zeFf2f5BAbRlFEQ2OHZaY9j3rpEBRJt9dhP8t1Sap/s320/6.jpg" border="0" /></a> <span style="font-size:130%;">คำนำ</span><br />วิกฤตการณ์อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและความเจริญทางวัตถุอย่าไม่หยุดยั้ง เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดการโยกย้ายถ่ายเทมวลสารประชากรและอื่นๆหลายกระแสโดยผ่านกระบวนการทางด้านการคมนาคม แม้ความหนาแน่นของการคมนาคมจะเป็นสิ่งบ่งชี้ระดับแห่งพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อปรากฏการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างและความมั่นคงของโบราณสถานอย่างรุนแรงแล้วองค์กรซึ่งรับผิดชอบต่อการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ จำเป็นต้องรีบดำเนินการตรวจสอบป้องกันและแก้ไขโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้<br /><br /><br /><div align="justify">ในอดีตนั้น โบราณสถานสำคัญของชาติจำนวนมากต่างก็ถูกคุกคามจากการขยายตัวของประชากรและสังคมเมือง อาทิ การสร้างอาคารคร่อมทับหรือแวดล้อมโบราณสถาน การตัดถนนและการสร้างทางรถไฟผ่านโบราณสถาน การดัดแปลงสภาพคูเมืองเชื่อมเข้ากับคลองชลประทาน การสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ การบุกรุกและรื้อโบราณสถานเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ด้วยความรู้เท่าไม่ถุงการณ์ ฯลฯ สาเหตุข้างต้นล้วนแต่ทำให้เกิดความสูญเสียโอกาสในการศึกษาหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปกรรมของอารยธรรมไทยทั้งสิ้น</div><br /><br /><div align="justify">กรมศิลปากรตระหนักถึงสภาวะอันน่าวิตกดังกล่าวจึงได้ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อป้องกันและอนุรักษ์มิให้มรดกศิลปวัฒนธรรมล้ำค่าของชาติถูกทำลายด้วยเงื่อนไขต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอนุรักษ์พระปรางค์สามยอด อันเป็นโบราณสถานใจกลางเมืองลพบุรี ซึ่งบ่งบอกถึงพัฒนาการของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในภูมิภาคนี้ได้เป็นอย่างดี โบราณสถานแห่งนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขยายตัวของผังเมืองและความหนาแน่นของการจราจร ทั้งยานยนต์และรถไฟ อันมิได้ตระหนักถึงความอยู่รอดใดๆ ทำให้โครงสร้างบางส่วนของพระปรางค์ปริแยกอย่างน่าเกรงว่าจะทรุดพังลงมา หากมิได้เร่งรีบดำเนินการอนุรักษ์และบูรณะอย่างเหมาะสม</div><br /><br /><div align="justify">ขณะที่ลวดลายปูนปั้นของพระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุได้รับความเสียหายจากมูลนกพิราบ ส่วนพระปรางค์สามยอดก็ได้รับผลกระทบจากการรบกวนของลิงทั้งหลายที่ปีนป่ายหรืองัดแงะชิ้นส่วนต่างๆบนองค์ปรางค์ อาทิ ลวดลายปูนปั้น กลีบขนุนปรางค์ และศิลาแลงที่เสื่อมสภาพ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาจากการลักลอบนำชิ้นส่วนทางสถาปัตยกรรมออกไปจากองค์ปรางค์อย่างผิดกฎหมายด้วย ทำให้กรมศิลปากรต้องดำเนินการให้มีการอนุรักษ์โบราณสถานพระปรางค์สามยอดด้วยวิธีการต่างๆอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2469 เป็นต้นมา</div><br /><br /><div align="justify">ในปี พ.ศ.2536 ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุรศักดิ์ก่อสร้าง ได้รับมอบหมายจากกรมศิลปากรให้ดำเนินการบูรณะพระปรางค์หมายเลข 3 (ปรางค์ทิศเหนือ) แล้วเสร็จสมบูรณ์ด้วยดี ต่อมาในงบประมาณ 2537 ห้างฯ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการบูรณะปรางค์หมายเลข 1 (ปรางค์ทิศใต้) และปรางค์หมายเลข 2 (ปรางค์ประธาน) ระหว่างเดือนตุลาคม 2537-กรกฎาคม 2538 พร้อมกันไปกับการขุดแต่งและขุดค้นเพื่อตรวจสอบชั้นดินทางโบราณคดีและศึกษาโครงสร้างรากฐานของโบราณสถานแห่งนี้</div><br /><div align="justify"><br />เนื่องด้วยการบูรณะโบราณสถานพระปรางค์สามยอดเป็นการดำเนินงานที่อยู่ในความสนใจอย่างยิ่งของมวลชน ห้างฯ จึงมีนโยบายให้บุคลากรทุกฝ่ายปฏิบัติงานอย่างรอบคอบรัดกุมเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรและทางฝ่ายราชการ โดยคำนึงถึงถึงปรัชญาในการสงวนรักษามรดกทางสถาปัตยกรรมของสภาระหว่างประเทศว่าด้วยอนุสรณ์สถานและแหล่งโบราณคดี (INTERNATIONAL COUNCIL ON MONUMENTS AND SITES) เจ็ดประการ ได้แก่ การป้องกันการเสื่อมสภาพ (PROTECTION) การสงวนรักษาภาพ (PRESERVATION) การอนุรักษ์ (CONSERVATION) การเสริมความมั่นคงแข็งแรง (CONSOLIDATION) การบูรณปฏิสังขรณ์ (RESTORATION) การฟื้นฟูสภาพตามเค้าโครงเดิมทางสถาปัตยกรรม (RECONSTRUCTION) และการรื้อแล้วประกอบคืนตามสภาพเดิม (ANASTYLOSIS) ภายใต้การควบคุมและแนะนำอย่างใกล้ชิดของผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากร</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">ห้างฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานฉบับนี้จะมีประโยชน์ต่อการศึกษาเปรียบเทียบและเป็นแบบอย่างในการตัดสินใจดำเนินการอนุรักษ์และบูรณะโบราณสถาน เพื่อป้องกันและแก้ไขการคุกคามหรือการทำลายโบราณสถานสำคัญแห่งอื่นๆของชาติในโอกาสต่อไป<br /><br /><span style="font-size:130%;">ผู้ร่วมงาน</span><br /><br />1. นายสุรชัย ธรมธัช ผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุรศักดิ์ก่อสร้าง<br />2. นายเจตนพันธุ์ ธนะสุนทร นักโบราณคดี<br />3. นายพิทยะ ศรัวัฒนสาร นักโบราณคดี<br />4. นายกฤษฏา ตะก้อง ช่างสำรวจ<br />5. นายสัมพันธ์ สุขพัทธี ช่างศิลปกรรม<br />6. นายสุเมธ ทองสุก ผู้ช่วยช่างศิลปกรรม<br />7. นายธีระกุล สิงหะแสนยาพงษ์ ผู้ช่วยช่างสำรวจ<br />8. นายวินิต พูนเพิ่ม ช่างฝีมือแรงงาน<br />9. นายสมชาย คำแตง ช่างฝีมือแรงงาน<br />10. นายสุรชัย บุญโย ช่างฝีมือแรงงาน<br />11. นายลบ มาประโคน ช่างฝีมือแรงงาน<br />12. นายพินิจ คงทวี ช่างฝีมือแรงงาน<br />13. นายเจ้ย เกียรรัมย์ ช่างฝีมือแรงงาน<br />14. นายฉาย ขุนกลาง ช่างฝีมือแรงงาน<br />15. นายเตียน สมหมาย ช่างฝีมือแรงงาน<br />16. นายวันชัย ฤทธิ์เจริญ ช่างฝีมือแรงงาน<br />17. นายคูณ ปุนประโคน ช่างฝีมือแรงงาน<br />18. นายหลี ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา ช่างฝีมือแรงงาน<br />19. นายบุรินทร์ ภาสดา ช่างฝีมือแรงงาน<br />20. นายชาติ มหาดไทย หัวหน้าคนงาน<br />21. นางจินดา กำเนิดเพ็ชร คนงาน<br /><br /><span style="font-size:130%;">บทนำ</span><br />ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโบราณสถานพระปรางค์สามยอด<br /><span style="font-size:130%;">ที่ตั้ง</span><br />โบราณสถานพระปรางค์สามยอด เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ตั้งอยู่ที่ประมาณ พิกัด PS 741368 หรือที่ประมาณเส้นรุ้งที่ 14 องศา 47 ลิปดา 08 ฟิลิปดาเหนือ เส้นแสงที่ 100 องศา 36 ลิปดา 30 ฟิลิปดาตะวันออก ตามแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ จังหวัดลพบุรี มาตราส่วน 1 : 50000 พิมพ์ครั้งที่ 1-RTSD ระวาง 5138 IV</div><br /><div align="justify">พระปรางค์สามยอด เป็นโบราณสถานสำคัญ ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี มีขอบเขตพื้นที่ตามแนวเขตรั้วโบราณสถานปัจจุบันประมาณ 2 ไร่เศษ<br /><br /><span style="font-size:130%;">ทิศเหนือ</span> เป็นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์มาลัยรามา และห้างทวีกิจ ระหว่างโรงภาพยนตร์มาลัยรามากับโบราณสถานพระปรางค์สามยอดมีทางเดินสาธารณะทอดยาวไปตามแนวทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ทางเดินสาธารณะสายนี้ ชาวเมืองลพบุรีเคยเรียกว่า “ประตูผี” ใช้เป็นทางแห่ศพไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดปาธรรมโสภณ ปัจจุบันคือถนนมโนราห์ กับถนนคูเมืองหรือถนนบนเมืองเส้นใดเส้นหนึ่ง และหากนำแผนที่ของวิศวกรชาวฝรั่งเศสมาเทียบประกอบการวิเคราะห์ก็จะพบว่า ทางเดินสายนี้เดิมถูกตัดเป็นแนวเส้นตรง มีจุดเริ่มต้นที่ประตูเมืองริมฝั่งแม่น้ำลพบุรีทางเหนือของศาลลูกศร ผ่านบ้านหลวงรับราชฑูตผ่านจวนเจ้าพระยาพระคลัง (อันเป็นที่ดินส่วนใหญ่ของคุณนายรุจี) ผ่านขึ้นไปยังพระปรางค์สามยอด จากนั้นก็จึงเป็นเส้นทางที่สามารถจะเดินทางไปด้านใดก็ได้ อาทิ หากไปทางตะวันออก ก็จะเป็นเมืองชั้นในด้านหน้าของพระราชอุทยานในสมเด็จพระนารายณ์ หากไปทางทิศเหนือก็จะเป็นประตูเมืองด้านตรงข้ามกับวัดตองปุ เป็นต้น<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันออก</span> มีทางรถไฟตัดผ่านตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถัดขึ้นไปเป็นถนนราชมนู อันเป็นถนนที่เชื่อมกับวงเวียนศาลพระกาฬทางด้านใต้ และทัศออกไปทางทิศตะวันออก เป็นสนามกีฬาของโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย<br /><span style="font-size:130%;">ทิศใต้</span> มีถนนวิชาเยนทร์ตัดผ่าน ตามแผนผังของฝรั่งเศส ถนนสายนี้เริ่มต้นที่ประตูเมืองฝั่งริมแม่น้ำลพบุรี ระหว่างวัดปืนกับจวนราชทูตเปอร์เซีย ผ่านบ้านหลวงรับราชทูต จวนเจ้าพระยาพระคลังกับปรางค์แขก ผ่านพระปรางค์สามยอดไปสิ้นสุดที่ศาลพระกาฬ ถนนวิชาเยนทร์นี้เป็นเส้นทางที่ขนานกับถนนมโนราห์กับถนนบนเมืองและถนนคูเมือง ปัจจุบันมีอาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ตลอดแนว<br /><span style="font-size:130%;">ทิศตะวันตก</span> มีถนนพระปรางค์สามยอดตัดผ่านฝั่งตรงข่ามถนนมีอาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ตลอดแนว ถนนพระปรางค์สามยอดนี้ เป็นถนนที่ถูกตัดขึ้นใหม่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผ่านเนินพระปรางค์สามยอดทางด้านใต้ (จากถนนวิชาเยนทร์) ไปตัดกับถนนสุระสงครามที่บริเวณสี่แยกท่าโพธิ์ จัดเป็นทางคมนาคมสำคัญระหว่างจังหวัดลพบุรีกับจังหวัดสิงห์บุรี<br /><br /><span style="font-size:130%;">การศึกษาความสัมพันธ์ของที่ตั้งโบราณสถานพระปรางค์สามยอดกับโบราณสถานอื่นๆ<br /></span>ก่อนจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างโบราณสถานพระปรางสามยอดกับโบราณสถาน<br />อื่นๆในเมืองลพบุรี (แม้จะกล่าวไปบ้างแล้วก็ตาม) ขอประเมินคุณค่าของเอกสารสำคัญ (แผนที่ของวิศวกร<br />ฝรั่งเศสสมัยพระนารายณ์) ที่จะใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเนื้อหาในที่นี้เป็นเบื้องต้นสักเล็กน้อย</div><br /><div align="justify"><br />แผนผังเมืองละโว้หรือลพบุรีซึ่งจะใช้เป็นหลักฐานในการบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างโบราณสถานพระปรางค์สามยอดและโบราณสถานสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนี้ เชื่อกันว่าถูกสำรวจและรังวัดขึ้นโดย นาย เดอ ลา มาร์ (M.DE LA MARE) วิศวกรฝรั่งเศสที่เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ประมาณปี พ.ศ.2223-2230) นาย เดอ ลา มาร์ ผู้นี้เคยบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับกบฏมักกะสันในปี พ.ศ.2230 อย่างละเอียด จากการสังเกตการณ์และสอบถามผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคน ต่อมาแผนผังฉบับนี้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในบันทึกจดหมายเหตุการเดินทางของชาวฝรั่งเศสบางเล่ม</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">ลักษณะแผนผังเมืองลพบุรีของนาย เดอ ลา มาร์ นั้น ได้แสดงพื้นที่ขอบเขตกำแพงเมืองเพียง 2 ชั้น ภายในกำแพงเมืองได้ระบุที่ตั้งของอาคาร สถานที่ เส้นทางอย่างเป็นสัดส่วน มีการแสดงลักษณะลำน้ำและแนวป่าด้วย น่าเสียดายที่แผนผังมิได้ลงตำแหน่งของพระที่นั่งเย็น ซึ่งอยู่ห่างจากประตูเพนียดออกไปประมาณ 3 กิโลเมตรเศษ แต่มีหลักฐานว่าสภาพแวดล้อมของพระที่นั่งเย็นขณะนั้นเป็นหนองน้ำและ ป่าไม้ มีพื้นที่กว้างประมาณสิบห้าหรือยี่สิบลิเออ (1 ลิเออ เท่ากับ 100 เส้น) เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด อาทิ ช้าง แรด เสือ กวาง และสมัน</div><br /><br /><div align="justify">แผนผังของนาย เดอ ลา มาร์ ใช้มาตราส่วนเป็นระบบวาของฝรั่งเศส หรือเรียกว่าตัว (TOISE) 1 ตัว เท่ากับ 180 เซนติเมตร หรือ 6 ฟุต (หรือ 2 เมตรโดยประมาณ) เมื่อนำแผนผังเมืองลพบุรีจากการสำรวจของกองโบราณคดี กรมศิลปากร ปรากฏว่าสามารถเทียบเคียงกันได้ด้วยดี (เนื่องจากมีการอ้างอิงแผนผังของเดอ ลา มาร์) ทำให้แลเห็นวิวัฒนาการและขอบเขตพื้นที่ของโบราณสถานในเมืองลพบุรีที่ถูกดัดแปลงในชั้นหลังได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ดังตัวอย่างเช่น แผนผังระบุว่า ประตูพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์มีเพียงด้านเหนือกับด้านใต้เพียงด้านละ 2 ประตูเท่านั้น แสดงว่าเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นจากเรือที่ประตูเมืองทางด้านตะวันตกริมแม่น้ำลพบุรี สมเด็จพระนารายณ์ทรงเสด็จเข้าสู่พระราชวังแห่งนี้ที่ประตูวังตรงข้ามกับวัดกวิศราราม และถนนหนทางส่วนใหญ่ในเมืองลพบุรีล้วนแต่ยังคงรักษาเส้นทางดั้งเดิมเอาไว้แบบทั้งสิ้น<br /></div><br /><div align="justify">สิ่งที่น่าสนใจคือ พื้นที่เดิมซึ่งน่าจะเป็นสนามหลวง หรือทุ่งพระเมรุของเมืองลพบุรี ทาง ด้านตะวันออกของพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์นั้น ปัจจุบันมีสภาพเป็นตึกแถวและสถานที่ราชการ มี พื้นที่ของสวนราชานุสรณ์เพียงบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงเหลือร่องรอยดังกล่าวไว้ให้เห็น (ปัจจุบันคือที่ตั้งของหน่วยศิลปากรที่ 1 )<br /></div><br /><div align="justify">พระปรางค์สามยอด อยู่ห่างจากโบราณสถานปรางค์แขกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 400 เมตร อยู่ห่างจากพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุไปทางทิศเหนือประมาณ 500 เมตร อยู่ห่างจากศาลพระกาฬไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 120 เมตร<br /><br /><span style="font-size:130%;">เมื่อได้สำรวจสภาพแวดล้อมทางกายภาพของพระปรางค์สามยอดจากที่สูง จะพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โบราณสถานพระปรางค์สามยอดกับโบราณสถานพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ต่างก็ตั้งอยู่บนพื้นระนาบเดียวกันตามแนวแกนทิศเหนือกับทิศใต้อย่างน่าประหลาดใจ<br /></span></div><br /><div align="justify">ปรางค์แขกนั้น จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมบ่งชี้ให้เห็นว่า ถูกสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 ลักษณะเป็นปรางค์ก่ออิฐ 3 องค์หันหน้าไปทางทิศตะวันออก รากฐานเดิมถูกดินทับถมเกือบถึงธรณีประตูขององค์ปรางค์อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น หากมีการขุดแต่งหารากฐานเดิมจะช่วยให้การวิเคราะห์ลักษณะฐานของพระปรางค์สามยอดและฐานของพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุมีความถูกต้องยิ่งขึ้น<br /></div><br /><div align="justify">พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุนั้น เชื่อกันว่ามีการสร้างขึ้นทับซ้อนบนรากฐานเดิม 2 สมัย กล่าวคือ สมัยแรกเป็นรากฐานพระปรางค์ส่วนล่าง (ปัจจุบันคือฐานไพที) สร้างประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7 ครั้นมีการทรุดพังลงไปจึงได้มีการก่อพระปรางค์องค์ใหม่ขึ้นบนรากฐานเดิมเมื่อประมาณคริสตวรรษที่ 12 ลักษณะของพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงขนาดเล็กตั้งแต่ฐานขึ้นไป เมื่อมีการซ่อมแซมในชั้นหลังจึงมีการเสริมเรือนฐานด้วยอิฐฉาบปูนจนถึงยอดปรางค์ที่ทำด้วยหินทราย แต่ได้หักตกลงมาทางด้านใต้ของปรางค์เสียแล้ว</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุนั้นจะประกอบไปด้วย ปรางค์ 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันเช่นเดียวกับพระปรางค์สามยอดและเทวสถานปรางค์แขกหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเนื่องจากรากฐานของโบราณสถานที่ก่อด้วยอิฐทางด้านเหนือและด้านใต้ของปรางค์นั้นมีขนาดเล็กเกินกว่าจะรองรับโครงสร้างของสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเป็นปรางค์ได้ และถ้าหากจะมองว่าเป็นอาคารมุขที่ยื่นออกมาจากพระปรางค์ประธานก็ยังจะต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกมากเช่นกัน<br /><br /><span style="font-size:130%;">สภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์พระปรางค์สามยอดก่อนปี พ.ศ.2537<br /></span>ก่อนที่โบราณสถานพระปรางค์สามยอดจะถูกแวดล้อมด้วยอาคารพาณิชย์ดังเช่นปัจจุบันนั้น ระหว่างปี พ.ศ.2483-2490 อันเป็นช่วงที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำริให้มีการวางผังเมืองใหม่ลพบุรีขยายออกไปทางทิศตะวันออกของเมืองเก่า สภาพแวดล้อมของพระปรางค์สามยอดมีลักษณะเป็นโบราณสถานที่ถูกปกคลุมด้วยเนินดินสูงเกือบถึงฐานไพทีหรือฐานบัวหงาย มีต้นไม้ต้นหญ้าปกคลุมค่อนข้างรก จากหลักฐานภาพถ่ายก่อนปี พ.ศ.2469 แสดงให้เห็นว่าหน้าบันทางทิศตะวันตกของพระปรางค์ด้านทิศเหนือได้หลุดร่วงลงมาบางส่วนแล้ว ทั้งนี้คงจะมีสาเหตุมาจากปรางค์องค์นี้ถูกลักลอดเอาทับหลังออกไป ขณะที่ซุ้มประตูทุกด้านยังมิได้ถูกปิดด้วยประตูไม้และลูกกรงเหล็กในระยะหลัง</div><br /><br /><div align="justify">จากการสัมภาษณ์ราษฎรในละแวกใกล้เคียงทำให้ได้ทราบว่า บริเวณซากวิหารทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของพระปรางค์นั้น แต่เดิมเป็นที่ทิ้งขยะของเทศบาลเมืองลพบุรีเป็นเวลานาน ทำให้การขุดแต่งบริเวณนั้นได้พบหลักฐานการรบกวนและความแปรปรวนจากร่องรอยกิจกรรมดังกล่าว ตั้งแต่ระดับผิวดินจนถึงระดับ 30 เซนติเมตรจากผืนดินเลยทีเดียว การตัดถนนพระปรางค์สามยอดทางด้านตะวันตกของโบราณสถานแห่งนี้ด้วยการขุดหน้าปรางค์ นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ข้อมูลว่า เคยมีขอทานเข้าไปฆ่ากันตายข้างในองค์ปรางค์เมื่อประมาณหลายสิบปีก่อน แต่ประเด็นนี้ไม่สำคัญเท่าใดนัก ปัญหาที่น่าวิตกก็คือการบุกรุกเข้าไปใช้โบราณสถานปิดวัตถุประสงค์ของเยาวชนชาวลพบุรีบางกลุ่มที่ติดสารระเหยประเภทกาวและสารทินเนอร์ในยามวิกาล เนื่องจากได้พบหลักฐานกระป๋องกาวตกอยู่จำนวนหนึ่งทางด้านตะวันออกขององค์ปรางค์ เป็นสิ่งบ่งชี้ให้คำนึงถึงปัญหาคุณภาพของสังคมที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพื้นที่โบราณสถานแห่งนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของโบราณสถานพระปรางค์สามยอด<br /></span>โบราณสถานพระปรางค์สามยอด เป็นสถาปัตยกรรมทรงปรางค์สามองค์ที่ถูกสร้างขึ้นบนฐานค่อนข้างเตี้ย ตั้งอยู่บนเนินดินสูงจากผิวถนนประมาณ 3 เมตร ลักษณะของปรางค์ทั้งสามองค์ตั้งเรียงกันตามแนวทิศเหนือ-ใต้ ปรางค์ประธาน (ปรางค์หมายเลข 2) สูงจากพื้นดินประมาณ 20 เมตร ปรางค์ทิศเหนือ (ปรางค์หมายเลข 3) และปรางค์ทิศใต้ (ปรางค์หมายเลข 1) เคยมีการค้นพบพระพุทธรูปศิลาทรายปางนาคปรกประดิษฐานในพระปรางค์หมายเลข 2 (ปรางค์ประธาน) ส่วนพระปรางค์หมายเลย 3 (ปรางค์ทิศเหนือ) พบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์อวโลเกติเตศวรศิลาทราย และพระปรางค์หมายเลข 1 (ปรางค์ทิศใต้) พบรูปจำหลักนางปรัชญา ปารมิตรอันเป็นศักติ(ชายา)ของพระโพธิสัตว์อวโลเกติเตศวร ประดิษฐานอยู่ภายใน รูปเคารพทั้งสามเป็นประติมา กรรมที่ถูกสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพุทธนิกายมหายาน</div><br /><br /><div align="justify">จากหลักฐานรูปแบบและลวดลายที่ปรากฏในองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม รวมทั้งหลักฐานจากโบราณวัตถุและศิลาจารึกที่ปราสาทพระขรรค์ และอื่น ๆ ทำให้เชื่อกันว่าโบราณสถานพระปรางค์สามยอด เป็นศาสนสถานที่ถูกสร้างขึ้นมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ร่วมสมัยกับศิลปะภายในประเทศกัมพูชา</div><br /><br /><div align="justify">จากลักษณะรากฐานของพระปรางค์องค์ที่1 (ปรางค์ทิศใต้) ยกเว้นบันไดทางขึ้นมุขทิศใต้ น่าจะเป็นส่วนประกอบการทางสถาปัตยกรรมที่ยังไม่เคยถูกดัดแปลงแก้ไขหรือซ่อมแซมบูรณะดังนั้น เมื่อได้พิจารณารูปแบบของฐานพระปรางค์หมายเลข 1 ที่มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือบริเวณบันไดทางขึ้นฉนวนระหว่างพระปรางค์หมายเลข 1 กับพระปรางค์หมายเลข 2 จะพบร่องรอยของการทำหลักฐานเป็นรูปหน้ากระดานอกไก่อยู่คั่นฐานบัวคว่ำด้านล่าง กับฐานบัวหงายด้านบนเอาไว้ แระพื้นที่บนฐานบัวหงายนี้อาจจะมีลักษณะเป็นฐานไพที ซึ่งใช้เดินประทักษิณโดยรอบปรางค์ทั้งสามองค์ต่อเนื่องกันไปกับฐานไพทีของพระปรางค์หมายเลข 2 และหมายเลข 3 </div><br /><br /><div align="justify">ร่องรอยดังกล่าวอาจจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า การซ่อมฐานพระปรางค์หมายเลข2 และหมายเลข 3 เมื่อปี พ.ศ. 2469 – 2471 นั้น เป็นการซ่อมโดยยังดงรักษารูปแบบดั้งเดิมทางสถาปัตยกรรมของฐานพระปรางค์สามยอดเอาไว้ ดังจะเห็นว่าฐานหน้ากระดานอกไก่ที่คั่นฐานบัวคว่ำบัวหงายของพระปรางค์สามยอดนั่น มีลักษณะคล้ายกับฐานไพทีของพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุตุลพบุรี ทั้งฐานชั้นบนและฐานชั้นล่าง รวมทั้งมีลักษณะคล้ายกับฐานของซากโบราณสถานศิลาทรายทางด้านใต้นอกระเบียงคตพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุอีกด้วย</div><br /><div align="justify"><br />พระปรางค์แต่ละองค์จะมีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ทิศ แต่ละทิศล้วนมีบันไดทางขึ้นหรือร่องรอยของบันไดยื่นออกมา นอกจากนี้ ฉนวนที่เชื่อมปรางค์ทิศเหนือและทิศใต้เข้ากับปรางค์ประธานยังมีทางขึ้นและประตูทั้งด้านตะวันตกด้วย แต่น่าเสียดายประตูฉนวนบางด้านและหน้าต่างของมุขทิศถูกก่ออิฐบิดเสียแล้ว</div><br /><div align="justify"><br />ปัญหาที่ถูกนำมาพิจารณาขณะนี้คือรูแบบของบันไดทางขึ้นมุขทิศต่าง ๆ ภายหลังจากการซ่อมเมื่อปี พ.ศ. 2469 – 2471 นั้น มีลักษณะค่อนข้างกว้างกว่าและชันน้อยกว่ารูปแบบของบันไดทางขึ้นอาคารที่ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากศิลปะขอม ซึ่งก็คงจะได้ข้อยุติว่าจะมีการดำเนินการไปต่ออย่างไรหรือไม่ในระยะอันใกล้นี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">โบราณสถานที่ก่อเสริมขึ้นใหม่</span><br /><span style="font-size:130%;">1.วิหารทิศตะวันออก<br /></span>ลักษณะเป็นวิหารก่ออิฐถือปูน ขนาด 15 x 10 เมตร ก่อเชื่อมเข้ากับมุขทิศด้านตะวันออกของปรางค์หมายเลข2 (ปรางค์ประธาน) หลังคาทรุดพังลงมา หลักฐานจากการขุดแต่งได้พบว่า วิหารนี้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องกาบกล้วย การเชื่อมวิหารกับปรางค์เข้าด้วยกันนั้นพบว่าช่างได้เจาะหน้าบันศิลาทรายของมุขทิศด้านตะวันออกเป็นร่องสำหรับสอดแปทำหลังคาลดชั้นร่องสอดแปนี้จะปรากฏอยู่บนหน้าบันของมุขทิศด้านตะวันออกและตะวันตกของปรางค์หมายเลข2และ3 มุขทิศด้านตะวันออกของปรางค์หมายเลข1 และจากการขุดแต่งบริเวณทิศของปรางค์แต่ละจุดข้างต้น ล้วนได้พบชิ้นส่วนของกระเบื้องมุงหลัวคาแบบกาบกล้วยในบริเวณดังกล่าวทั้งสิ้นลักษณะของการทำร่องสอดแปนอกจากจะปรากฏอยู่หน้าบันมุขทิศของพระปรางค์สามยอดแล้วยังปรากฏอยู่บนหน้าบันปรางค์รายของวัดไชยวัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วย<br /><span style="font-size:130%;">2.ซากโบราณสถานด้านตะวันตกของปรางค์หมายเลข 2 (ปรางค์ประธาน)<br /></span>ลักษณะเป็นเนินดินปกคลุมแนวรากฐานอิฐ ขนาด 10 x 8 เมตร ขุดพบร่องรอยของกระเบื้องมุงหลังคาแบบกาบกล้วยเช่นกัน<br /><span style="font-size:130%;">3.รากฐานวิหารด้านตะวันตกเฉียงเหนือของปรางค์หมายเลข 3<br /></span>ตั้งอยู่ห่างจากปรางค์หมายเลข 3 ประมาณ 20 เมตร ลักษณะเป็นเนินดินมีหญ้าปกคลุม ภายหลังหารขุดแต่งได้พบว่าเนินดินดังกล่าวเป็นรากฐานอาคาร ขนาด 8 x 15 เมตร รูปทรงสันฐานคล้ายกับวิหารด้านตะวันออกของปรางค์ประธาน จากหลักฐานการขุดแต่งได้พบว่าผนังด้านสกัด (ด้านหุ้มกลอง) ทางทิศตะวันออกของวิหารหลังนี้ได้ทรุดตัวลงไปทางด้านตะวันตกทั้งแถบ พบกระเบื้องมุงหลังคาแบบเกล็ดเต่า ซ้อนกันเป็นจำนวนมาก</div><br /><br /><div align="justify">อาคารและรากฐานอาคารทั้งสาม น่าจะเป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231) ดังรูปแบบประตูและหน้าต่างมีลักษณะเป็นวงโค้งการใช้ผนังอาคารเป็นตัวช่วยในการรับน้ำหนักเครื่องบนของวิหาร โดยไม่ปรากฏร่องรอยของการทำเสารับโครงสร้างหลังคาภายในอาคารตามรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยโบราณ เป็นต้น<br /><br /><span style="font-size:130%;">ลวดลายปูนปั้นที่พระปรางค์สามยอด<br /></span>แม้โบราณสถานทั้งสามองค์จะมีขนาดลดหลั่นกัน โดยปรางค์ประธานมีขนาดสูงที่สุด ส่วนปรางค์ทิศเหนือกับปรางค์ทิศใต้มีความสูงน้อยกว่าดังได้กล่าวไปแล้ว แต่การตกแต่งลวดลายปูนปั้นของพระปรางค์ทั้งสามนั้น มีรูปแบบคล้ายคลึงกันมาก ความแตกต่างของลวดลายปูนปั้นอาจจะมีบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้คงจะเป็นผลมาจากการซ่อมแซมและปฏิสังขรณ์ในชั้นหลังนั่นเอง การศึกษาลวดลายปูนปั้นของโบราณสถานพระปรางค์สามยอดให้เข้าใจโดยทั่วไปนั้น ควรจำแนกและเปรียบเทียบลักษณะลวดลายตามองค์ประกอบของโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมทั้งสามองค์ออกเป็น 5 ส่วน โดยเริ่มจากส่วนล่างขึ้นไปด้านบนดังนี้<br /><span style="font-size:130%;">1.ลวดลายปูนปั้นที่เรือนธาตุส่วนล่าง</span><br />ประกอบด้วย ลายด้านล่างสุดเป็นลายหน้ากระดานรูปดอกไม้สี่กลีบในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือลายดอกซีกดอกซ้อน ถัดขึ้นไปเป็นลายใบไม้ม้วน ถัดขึ้นไปเป็นลายบัวคว่ำคั่นด้วยลวดบัว เหนือลวดบัวขึ้นไปทำเป็นลายดอกไม้ (คล้ายดอกบัว) ตั้งขึ้น มีลายเทพนมประดับที่มุม ลักษณะดังกล่าวข้างต้นเป็นรูปแบบการตกแต่งเรือนธาตุส่วนล่างของมุขทิศปรางค์แต่ละองค์ในขณะที่เรือนธาตุส่วนล่างของปรางค์นั้นเท่าที่ปรากฏหลักฐานลวดลายจะเริ่มด้วยลายบัวคว่ำ ถัดขึ้นไปเป็นลายใบไม้ม้วน ถัดขึ้นไปเป็นลวดบัว แล้วจึงเป็นรูปหน้าของอสูร ทรงมงกุฎแบบหน้านางยอดมงกุฎทำเป็นลายช่อดอกไม้ตั้งขึ้น ใบหน้าอสูรแต่ละหน้าจะถูกคั่นด้วยช่อดอกไม้ลักษณะแบบเดียวกัน อสูรมีใบหน้ากลม ตาโปน ปากแสยะ ทรงตุ้มหูลายดอกไม้ คิ้วอสูรมีลักษณะต่อกันเป็นรูปปีกกา แลดูถมึงทึง ทำให้ต้องนึกถึงประติมากรรมปูนปั้นศิลปะแบบทราวดี (แบบละโว้) ที่พบในเมืองลพบุรีและเมืองหริภุญไชย ลวดลายรูปหน้าอสูรมีสภาพเสียหายไปมากแล้วในปัจจุบัน<br /><span style="font-size:130%;">2.ลวดลายปูนปั้นที่เรือนธาตุส่วนบน (ระดับเดียวกับทับหลัง)<br /></span>ประกอบด้วย ลวดบัวด้านล่างสุด ถัดขึ้นไปเป็นลวดลายพวงอุบะหรือลายช่อชัยพฤกษ์ทิ้งชายลง คั่นด้วยลวดบัว ถัดขึ้นไปทำเป็นลายดอกบัวตูมมีชั้นบัวหงายเรียงรายอยู่ด้านบน ถัดจากชั้นบัวหงายขึ้นไปเป็นลวดลายใบไม้ม้วน ถัดขึ้นไปเป็นลวดลายบัวหงายแบบบัวฟันยักษ์ ถัดจากบัวฟันยักษ์เป็นลายกลีบบัวซ้อนกันอย่างวิจิตร แล้วจึงเป็นลายก้นหอยอยู่ด้านบนของส่วนลวดลายชุดนี้<br /><span style="font-size:130%;">3.ลวดลายปูนปั้นเหนือเรือนธาตุส่วนบน (ระดับเดียวกับกรอบหน้าบันมุขทิศ)<br /></span>ประกอบด้วย ลวดลายช่อชัยพฤกษ์ทิ้งชายลงเบื้องล่าง ถัดขึ้นไปเป็นลายดอกบัวตูมถัดขึ้นไปเป็นลายใบไม้ม้วน ถัดขึ้นไปเป็นลายบัวหงาย ถัดขึ้นไปเป็นลายประจำยามก้านเกี้ยว ถัดขึ้นไปเป็นลายบัวคว่ำ ถัดขึ้นไปเป็นลายใบไม้ม้วน ถัดขึ้นไปเป็นลายดอกบัวตูม แล้วจึงเป็นลายกระจังอยู่ด้านบนสุดของลวดลายชุดนี้<br /><span style="font-size:130%;">4.ลวดลายปูนปั้นบนชั้นเชิงบาตร (เหนือระดับสันหลังคามุขทิศหรือหลังคาฉนวน)</span><br />ประกอบด้วย ลวดลายหน้ากากมีเขี้ยวยึดช่อชัยพฤกษ์อยู่ภายในแถวหน้ากระดานลวดบัวบนและล่าง ถัดขึ้นไปเป็นลายดอกบัวตูม ถัดขึ้นไปเป็นชั้นบัวหงาย ถัดขึ้นไปเป็นลายหน้ากระดานบรรจุลายหงส์ (ลักษณะคล้ายคลึงกับหงส์ที่ปรากฏในเศษภาชนะดินเผาสมัยทวารวดี และหงส์ในเศษภาชนะดินเผาเตาบ้านบางปูน) ถัดขึ้นไปเป็นลายประจำยามดอกซีกดอกซ้อน (ลายดอกไม้สี่กลีบในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน) ถัดขึ้นไปเป็นชั้นบัวหงาย และจึงเป็นชั้นหน้ากระดานดอกจันอยู่ด้านบนสุด<br /><span style="font-size:130%;">5.ลวดลายปูนปั้นบนหน้ากระดานใต้กลีบขนุนปรางค์แถวล่างสุด</span><br />สังเกตพบเพียงลวดลายดอกไม้สี่กลีบใหญ่คั่นด้วยกลีบขนาดเล็กอีก 4 กลีบ สลับกันภายในช่องกระจกเท่านั้น<br /><span style="font-size:130%;">นอกเหนือจากลวดลายปูนปั้นที่ตกแต่งอยู่ตามโครงสร้างส่วนต่างๆ ของพระปรางค์แล้วยังมีลวดลายที่น่าสนใจ ดังนี้</span><br /><span style="font-size:130%;">ซุ้มหน้าบันมุขทิศเหนือของปรางค์หมายเลข 3</span> ปั้นเป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ<br /><span style="font-size:130%;">ซุ้มหน้าบันมุขทิศตะวันออกของปรางค์หมายเลข 2</span> มีลวดลายจำหลักขนาดเล็กบนศิลาทรายรูปบุคคลประทับยืนกุมกระบองคล้ายกลีบขนุนปรางค์รูปบุคคลกุมกระบอง </div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">ซุ้มหน้าบันระดับเหนือหลังมุขทิศตะวันออกของปรางค์หมายเลข 1 </span>มีลวดลายปูนปั้นรูปมกรคายนาคห้าเศียรเป็นซุ้ม ภายในซุ้มตกแต่งเป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิเหลือเพียงครึ่งองค์ลักษณะคล้ายพระพุทธรูปร่วมสมัยศิลปะบายนของกัมพูชา<br /><span style="font-size:130%;">ซุ้มหน้าบันทิศใต้ของปรางค์หมายเลข 3</span> ทำปลายซุ้มหน้าบันเป็นรูปมกรคายนาค ภายในมีรูปพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็ก ประทับบนฐานบัวหงาย ลักษณะของพระพุทธรูปองค์นี้ วางพระหัตถ์บนเข่าคล้ายพระพุทธรูปศิลปะล้านนา แต่พระบาทนั้นไขว้กันหลวมๆ แบบพื้นเมืองภายใต้อิทธิพลทราวดี ส่วนรัดประคดนั้นทำเว้าลงแล้วหยักเป็นมุมแหลมตรงกลาง แลเห็นขอบชัดเจนตามแบบฉบับของศิลปะลพบุรี<br /><span style="font-size:130%;"></span></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">ปรางค์หมายเลข 2</span> ทางด้านเหนือมีกลีบขนุนปรางค์รูปบุคคลแบบบุรุษอีกหนึ่งไว้ด้านบนแสดงกิริยาการเหาะไปในอากาศ (ชำรุด) ซึ่งปกติควรจะทำเป็นรูปท้าวกุเวรทรงคชสีห์หรือพระพรหมทรงหงส์ ทางทิศตะวันออกมีกลีบขนุนปรางค์จำหลักรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ด้านใต้เป็นรูปพระยมทรงโค ด้านตะวันตกเป็นรูปพระวรุณทรงหงส์</div><br /><div align="justify"><br />แนวความคิดในการติดตั้งกลีบขนุนปรางค์เท่าที่ปรากฏจากการศึกษากลีบขนุนปรางค์ที่ยังหลงเหลืออยู่พบว่า แต่ละด้านจะมีกลีบขนุนปรางค์รูปเทพประจำทิศตรงกลาง ขนาบข้างด้วยกลีบขนุนปรางค์รูปนักบวชกุมกระบองด้านละหนึ่งองค์ (ซ้าย-ขวา) และกลีบขนุนปรางค์รูปนักบวชกุมกระบองของแต่ละด้านจะถูกขนาบด้วยกลีบขนุนปรางค์รูปพญานาคที่มุมของหลังคาปรางค์ กลีบขนุนปรางค์ทุกชิ้นจะปรากฏร่องรอยการตกแต่งด้วยปูนปั้นอีกชั้นหนึ่งทั้งสิ้น</div><br /><br /><div align="justify">ที่น่าสนใจคือ การขุดพบกลีบขนุนปรางค์รูปนางเทพอัปสรทรงดอกบัว ? (ชำรุด ศีรษะหักหายไป) ตกอยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกของปรางค์ประธานประมาณ 15 เมตร กลีบขนุนปรางค์นี้อาจอยู่บนตำแหน่งที่สัมพันธ์กับกลีบขนุนปรางค์รูปนักบวชกุมกระบองก็ได้ ดังจะพบว่าปราสาทหินเขาพนมรุ้งก็มีกลีบขนุนปรางค์รูปนางเทพอัปสร ? วางคั่นระหว่างกลีบขนุนปรางค์รูปนักบวชกับพญานาค</div><br /><br /><div align="justify">สำหรับเสาประดับกรอบประตูของพระปรางค์ทั้งสามองค์นั้น ทำด้วยศิลาทรายรูปแปดเหลี่ยม จำหลักเส้นลวดตลอดจากบนลงล่างแบบเสาประดับกรอบประตูในศิลปะบายนกัมพูชาที่โคนเสาจำหลักรูปฤาษีนั่งไขว้ขาประนมมือภายในซุ้มประดับด้วยรวยระกา โดยเสาบางท่อนมีการใช้ชิ้นส่วนกระเบื้องเคลือบสีเหลืองมาซ่อมด้วย ส่วนฤาษีโคนเสาอิงกรอบประตูที่ปราสาทเขาพนมรุ้งนั้นนั่งไขว่ห้างเอียงข้างหันหน้าออก มือถือคัมภีร์ ใบหน้าแสดงอาการยิ้มเล็กน้อย ไม่ถมึงทึงหรือเคร่งเครียดแต่อย่างใด</div><br /><br /><div align="justify">จากการศึกษาเปรียบเทียบในชั้นต้นนี้ได้พบว่า ลักษณะปลายซุ้มหน้าบันรูปมกรคายนาคที่โบราณสถานพระปรางค์สามยอดนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับลวดลายปูนปั้นรูปมกรคายนาคที่วัดล้มกลางเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังอาจโยงความสัมพันธ์ของซุ้มหน้าบันรูปมกรคายนาคของพระปรางค์สามยอดและพระปรางค์วัดล้ม เข้ากับบันไดรูปมกรคายนาคมีคนแคระแบกที่วัดธรรมิกราชอีกแห่งหนึ่งด้วย จะทำให้มองเห็นความเกี่ยวเนื่องจากศิลปกรรมของโบราณสถานในเมืองลพบุรีและเมืองพระนครศรีอยุธยาได้ดียิ่งขึ้น</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">สำหรับลวดลายการตกแต่งบนองค์ปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุนั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับลวดลายปูนปั้นที่พระปรางค์สามยอดค่อนข้างมาก จึงควรจะได้มีการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปะโดยละเอียด จะทำให้สามารถทราบวิวัฒนาการศิลปกรรมของเมืองลพบุรีได้อย่างสมบูรณ์ต่อไป<br /><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 1</span><br /><span style="font-size:130%;">สภาพโบราณสถานก่อนการบูรณะ</span><br />จากการศึกษารูปแบบทางสถาปัตยกรรม ทำให้สามารถแบ่งโบราณสถานพระปรางค์สามยอดออกเป็น 2 ส่วนดังนี้<br /><span style="font-size:130%;">ก.ส่วนที่หนึ่ง</span> คือ พระปรางค์สามองค์ ตั้งอยู่บนฐานแยกต่างหากจากกัน ก่อด้วยศิลาแลงและศิลาทรายบางส่วน สร้างเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18<br /><span style="font-size:130%;">ข.ส่วนที่สอง</span> คือ โบราณสถานก่ออิฐถือปูนที่ถูกสร้างเสริมขึ้นมาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์เป็นอย่างน้อย ได้แก่ ซากวิหารด้านตะวันออกของปรางค์ประธาน (ปรางค์หมายเลข 2) รากฐานอาคารด้านตะวันตกของปรางค์ประธาน (ปรางค์หมายเลข 2) และรากฐานวิหารด้านตะวันตกเฉียงเหนือของพระปรางค์สามยอด<br /><span style="font-size:130%;"><br />องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม</span><br />ความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อศาสนสถาน ทำให้พระปรางค์สามยอดได้รับการอนุรักษ์ด้วยดีมาตั้งแต่ครั้งอดีต หลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า สมเด็จพระนารายณ์แห่งราชวงศ์ปราสาททองโปรดเกล้าฯ ให้มีการซ่อมแซมและบูรณะพระอารามต่างๆ ในเมืองลพบุรีอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งในสมัยหลังทั้งราชบัณฑิตสภาและกรมศิลปากร รวมทั้งองค์กรท้องถิ่นอื่นๆต่างก็ให้ความสนใจในการอนุรักษ์พระปรางค์สามยอดอย่างต่อเนื่อง ทำให้โบราณสถานแห่งนี้มีองค์ปาระกอบทางสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างสมบูรณ์นับตั้งแต่บัวยอดปรางค์ ชั้นเชิงบาตร ชั้นหลังคาเรือนธาตุ และฐานพระปรางค์ แม้ในเวลาต่อมาปัจจัยต่างๆจะทำให้ชิ้นส่วนของหลังคาปรางค์บางอันหลุดตกลงมาบ้าง<br /><span style="font-size:130%;">องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระปรางค์หมายเลข 1 มีดังนี้<br /></span><span style="font-size:130%;">1.กลศ (หินชั้นที่ 1-2)<br /></span>คือ ส่วนยอดของหลังคาปรางค์ รูปร่างคล้ายไข่ผ่าครึ่งด้านหน้าตัดสูง 20 ซม. ทำจากศิลาทรายสีเทา 2 ชิ้นวางประกบกัน มีรูตรงกลาง มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 ซม. ตั้งอยู่บนชั้นศิลาแลง 3-4 ก้อนอย่างหมิ่นเหม่ ชั้นศิลาแลงนี้แต่เดิมคงจะมีลักษณะเป็นรูปกลีบบัวหรือทรงฟักทอง (ทรงเฟือง)<br /><br /><span style="font-size:130%;">2.กลุ่มบัวยอดปรางค์</span> แบ่งเป็น<br /><span style="font-size:130%;">- บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3</span> (หินชั้นที่3-4) มีลักษณะเป็นชั้นบัวคว่ำบัวหงาย มีลวดบัวคั่น ทำจากศิลาแลงฉาบปูนขาวซึ่งหลุดร่วงไปเกือบหมดสิ้นแล้ว บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 ประกอบด้วยชั้นศิลาแลง 2 ชั้น สูงประมาณ 80 ซม.มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 170 ซม.องค์ประกอบบางส่วนของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 อาทิ กลีบบัวหงายรูปคล้ายลิ่ม และฐานบัวหงาย (คือส่วนที่เป็นบัวคว่ำ) หล่นหายไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากศิลาแลงแต่ละก้อนไม่ได้ถูกยึดด้วยเหล็กรูปตัวไอ<br /><span style="font-size:130%;">-บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2</span> (หินชั้นที่ 5 – 6) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 280 ซม.ประกอบด้วย ชั้นศิลาแลง 2 ชั้น มีลักษณะเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงายเช่นกัน มีศิลาแลงหลุดตกลงไป 2 ชิ้น ทางด้านตะวันออกและตะวันตก<br /><span style="font-size:130%;">-บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1</span> (หินชั้นที่ 7-8) มีเส้นผ่าศูนย์กลางชั้นบนประมาณ 350 ซม.เส้นผ่าศูนย์กลางชั้นล่างประมาณ 400 ซม.ประกอบด้วยศิลาแลง 3 ชั้น<br /><br /><span style="font-size:130%;">3.กลุ่มชั้นเชิงบาตรหรือชั้นบันแถลง </span>(ชั้นหน้าบัน)<br /><span style="font-size:130%;">-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 5</span> (บันแถลงชั้นที่5) (หินชั้นที่10-11-12) มีเส้นผ่าศูนย์กลางชั้นบนประมาณ 380 ซม.เส้นผ่าศูนย์กลางชั้นล่างประมาณ 370 ซม.ประกอบด้วยศิลาแลง 3 ชั้น<br /><span style="font-size:130%;">-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 4</span> (บันแถลงชั้นที่4) (หินชั้นที่13-14) เส้นผ่าศูนย์กลางชั้นบนกว้างประมาณ 500 ซม.เส้นผ่าศูนย์กลางชั้นล่างกว้างประมาณ 480 ซม.<br /><span style="font-size:130%;">-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 3</span> (บันแถลงชั้นที่3) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 500 ซม.<br /><span style="font-size:130%;">-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 2</span> (บันแถลงชั้นที่2) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 550 ซม.<br /><span style="font-size:130%;">-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 1</span> (บันแถลงชั้นที่1) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 550 ซม.<br />ชั้นเชิงบาตรพระปรางค์หมายเลข 1 มีกลีบขนุนปรางค์เหลืออยู่เพียงด้านละ 1-2 ชิ้นเท่านั้น<br /><br /><span style="font-size:130%;">4.หลังคามุมทิศ</span><br />หลังคามุขทิศด้านตะวันออก ด้านใต้ และด้านตะวันตกของพระปรางค์หมายเลข 1 มีกรอบหน้าบันลดชั้น 2 ชั้น (ช้อนกัน) ประกอบกด้วยศิลาแลงและศิลาทราย มุขทิศแต่ละด้านยื่นออกมาประมาณ 4 เมตร ส่วนมุขทิศเหนือมีลักษณะเป็นฉนวนเชื่อมกับพระปรางค์หมายเลข 2 มีกรอบหน้าบันเพียงชั้นเดียว<br /><br /><span style="font-size:130%;">5.เรือนธาตุ</span><br />ถัดจาดหลังคามุขทิศลงมาเป็นเรือนธาตุของพระปรางค์และเรือนธาตุของมุขทิศ ทำลดชั้นย่อมุมออกไป ภายในเรือนธาตุเรียกว่า “ครรภคฟหะ” ประดิษฐานแท่นโยนิโทรณะ หรือแท่นประดิษฐานรูปเคารพ มีรางน้ำหันไปทางทิศเหนือ แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร<br /><br /><span style="font-size:130%;">6.ฐาน</span><br />ฐานของพระปรางค์หมายเลข 1 มีสภาพทรุดพัง แต่ก็ยังพอจะแลเห็นร่องรอยของฐานบัวคว่ำบัวหงาย โดยมีลวดบัวหรือหน้ากระดานอกไก่คั่นที่บริเวณฐานของฉนวนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลักษณะของฐานดังกล่าวคงจะคล้ายคลึงกับฐานของพระปรางค์หมายเลข 2 และพระปรางค์หมายเลข 3 ซึ่งได้รับการซ่อมแซมไปแล้ว เหตุที่มั่นใจว่าฐานดั้งเดิมของพระปรางค์หมายเลข 1 มีรูปแบบเช่นนั้น เนื่องจากเมื่อนำรูปแบบของฐานปราสาทหินเขาพนมรุ้งมาศึกษาเปรียบเทียบแล้ว จะพบว่าฐานของพระปรางค์สามยอดและฐานของปรางค์ประธานปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ต่างก็มีส่วนที่ควรจะเรียกในที่นี้ว่า “ฐานไพทีย่อมุม” หรือฐานบัวคว่ำบัวหงาย ยื่นออกมาโดยรอบเช่นกัน เพียงแต่ลักษณะของบันไดพระปรางค์หมายเลข 1 และพระปรางค์องค์อื่นๆ เท่านั้นที่ถูกซ่อมผิดจารีตโครงสร้างสถาปัตยกรรมซึ่งได้รับอิทธิพลของศิลปกรรมเขมรโบราณ</div><br /><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระปรางค์หมายเลข 2</span> (ปรางค์ประธาน) มีดังนี้<br /><span style="font-size:130%;">1.กลศ</span><br />พร้อมทั้งส่วนฐานของกลศ หล่นหายไป แต่กลับมีสายล่อฟ้าของใหม่ และอิฐที่ก่อรับสายล่อฟ้าแทนที่<br /><span style="font-size:130%;">2.กลุ่มบัวยอด</span> แบ่งเป็น<br /><span style="font-size:130%;">-บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3</span> ลักษณะเป็นศิลาทราย จำหลักเป็นรูปทรงบัวคว่ำบัวหงายเส้นผ่าศูนย์กลาง 230 ซม.บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 นี้ เหลือศิลาทรายประกอบกันเป็นรูปบัวทรงเฟืองเพียง 5 ก้อน โดยส่วนบัวหงายทางด้านตะวันตกหลุดหายไป เหลือแต่ส่วนกลีบบัวคว่ำด้านล่าง สำหรับส่วนประกอบบัวยอดปรางค์ตรงกลางทำจากศิลาทรายก้อนใหญ่ประกบกัน 2 ก้อน ตามแนวเหนือ-ใต้ มีรูตรงกลางกว้างประมาณ 30 ซม.ฐานบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 ส่วนล่างของศิลาทรายก้อนใหญ่มีสภาพแตกออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ 2-3 ชิ้น<br /><span style="font-size:130%;">-บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2</span> ลักษณะเป็นศิลาทรายวางเรียงกันตามแนวเหนือ-ใต้ 2 ชั้น มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 300 ซม.ประกอบด้วยศิลาทรายตั้งซ้อนกัน 2 ชั้น มีการจำหลักศิลาทรายชั้นบนเป็นรูปกลีบบัวชัดเจน บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2 นี้ยังคงมีลักษณะเป็นทรงเฟืองอยู่<br /><span style="font-size:130%;">-บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1</span> ลักษณะเป็นศิลาทรายเรียงซ้อนกัน 3 ชั้น เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 400 ซม.กรอบนอกของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1 นี้ ยังคงมีรูปทรงเฟืองและจำหลักลวดลายกลีบบัวเพิ่มเข้าไปด้วย<br /><br /><span style="font-size:130%;">3.กลุ่มชั้นเชิงบาตรหรือชั้นบันแถลง</span> (ชั้นหน้าบัน)<br /><span style="font-size:130%;">-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 5</span> (บันแถลงชั้นที่ 5) ส่วนบนมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 400 ซม.ส่วนล่างมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 500 ซม.ทำจากศิลาแลงทั้งหมด<br />-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 4 (บันแถลงชั้นที่ 4) มีเส้นผ่าศูนย์กลางทั้งชั้นบนและชั้นล่างประมาณ 500 ซม.<br />-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 3 (บันแถลงชั้นที่ 3) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 600-620 ซม.<br />-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 2 (บันแถลงชั้นที่ 2) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 600 ซม.<br />-ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 1 (บันแถลงชั้นที่ 1) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 650 ซม.<br />ชั้นเชิงบาตรพระปรางค์หมายเลข 2 มีกลีบขนุนปรางค์เหลืออยู่ด้านละไม่กี่ชั้นเช่นกัน<br /><br /><span style="font-size:130%;">4.หลังคามุขทิศ</span><br />หลังคามุขทิศทางด้านตะวันออกและทิศตะวันตกของพระปรางค์หมายเลข 2 มีกรอบหน้าบันลดชั้น 2 ชั้น ประกอบด้วย ศิลาแลงและศิลาทราย ส่วนมุขทิศเหนือและใต้มีหน้าบันยื่นออกมาเพียงชั้นเดียว เนื่องจากมีฉนวนเชื่อมกับปรางค์หมายเลข 1 ทางทิศใต้ และปรางค์หมายเลข 3 ทางทิศเหนือ อย่างพอเหมาะอยู่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือ มีการจำหลักรูปบุคคลขนาดเล็กกุมกระบอง มีเคราที่คาง คล้ายนักบวชหรือโยคีส่วนบนของซุ้มหน้าบันมุขทิศตะวันออกของปรางค์ประธานหมายเลข 2 คล้ายรูปนักบวชที่กลีบขนุนปรางค์และโคนเสาประดับกรอบประตู<br /><br /><span style="font-size:130%;">5.เรือนธาตุ</span><br />ภายในเรือนธาตุของพระปรางค์หมายเลข 2 นี้ แต่เดิมเคยประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกศิลาทราย ปัจจุบันคงเหลือแต่ฐานโยนิโทรณะหรือแท่นประดิษฐานรูปเคารพ<br /><br /><span style="font-size:130%;">6.ฐาน</span><br />ฐานของพระปรางค์หมายเลข 2 มีสภาพแข็งแรง เนื่องจากเคยได้รับการซ่อมแซมมาแล้ว<br /><br />ปัจจุบันภายในเรือนธาตุทั้งของพระปรางค์ทั้งสามองค์ มีสภาพเป็นอิฐ ปูพื้นสูงเท่ากับระดับขอบบนของฐานโยนิโทรณะ เข้าใจว่าน่าจะถูกก่อขั้นเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากยังมีผู้จำได้ว่าเดิมพื้นปรางค์ด้านในอยู่ต่ำกว่านี้ สำหรับผนังปรางค์ด้านในทั้ง 3 องค์ มีการก่ออิฐคล้ายอาสนสงฆ์ ส่วนหน้าต่างของปรางค์ทั้งสามองค์ถูกก่ออิฐปิดหมดทุกด้านเสียแล้ว</div><br /><div align="justify"><br />สิ่งที่น่าสนใจที่ได้พบจากการศึกษาองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของโบราณสถานพระปรางค์สามยอดก็คือ การที่บริเวณหน้าบันของมุขทิศเกือบทุกด้านของโบราณสถานแห่งนี้จะมีร่องรอยการถูกเจาะเป็นร่องรูปหน้าจั่วแบบเดียวกัน เมื่อได้พบหลักฐานของกระเบื้องมุงหลังคาจากบริเวณตรงข้ามกับตำแหน่งหน้าบันของมุขทิศจำนวนมาก ทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่า การเจาะร่องดังกล่าวบนหน้าบันของมุขทิศน่าจะทำขึ้นเพื่อสอดแปมุงหลังคาในชั้นหลังนั่นเอง หลักฐานการสอดแปมุงหลังคายื่นออกมาจากหน้าบันมุขทิศเช่นนี้ ยังได้พบที่ปรางค์ทิศวัดไชยวัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วย</div><br /><div align="justify"><br />ส่วนฝ้าเพดานของพระปรางค์หมายเลข 1-2 นั้น มีร่องรอยของการประดับกระจกเป็นรูปดาวพื้นไม้ลงรักปิดทอง สภาพชำรุดทรุดโทรมค่อนข้างมาก<br /><br /><span style="font-size:130%;">ปัญหาด้านวิศวกรรม</span><br />การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ อาทิ อิทธิพลของกระแสลม ฝน แสงแดด และความชื้นในแต่ละปี ทำให้ศิลาแลงและศิลาทรายอันเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระปรางค์สามยอดเกิดการเสื่อมสภาพ เมื่อถูกลิงปีนป่ายขึ้นไปขย่มบ่อยๆเข้าก็หลุดตกลงมา เบื้องล่างเป็นจำนวนมาก</div><br /><div align="justify"><br />จากการสำรวจแรงสั่นสะเทือนของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (A.I.T) แม้จะพบว่าแรงสั่นสะเทือนจากรถไฟและรถบรรทุกมีผลต่อรากฐานของพระปรางค์สามยอดไม่มากนัก การสำรวจมิได้ระบุถึงผลกระทบอันเกิดขึ้นต่อส่วนประกอบของเรือนธาตุ และหลังคาปรางค์ซึ่งได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องสะสมมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งมีรอยปริแยกหลายจุดบนองค์ปรางค์ อาทิ ที่มุขทิศตะวันออกของพระปรางค์หมายเลข 1 ที่หน้าบันบนชั้นเชิงบาตรของพระปรางค์หมายเลข 2 ซุ้มประตูและมุขทิศด้านตะวันตกของพระปรางค์หมายเลข 2 ซึ่งถูกค้ำยั่นด้านเสาและคานคอนกรีตเสริมเหล็ก อีกทั้งยังถูกรัดด้วยเหล็กแผ่นเพื่อกันมิให้มุขทิศด้านนี้ทรุดพังลงมา<br /><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 2<br />การสำรวจเพื่อการบูรณะ<br /></span><br /><span style="font-size:130%;">การวางผังบริเวณ<br /></span>ช่างสำรวจได้กำหนดจุดต่างๆ โดยรอบพื้นที่โบราณสถานออกเป็น 4 จุด ได้แก่จุด RP.1 อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จุด RP.2 อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จุด RP.3 อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และจุด RP.4 อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จากนั้นจึงตีตารางรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 1x1 เมตรคลุมพื้นที่พระปรางค์สามยอด โดยมีจุด BM. อยู่ทางด้านตะวันออกของวิหาร ซึ่งต่อเสริมออกไปจากปรางค์ทิศตะวันออกของพระปรางค์หมายเลข 1 เป็นจุดกำหนดตายตัว มีระดับความสูงสมมติอยู่ที่ 10.000 เมตร การกำหนดจุด BM.มีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกับการกำหนด DATUM LINE ในการขุดแต่งโบราณสถาน กล่าวคือ DATUM LINE จะใช้ในการวัดระดับวัตถุที่อยู่ลึกลงไปในชั้นดิน ส่วน BM.LINE ใช้วัดระดับของโครงสร้างของโบราณสถานซึ่งอยู่เหนือผิวดินขึ้นไป</div><br /><div align="justify"><br />หลังจากทำแผนผังบริเวณในแนวราบแล้ว มีการติดตั้งนั่งร้านโครงเหล็กเพื่อให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติงาน จากนั้นช่างสำรวจไก้ทำผังรูปด้านของพระปรางค์หมายเลข 1-2 เป็นตารางกริดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 1x1 เมตร เช่นเดียวกัน เพื่อควบคุมระดับความสูงของชั้นหินให้สัมพันธ์กับหลักฐานซึ่งจะถูกบันทึกลงบนสมุดกราฟ มิให้เกิดความผิดพลาดในการถอดชิ้นส่วนองค์ประกอบสถาปัตยกรรมของโบราณเป้าหมาย จากนั้นช่างจึงได้กำหนดหมายเลขของตารางกริด โดยเริ่มจากจุด RP.2 มีเส้นตั้งเป็นแกน Y เส้นนอนเป็นแกน X มีหมายเลขกำกับช่องละ 1 เมตร ดังปรากฏในผังบริเวณ</div><br /><div align="justify"><br />หลังจากทำผังทั้งตามแนวดิ่งและแนวราบโดยใช้อุปกรณ์คือกล้องส่องระดับ ไม้ระดับ ลูกดิ่ง และเชือกแล้ว ก็จะถึงขั้นตอนของการดำเนินการเพื่อการบูรณะ ซึ่งจะได้กล่าวถึงโดยละเอียดต่อไป<br /><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 3<br />การบูรณะพระปรางค์หมายเลข 1 และพระปรางค์หมายเลข 2</span><br /><br />การบูรณะพระปรางค์หมายเลข 1-2 มีขั้นตอนดังนี้<br /><span style="font-size:130%;">1.การถอดชิ้นส่วนองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม<br /></span><span style="font-size:130%;">1.1การถอดชิ้นส่วนพระปรางค์หมายเลข 1</span><br /><span style="font-size:130%;">1.1.1 การถอดกลศและฐานกลศ</span><br />เมื่อได้ทำผังตำแหน่งของกลศบนยอดปรางค์หมายเลข 1 แล้ว จากนั้นจึงถอดกลศโดยใช้เชือกรัดเป็นห่วงแล้วใช้รถเครนโรยโบราณวัตถุชิ้นนี้ลงมาอย่างระมัดระวัง หลังจากถอดกลศแล้วจึงรื้อฐานรองรับกลศซึ่งเป็นศิลาแลงลงมาด้วย ฐานรองกลศมีสภาพชำรุดมากเหลือศิลาแลงที่มรสภาพสมบูรณ์เพียงชิ้นเดียว นอกนั้นมีสภาพเป็นเศษศิลาแลง 2-3 ก้อน จึงได้เขียนรหัสศิลาของกลศเป็นชั้นที่ 1 ส่วนฐานรองรับกลศให้เป็นศิลาชั้นที่ 2 โดยใช้ระบบให้หมายเลขศิลาเวียนขวาตามเข็มนาฬิกา<br /><span style="font-size:130%;">1.1.2 การถอดชิ้นส่วนศิลากลุ่มยอดบัวปรางค์<br /></span><span style="font-size:130%;">- การถอดชิ้นส่วนบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3</span><br />หลังจากถอดชั้นกลศออกไปแล้ว ได้พบว่าชิ้นส่วนบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 ทางด้านตะวันออกมีสภาพชำรุดมาก เนื่องจากมีศิลาแลงหล่นหายไปหลายชิ้น จนเหลือศิลาแลงเพียง 11 ชิ้น ส่วนฐานด้านล่างของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 ก็มีศิลาแลงรองรับอีกชั้นหนึ่ง ศิลาแลงบางก้อนมีสภาพชำรุดมาก ศิลาแลงชั้นบนมีขนาดประมาณ 30x70x20 ซม.ศิลาแลงชั้นล่างมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย และได้พบหลักฐานว่ามีการใช้ปูนซิเมนต์มาซ่อมบัวยอดปรางค์ชั้นนี้ไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้</div><br /><div align="justify"><br />หลังจากกำหนดรหัสบนศิลาแลงแต่ละก้อนลงบนผังและบนศิลาแล้วจึงรื้อบัวยอดปรางค์ชั้นบนลงมาก่อนที่จะดำเนินการเช่นเดียวกันกับฐานของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 การรื้อบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 ทำให้พบว่า ภายในมีการนำแท่งศิลาทรายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 50x50x20 ซม.วางเป็นศูนย์กลางของกลีบบัวยอดปรางค์ ซึ่งจะมีขอบด้านนอกบานออก ส่วนขอบด้านในเรียกว่า ไม่ปรากฏหลักฐานการใช้เหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแลงแต่ละก้อนเข้าด้วยกัน<br /><span style="font-size:130%;">-การถอดชิ้นส่วนบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2</span><br />บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2 ประกอบด้วย ศิลาแลงชั้นบนกับชั้นล่าง รูปร่างของศิลาแลงแต่ละก้อนมีลักษณะคล้ายส่วนบนของกระดูก LONG BONE ที่ถูกแต่งส่วนล่างให้มน แล้ววางเรียงโดยการหันส่วนบนออกไปด้านนอก บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2 ส่วนบนประกอบด้วย ศิลาแลงจำนวน 16 ก้อนแต่เหลือเพียง 14 ก้อน</div><br /><div align="justify"><br />พบหลักฐานการใช้เหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแลงก้อนที่ 11-12-13 (ชิ้นเดียวกับก้อนที่ 12) – 14 เข้าด้วยกัน โดยมีโลหะตะกั่วหลอมยึดเหล็กให้แน่นภายในร่องอีกครั้ง ศิลาแลงมีขนาดประมาณ 50x100x30 ซม.ส่วนฐานของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2 นั้น มีการใช้เหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแลงก้อนที่ 4 กับก้อนที่ 5 ก้อนที่ 9 กับก้อนที่ 10 และก้อนที่ 14 กับก้อนที่ 15 และก้อนที่ 16 เข้าด้วยกัน ปัญหาคือ ศิลาแลงบางก้อนอาจมีสภาพชำรุดเนื่องจากการเจาะฝังเหล็กรูปตัวไอ ดังปรากฏหลักฐานในแผนผังชั้นศิลาแนบท้ายรายงานฉบับนี้<br /><span style="font-size:130%;">-การถอดชิ้นส่วนบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1</span><br />บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1 ส่วนบนประกอบด้วย ศิลาแลงทั้งชำรุดและสมบูรณ์รวม 35 ก้อน พบว่ามีการใช้เหล็กรูปตัวไอหลอมด้วยตะกั่วยึดหินก้อนที่ 7-8 ไว้เพียงจุดเดียวการเรียงศิลาแลงมีลักษณะวางส่วนของกลีบบัวยอดปรางค์ล้อมรอบแกนของบัวยอดปรางค์ด้านในเป็นวงกลม</div><br /><div align="justify"><br />ฐานของบัวยอดปรางค์ ประกอบด้วย ศิลาแลงจำนวนมากกว่า 35 ก้อน ศิลาแลงบางก้อนชำรุดหล่นหายไป บางก้อนอาจชำรุดเนื่องจากการใช้เหล็กรูปตัวไอยึด พบหลักฐานการใช้</div><br /><br /><div align="justify">เหล็กรูปตัวไอหลอมด้วยตะกั่วยึดศิลาแต่ละก้อนเข้าด้วยกันเกือบรอบฐานชั้นล่างของบัวยอดปรางค์ชั้นนี้<br />การรื้อบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1 ทั้งส่วนบนและส่วนฐาน มีการถ่ายรูปทำผัง กำหนดรหัสศิลาแลงแต่ละก้อนเป็นหลักฐานรัดกุม<br /><br /><span style="font-size:130%;">1.1.3 การถอดชิ้นส่วนชั้นเชิงบาตร (ชั้นบันแถลง)</span><br /><span style="font-size:130%;">-การถอดชิ้นส่วนชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 5 (หน้าบันชั้นที่ 5)</span><br />ชั้นเชิงบาตรหรือชั้นบันแถลงหรือหน้าบันชั้นที่ 5 นี้ ประกอบด้วยศิลาแลงจำนวน 36 ก้อน ขนาดไม่เท่ากัน ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดประมาณ 100 x 50 x 30 ซม.ศิลาบางก้อนมีลักษณะเป็นแท่งเล็กๆ สอดระหว่างศิลาก้อนใหญ่เพื่อให้องค์ปรางค์มีความมั่นคง ไม่ปริแยกออกจากกันโดยง่าย ไม่ปรากฏหลักฐานการใช้เหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแต่ละก้อนเอาไว้ ศิลาบางก้อนของฐานชั้นกลางของชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 5 จะถูกเซาะร่องทำบ่าเพื่อรับกับเหลี่ยมศิลาแลงด้านนอกที่สอดแทรกเข้ามา เช่นเดียวกีบศิลาแลงชั้นล่างของชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 5 นี้<br /><span style="font-size:130%;">-การถอดชิ้นส่วนชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 4 (หน้าบันชั้นที่ 4)</span><br />ชั้นเชิงบาตรหรือชั้นบันแถลงหรือชั้นหน้าบันชั้นที่ 4 ประกอบด้วยศิลาแลงขนาดต่างๆกัน ศิลาก้อนที่ใหญ่ที่สุดมีขนากประมาณ 100 x 60 x 50 ซม.มีศิลาแลงหล่นหายไปบ้าง เหลือศิลาแลงประมาณ 44-45 ก้อน ขอบด้านนอกบางส่วนของชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 4 นี้ ถูกก่อเสริมด้วยอิฐถือซิเมนต์ เมื่อปี พ.ศ.2512 (มีการเขียนปีที่ซ่อมไว้บนแผ่นซิเมนต์ที่ก่อเสริมด้วย) ชั้นล่าง (ส่วนล่าง) ของชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 4 นี้ เหลือศิลาแลงประมาณ 45-46 ก้อน ศิลาแลงบางก้อนก็มีลักษณะเป็นลิ่มหรือตัวเสริมตัวแทรกให้มีความแน่นหนา ไม่ปรากฏว่ามีการใช้เหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแลงเข้าด้วยกันในระดับนี้</div><br /><div align="justify"><br />เมื่อรื้อศิลาแลงของชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 4 ออกไป จึงได้พบว่ามีการใช้เหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแลงทางด้านใต้ของชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 3 (ส่วนบน) เพียงตัวเดียวเท่านั้น</div><br /><div align="justify"><br />การรื้อศิลาแลงตั้งแต่ส่วนกลศลงมาจนถึงชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 4 ออกไป ทำให้ได้พบแนวโน้มว่า การเรียงศิลาแลงชั้นบนๆ ช่างจะใช้เหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแลงเข้าด้วยกัน เนื่องจากศิลาแลงชั้นบนมีขนาดค่อนข้างเล็กและมีน้ำหนักไม่มากนัก การยึดด้วยเหล็กรูปตัวไอจะช่วยให้เกิดความมั่นคงได้มากในระยะแรก แต่ครั้นเวลาผ่านไปนานๆ ร่องที่ใช้วางเหล็กยึดศิลาแลงจะเป็นตัวปัญหาที่ทำให้ศิลาแลงแตกหรือชำรุดหล่นลงมายังพื้นด้านล่างเสียเอง เนื่องจากอุณหภูมิในอากาศจะทำให้ศิลาแลงหรือเหล็กและตะกั่วมีการหดและขยายตัวตามคุณสมบัติทางธรรมชาติของธาตุแต่ละอย่าง</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">หลักฐานที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งที่พบจากการรื้อชิ้นส่วนศิลาแลงก็คือ นักโบราณคดีได้พบว่า ช่างได้เรียงศิลาแลงให้มีลักษณะเวียนขวาจากบนลงมาด้านล่าง (หรือเวียนจากซ้ายขึ้นไป) ทำให้ศิลาแลงแต่ละชั้นจะมีลักษณะหลั่นเหลื่อมกันเล็กน้อย หากไม่สังเกตชั้นศิลาแลงจากหน้าตัดด้านในของโพรงศิลาแลงที่เหลื่อมกันตรงจุดศูนย์กลางของปรางค์แล้วจะไม่สามารถแลเห็นเป็นเทคนิคพิเศษนี้ได้เลย จึงอาจเรียกเทคนิคพิเศษนี้ว่า “การซ้อนหินหลั่นเหลื่อมกันแบบเกลียวสว่านวนขวาลงล่าง” ก็ได้ ประโยชน์ของการเรียงศิลาแลงเช่นนี้ เมื่อผสมผสานกับการเซาะบ่าของศิลาแลงบางก้อนเพื่อสอดเหลี่ยมของศิลาแลงอีกก้อนเข้ามา จะทำให้เกิดการขัดและการสอดรับกันของศิลาแต่ละก้อนทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ เพิ่มความมั่นคงให้เกิดแก่องค์ปรางค์ได้มากยิ่งขึ้น </span></div><br /><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">จึงตอบปัญหาบางอย่างได้ว่าเหตุใดศิลาแลงบางชั้นจึงมีเหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแลงไว้บางก้อนหรือบางส่วนเท่านั้น และการเจาะหรือบากร่องเพื่อใส่เหล็กรูปตัวไอบนศิลาแลงทุกก้อนอาจจะมีส่วนทำให้ศิลาแลงชำรุดและปริออกมาเสียเองก็ได้</span><br /><br /><span style="font-size:130%;">1.2 การถอดชิ้นส่วนพระปรางค์หมายเลข 2<br /></span><span style="font-size:130%;">1.2.1 การถอดชิ้นส่วนกลุ่มบัวยอดปรางค์</span><br /><span style="font-size:130%;">- การถอดชิ้นส่วนกลุ่มบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3<br /></span>ช่างผู้ปฏิบัติงานบูรณะได้ถอดเสาสายล่อฟ้า แล้วจึงสกัดฐานอิฐที่ใช้ตั้งสายล่อฟ้าออกไป ก่อนจะทำผังและดำเนินการตามเทคนิคการถอดชิ้นส่วนองค์ประกอบของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 บัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 นี้ เหลือศิลาทรายเพียง 5 ก้อน ก้อนที่ใหญ่ที่สุดมีขนาด 130 x 100 x 50 ซม.<br /><span style="font-size:130%;">-การถอดชิ้นส่วนบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2</span><br />การรื้อชิ้นส่วนบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 ออกไป ทำให้พบว่า การเรียงศิลาทรายของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2 นี้ ได้เรียงตามแนวนอน (ตะวันออก-ตะวันตก) มีการใช้เหล็กรูปตัวไอหลอมตะกั่วยึดศิลาทรายก้อนที่ 1-2-3 และยึดศิลาทรายก้อนที่ 9-10 เข้าด้วยกัน ศิลาทรายที่ประกอบกันเป็นบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2 นี้ ก้อนใหญ่ที่สุดมีขนาด 150 x 30 x 30 ซม.</div><br /><div align="justify"><br />เมื่อรื้อส่วนบนของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 2 ลงไป ได้พบแท่งศิลาทรายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 50 x 50 x 20 ซม.มีรูสี่เหลี่ยมประมาณ 20 x 20 ซม.อยู่ตรงกลาง ซ้อนกัน 2 ชั้น เช่นเดียวกับที่พบในบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 3 ของพระปรางค์หมายเลข 1 แต่ไม่ทราบประโยชน์หรือหน้าที่ของวัตถุดังกล่าวว่า มีความเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อทางศาสนาอย่างไร แท่งศิลาทรายดังกล่าวนี้วางปิดโพรงของปรางค์หมายเลข 2 ได้พอดี ได้พบชิ้นส่วนแผ่นทองแดงขนาดใหญ่ม้วนเป็นแผ่นกลมวางอยู่ทางด้านใต้ของแท่นศิลาทราย เมื่อคลี่ออกมากับไม่ปรากฏร่องรอยการจารึกใดๆทั้งสิ้น ระดับนี้ไม่พบเหล็กรูปตัวไอยึดศิลาทรายเอาไว้ แต่พบว่ามีการนำศิลาแลงเพียงก้อนเดียว ขนาดประมาณ 30 x 50 x 20 ซม.ปนอยู่กับศิลาทราย<br /><span style="font-size:130%;">-การถอดชิ้นส่วนบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1</span><br />ศิลาทรายที่นำมาประกอบกันเป็นบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1 มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ มีการเซาะร่องเป็นแนวยาวตรงตามแกนทิศทั้งสี่ ซึ่งในชั้นนี้มีผู้ระบุว่า อาจเป็นรางระบายน้ำฝนมิให้ไหลลงไปภายในองค์ปรางค์ได้</div><br /><div align="justify"><br />ศิลาทรายของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1 ส่วนบน ประกอบด้วย หิน จำนวน 28 ก้อน รูปร่างคล้ายลิ่มหรือสี่เหลี่ยมคางหมู ชั้นหินส่วนกลางประกอบด้วยศิลาทราย จำนวน 30 ก้อน ชั้นหินส่วนล่างประกอบด้วยศิลาทราย จำนวน 29 ก้อน และมีหลักฐานใช้เหล็กรูปตัวไอหล่อด้วยตะกั่วยึดศิลาทรายเข้าด้วยกันถึง 11 จุด หรือประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1<br /><br /><span style="font-size:130%;">1.2.2 การถอดชิ้นส่วนชั้นเชิงบาตร (ชั้นบันแถลง)</span><br /><span style="font-size:130%;">- การถอดชิ้นส่วนชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 5 (ชั้นบันแถลงชั้นที่ 5)</span><br />ตั้งแต่ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 5 ของพระปรางค์หมายเลข 2 ลงไป ทัพสัมภาระส่วนนี้ทำจากศิลาแลงทั้งหมด ประกอบด้วยศิลาแลงประมาณ 30-31 ก้อน ขนาดประมาณ 100 x 60 x 40 ซม.ถึงประมาณ 50 x 30 x 20 ซม.ลดหลั่นปะปนกัน ส่วนบนพบหลักฐานการใช้เหล็กรูปตัวไอยึดศิลาแลงเข้าด้วยกันเพียง 2 จุดเท่านั้น ชั้นเชิงบาตรส่วนกลางพบเพียงจุดเดียว ชั้นเชิงบาตรส่วนล่างนั้นมีศิลาแลงเรียงไม่น้อยกว่า 41 ก้อน (บางก้อนหล่นหายไป)<br /><span style="font-size:130%;">-การถอดชิ้นส่วนชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 4 (ชั้นบันแถลงชั้นที่ 4)</span><br />ชั้นนี้มีการก่อปูนซิเมนต์เสริมความมั่นคงของแนวชั้นศิลาแลง (ระบุว่าซ่อมปี พ.ศ.2512) บางส่วน ชั้นหินส่วนกลางของชั้นเชิงบาตรระดับนี้มีการใช้เหล็กรูปตัวไอยึดประมาณ 5-6 จุด</div><br /><div align="justify"><br />การรื้อชิ้นส่วนและองค์ประกอบของบัวยอดปรางค์และชั้นเชิงบาตร มีการถ่ายรูปทำผังเอาไว้เป็นหลักฐานเพื่อใช้ในการนำมาประกอบเข้าตามรูปเดิม และเพื่อการบูรณะโดยการเสริมศิลาส่วนที่หลุดหายไปให้สมบูรณ์มั่นคงดังเดิม โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกลมกลืนที่มีต่อตัวโบราณสถาน</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">การถอดชิ้นส่วนพระปรางค์หมายเลข 1-2 บางครั้งจำเป็นต้องใช้เครื่องตัดหินมาใช้ตัดตามแนวตะเข็บศิลาที่ถูกปูนขาวฉาบไว้เพื่อรักษามิให้ปูนขาวกะเทาะหลุดลงมา หลักฐานที่พบจากการรื้อส่วนประกอบของพระปรางค์หมายเลข 2 ตามที่ระบุข้างต้น ทำให้ได้พบคำตอบเกี่ยวกับเทคนิคดังได้กล่าวถึงแล้วในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลของการถอดส่วนประกอบของพระปรางค์หมายเลข 1<br /><br /><span style="font-size:130%;">1.2.3 การถอดชิ้นส่วนหลังคาและกรอบประตูมุขทิศตะวันตกพระปรางค์หมายเลข 2</span><br />หลังจากบันทึกตำแหน่งของศิลาแล้ว ช่างผู้ปฏิบัติงานบูรณะพระปรางค์หมายเลข 2 ได้ถอดชิ้นส่วนสันหลังคา หลังคา และหน้าบันมุขทิศตะวันตกของพระปรางค์หมายเลข 2 ลงมาก่อนที่จะทุบคานคอนกรีตเสริมเหล็กและแผ่นเหล็กที่รัดผนังมุขทิศ และรองรับทับหลังมุขทิศเอาไว้ จากนั้นจึงถอดทับหลังและเสาประดับกรอบประตูของมุขทิศส่วนนี้ออกไปตามลำดับ การถอดหน้าบันของมุขทิศด้านตะวันตกของปรางค์หมายเลข 2 ทำให้ได้พบว่า ศิลาทรายซึ่งวางทับอยู่บนทับหลังของมุขทิศก้อนหนึ่ง มีจารึกซ่อนอยู่ด้านใน อักษรที่ใช้จารึกเป็นอักษรขอม ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณตรวจสอบและวิเคราะห์</div><br /><br /><div align="justify">เมื่อถอดศิลาลงมาแล้ว ช่างได้รับคำสั่งให้ปัดทำความสะอาดและล้างหินแต่ละก้อนให้สะอาด เพื่อเตรียมนำกลับขึ้นไปประกอบเข้าที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง<br /><br /><span style="font-size:130%;">2. การเสริมความมั่นคงและการประกอบชิ้นส่วนพระปรางค์หมายเลข 1-2 เข้าที่เดิม</span><br />ช่างผู้ปฏิบัติงานบูรณะพระปรางค์ได้เจาะหินเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสลึก 10 ซม.เป็นพื้นที่ขนาด 2 x 2 เมตร เว้นขอบด้านนอกและด้านในติดปล่องเอาไว้เพื่อให้เป็นส่วนยึดเกาะตัวกันระหว่างวัสดุเก่าและวัสดุเสริมความมั่นคงแข็งแรง</div><br /><div align="justify"><br />จากนั้น ได้ทำความสะอาดพื้นที่ก่อนจะเจาะเหล็กรูปตัวยูยึดหินแต่ละก้อนไว้ และอัดด้วยกาววิทยาศาสตร์ ก่อนจะใช้ปูนขาวหมักเทรองพื้นคานป้องกันมิให้ปูนซิเมนต์ซึมลงไปทำลายเนื้อวัสดุเดิม (ศิลาแลง) เมื่อปูนหมักแห้งได้ที่แล้วจึงวางตะแกรงเหล็กไร้สนิมลงไปแทนที่เนื้อศิลาแลงที่ถูกสกัดออกไป ก่อนจะเทคอนกรีตซึ่งมีส่วนผสม 1:2:4 ลงไปยึดโครงสร้าง คสล. โดยตะแกรงเหล็กมีระยะการผูกเหล็กห่างกัน 20 ซม.ใช้เหล็กไร้สนิมเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 มม.เป็นแกนตะแกรง ใช้เวลาประมาณ 5 วัน เพื่อให้ คสล.อบตัวและแห้งอย่างเหมาะสม (บ่ม คสล.โดยขังน้ำไว้) แล้วจึงนำศิลาของแต่ละชั้นมาประกอบเข้าตามเดิม โดยได้เจาะฝังเหล็กไร้สนิมรูปตัวยูลงบนหินแต่ละก้อนแบบก้อนต่อก้อน ทุกๆจุดของหินแต่ละชั้น</div><br /><div align="justify"><br />การยึดหินแต่ละก้อนด้วยเหล็กไร้สนิม มีการอัดกาววิทยาศาสตร์เพิ่มความมั่นคงแข็งแรงเข้าไปด้วยทุกครั้ง เหล็กไร้สนิมรูปตัวยูมีขนาดยาวประมาณ 30 ซม.ส่วนที่งอเป็นขอนั้นยาว 15 ซม.</div><br /><div align="justify"><br />ช่องว่างของศิลาแลงหรือศิลาทรายแต่ละแห่งของทุกๆชั้น จะถูกหยอดปูนขาวหมักได้ที่ป้องกันการซึมผ่านของน้ำและความชื้นระดับหนึ่ง</div><br /><div align="justify"><br />เมื่อเรียงหินเข้าที่เดิมแล้วจึงได้คัดก้อนที่มีสภาพชำรุดมากๆทิ้งไป แล้วนำวัสดุใหม่ (ศิลาแลงใหม่) เข้าไปเสริมแทนที่ ก่อนที่จะสกัดให้มีรูปทรงกลมกลืนกับวัสดุเดิมตามรูปแบบองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม<br /></div><br /><br /><div align="justify">หลังจากเรียงศิลาขึ้นไปจนถึงระดับของบัวยอดปรางค์ชั้นที่ 1 ของพระปรางค์ทั้งสององค์ จึงสกัดศิลาเพื่อเทคาน คสล.อีกชั้นหนึ่ง ตามขั้นตอนดังได้กล่าวไปข้างต้น แล้วจึงนำชิ้นส่วนต่างๆขึ้นไปเรียงตามตำแหน่งเดิม<br /><br />การบูรณะซุ้มประตูของมุขทิศด้านตะวันออกของพระปรางค์หมายเลข 1 นั้นมีการปฏิบัติดังนี้</div><br /><div align="justify"><br />การเสริมความมั่นคงของซุ้มประตูมุขทิศด้านตะวันออกของปรางค์หมายเลข 1 ใช้วิธีการเจาะสอดเหล็กไร้สนิม เอียงเป็นมุม 30-60 องศา ยาว 100 ซม.เข้าไปฝังไว้ที่ด้านหลังของแนวสันหลังคามุขทิศด้านตะวันตก จำนวน 30 จุด แล้วอัดน้ำปูนขาวหมักเข้มข้นลงไปในช่องว่างเพื่อให้ปูนขาวยึดเหล็กกับศิลาแลงเข้าด้วยกันอย่างแข็งแรง<br /><br /><span style="font-size:130%;">3. การเสริมวัสดุใหม่เข้าไปแทนที่วัสดุที่ชำรุด</span><br />ได้กล่าวไปแล้วในขั้นตอนของการเสริมความมั่นคงและการประกอบชิ้นส่วนพระปรางค์กลับที่เดิม<br /><span style="font-size:130%;"><br />4. การบูรณะฝ้าเพดานภายในครรภคฤหะของพระปรางค์หมายเลข 1-2</span><br />จากการศึกษาเทคนิคของการทำฝ้าเพดานของพระปรางค์หมายเลข 1-2 นักโบราณคดี ได้พบว่า ช่างได้บากชื่อตัวบนกับตัวล่างก่อนวางประกบกัน และยึดด้วยเดือยหรือตะปูเหล็กหัวกลมขนาดใหญ่ ส่วนกระดานบุฝ้านั้นจะถูกยึดด้วยเดือยไม้แผ่นต่อแผ่นอย่างแน่นหนา และมีหลักฐานว่าฉนวนของพระปรางค์สามยอดทั้งสองแห่งก็น่าจะมีการบุฝ้าเพดานด้วยเช่นกัน</div><br /><br /><div align="justify">สำหรับการบูรณะนั้น วิศวกรได้ออกแบบให้ดำเนินการซ่อมแซมฝ้าเพดานของพระปรางค์หมายเลข 1-2 ใช้ฝ้าไม้เนื้อแข็งขนาด 1 x 8 นิ้ว โครงฝ้าเพดานใช้ของเดิม ขนาด 4 ½ x 6 นิ้ว โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกลมกลืน และความมั่นคงแข็งแรงของวัสดุที่จะใช้ให้สัมพันธ์กับโครงสร้างของสถาปัตยกรรม ซึ่งช่างไม้ของฝ่ายผู้ปฏิบัติงานบูรณะได้ยึดถือเป็นหลักสำคัญในการดำเนินการอย่างเคร่งครัด<br /><br /><span style="font-size:130%;">5. ผลการปฏิบัติงาน</span><br />การบูรณะและเสริมความมั่นคงส่วนต่างๆ ซึ่งล่อแหลมต่อการปริแยกและทรุดพังของพระปรางค์สามยอดได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผลการปฏิบัติจะทำให้องค์ปรางค์มีความมั่นคงแข็งแรงอยู่ได้ระดับหนึ่งจนกว่าส่วนประกอบซึ่งทำจากศิลาแลงและศิลาทรายชิ้นใดชิ้นหนึ่งขององค์ปรางค์จะปริแยกหรือตกหล่นลงมา เนื่องจากการเสื่อมสภาพของวัสดุเดิมที่ใช้ในการก่อสร้าง<br /><br /><span style="font-size:130%;">6. การนำกลีบขนุนปรางค์และชิ้นส่วนกลีบขนุนปรางค์กลับขึ้นไปติดตั้งบนองค์ปรางค์</span><br />กิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากความต้องการให้มีการนำเอาส่วนประกอบต่างๆ อาทิ กลีบขนุนปรางค์และชิ้นส่วนกลีบขนุนปรางค์ซึ่งตกหล่นลงมาจากหลังคาปรางค์กลับเข้าไปติดตั้งดังเดิม โดยได้นำชิ้นส่วนดังกล่าวมาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นารายณ์ราชนิเวศน์ และกลีบขนุนปรางค์ที่พบจากการขุดแต่ง</div><br /><div align="justify"><br />นักโบราณคดีจึงดำเนินการปรึกษาหารือและค้นคว้าเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ควรจะนำกลีบขนุนปรางค์กลับเข้าไปติดตั้งอย่างไร มิให้ขัดแย้งกับคติความเชื่อ ความเป็นมา และทิศทางการติดตั้งประติมากรรมตามจารีตดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมอันเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เนื่องจากเป็นเรื่องยากมากที่จะนำชิ้นส่วนซึ่งไม่ทราบตำแหน่งชัดเจนกลับขึ้นไปติดตั้งให้ถูกต้องได้<br />อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาเปรียบเทียบตำแหน่งของกลีบขนุนปรางค์เดิมของพระปรางค์สามยอดจากภาพถ่ายในอดีต และจากการเปรียบเทียบกับกลีบขนุนปรางค์ของปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ทำให้ได้ข้อยุติในชั้นต้นดังนี้ </div><br /><br /><div align="justify">1.ปรางค์ทุกองค์จะมีเทพประจำทิศวางติดตั้งไว้ที่ส่วนกลางของซุ้มหน้าบันของชั้นเชิงบาตรแต่ละชั้นเหมือนกันหมด อาทิ ชั้นเชิงบาตรทิศตะวันออกทักชั้นของปรางค์ทุกองค์จะมีรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณติดตั้งไว้เสมอ เป็นต้น</div><br /><div align="justify"><br />2.ระหว่างเทพประจำทิศทั้งสองด้านจะติดตั้งกลีบขนุนปรางค์รูปนักบวช (เทวดา?)ยืนกุมกระบองขนาบเทพประจำทิศไว้ ด้านข้างของกลีบขนุนปรางค์รูปนักบวชจะมีกลีบขนุนปรางค์รูปเทพสตรียืนถือดอกบัวอยู่มุมละกลีบ ส่วนด้านข้างของเทพสตรีจะเป็นกลีบขนุนปรางค์รูปพญานาค 5 เศียร ติดตั้งอยู่มุมละ 2 ชิ้น<br /></div><br /><div align="justify">การติดตั้งกลีบขนุนปรางค์ ได้ดำเนินการโดยอาศัยหลักพิจารณามิให้เกิดความหนาแน่นมากเกินไป เนื่องจากมีกลีบขนุนปรางค์บางส่วนหายไปบ้าง เพื่อมิให้องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมขาดความสมบูรณ์<br /><br /><span style="font-size:130%;">บรรณานุกรม</span><br /><br />ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุรศักดิ์ก่อสร้าง. รายงานการบูรณะพระปรางค์สามยอด องค์หมายเลข 1 (ทิศเหนือ) ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี ปีงบประมาณ 2536<br /><br />กองโบราณคดี กรมศิลปากร. เอกสารแถลงข่าวการบูรณะพระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี (พ.ศ.2537)<br /><br />กองโบราณคดี กรมศิลปากร. ทฤษฎีและแนวปฏิบัติการอนุรักษ์อนุสรณ์สถานและแหล่งโบราณคดี,2532<br /><br />กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดารภาคที่ 82 เรื่อง พระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน,2537</div></div></div></div></div></div></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-11466538751721401972011-08-03T00:31:00.001-07:002011-08-03T00:34:37.172-07:00คำเรียกประเทศต่างๆในแผนที่ยูรบ(ยุโรป)สมัยรัตนโกสินทร์<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFO_Sw08eUmZLocI0iqk27K4pZkbKOTn8gtgRvhEgaZa1_6X0kJZSKojDgYalZnjSUhNiP18n6phHVWDjVKaaQ4SFgKDUV45a1Vd4dz36lxNX1PFJzvwWsUl-7zy37cM_-4RZf5vjsjB32/s1600/New+Picture+%25281%2529.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5636529697440770146" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 245px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFO_Sw08eUmZLocI0iqk27K4pZkbKOTn8gtgRvhEgaZa1_6X0kJZSKojDgYalZnjSUhNiP18n6phHVWDjVKaaQ4SFgKDUV45a1Vd4dz36lxNX1PFJzvwWsUl-7zy37cM_-4RZf5vjsjB32/s320/New+Picture+%25281%2529.png" border="0" /></a><br /><br /><div><span style="font-size:130%;">โดยพิทยะ ศรีวัฒนสาร</span></div><br /><br /><div>เมื่อวันที่27กรกฎาคม 2554 ดร.พีรศรี โพวาทอง ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอบทความจากงานวิจัย เรื่อง Building Siwilai : Civilizational Discourse, Semi-Colonialism, and the Transformation of Architecture in Siam, 1868 - 1882 ในที่ประชุมไทยศึกษานานาชาติครั้งที่11 ที่โรงแรมสยามซิตี้ จัดโดย มหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนหนึ่งของบทความมีภาพประกอบเป็นแผนที่ทวีปยุรบ(ยุโรป) อายุประมาณสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นการออกเสียงคำเรียกชื่อประเทศต่างๆในทวีปยุโรป จึงขออนุญาตทำสำเนาจากเจ้าของบทความและขอนำลงเผยแพร่ในที่นี้ต่อไปเนื่องจากเป็นที่น่าเสียดายที่มีบางท่านมิได้เข้าร่วมในที่ประชุมดังกล่าว<br /><br />ทวีปยุโรป - ยูรบ ทวีปเอเชีย-ทวีปเอเซีย<br />ทะเลเมดิเตอเรเนียน -ชะเลเมดิทะเรเนีย<br />ทะเลดำ - ชะเลดำ ทะเลขาว -ชะเลขาว ทะเลสาบแคสเปียน- ชะเลคัศะเพีย ทะเลบอลติก-ชะเลบอละทิก<br />มหาสมุทรแอตแลนติก - มหาสมุทอัดลานทิก<br />เนเธอแลนด์(ฮอลแลนด์)- วิลันดา<br />เบลเยียม -เบลเชยิม<br />Republic of Venetian? / Venezia? (ตอนใต้ของฝรั่งเศสและเยอรมนี ตอนเหนือของอิตาลี)- ขึ้นแกพรูเทีย<br />สวิตเซอร์แลนด์-ซะวิศะลันดา<br />กรีซ-คิรเซีย<br />ไอ๊ซ์แลนด์- ไอซะลันดา<br />ไอร์แลนด์-ไอระลันดา<br />อังกฤษ-อิงลันดา<br />สกอตแลนด์-สะกตลันดา<br />เยอรมนี- อาละมาน<br />ปรัสเซีย-พรูเซีย<br />เดนมาร์ก-เดนมาก<br />สเปน-ซะเพน<br />โปรตุเกส-พะโทดา<br />อิตาลี-อิทาเลีย<br />ออสเตรีย-ออซะเตรีย<br />โปแลนด์-โพลันดา<br />นอรเวย์-นอเว<br />สวีเดน-ซเวเดน<br />แลปแลนด์-ลับลันดา<br />รัสเซีย-เมืองรูเซีย<br />ตุรกี-เทอเค<br />ดูเหมือนจะมีเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่ไม่ทราบว่าเป็นประเทศอะไรในปัจจุบัน คือ ประเทศ "ขึ้นแกพรูเทีย"<br />แผนที่ทวีปยูรบ<br />ภาพจากดร.พีระศรี โพทาวงศ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง) </div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-49406315526359996332011-07-26T23:58:00.000-07:002015-08-07T16:39:37.073-07:00Identification of the Greco-Roman sculptures at the Royal Palace of Bang Pa-In (Ayutthaya) and the Thai Ku Fa Building (Thai Government Office)<span style="font-size: 130%;">Nearly a century of undisclosed information on the symbolism<br />of these important statues.</span><br />
<br />
Bidya Sriwattanasarn,<br />
Department of Tourism and Hotel Studies,<br />
Faculty of Arts and Sciences,<br />
Dhurakij Pundit University, Bkk., Thailand<br />
<br />
<span style="font-size: 130%;">Abstract</span><br />
Communication with western countries in the modern period of Siam in the reign of King Rama V and King Rama VI inspired only a select group of members of the Royal Siamese Court and the elite society in obtaining Western art and cultural values. The sculptures of the Greco-Roman goddesses in the Royal Palace of Bang Pa-In and the Thai Ku Fa Building have not been properly identified by art historians since 1862. <br />
<div>
<br />
Furthermore, employees of the palace used to discretely yet mistaken inform visitors that the sculptures were representations of the concubines of King Rama V. Similarly, a committee responsible for the research of the history of the Royal Thai Government’s House published a guide book for its visitors, focusing on the architectural decoration and style, but refrained to discuss the symbolic representation of the statues.<br />
<br /></div>
<img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5634234581559336018" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSjrhXRddWqyy8pywipk47Z7z4mic8fbBFOCPqA7QRA_EFqcvKNK1teGf_6aMB-IfztCu8OhjPtrt8PBVV2XAyj04p_cnLWDjwxW2uNm_APHABiaODmer1IelM-2-OWqsO0kqNUTjo6YJa/s320/MVI_4681+001_0001.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 120px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 160px;" /><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5634234705567788834" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1aoaPzn1MqJCQH5haKZWbauR3LVmuJqCURj7k0b9tEN-Cu-oURxguwholStPHuTgbG52lkrtMAdmEbIfVlJ0Gy5JzF7mwYBdrNGGrFL55qNb_iqYG7oIQajxD6Shghy1SmrQ0PryzXf4I/s320/MVI_4681+001_0002.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 120px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 160px;" /><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5634234792879794386" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIMF2a4VT8Z9ZM1qukoliZArKszB7sn2lYXzQwobB7GuH8ND0XOHmQTZe8GccniEToU1QLC6qJcWUHOtIGMXHLdfpO2_lPcpX8f3GNp7a4xlYjnH-pVmLT9O2HeRdaBsgbwqkKzJ9zevws/s320/MVI_4681+001_0003.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 120px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 160px;" /><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5634234874588609170" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiePwCJRxZjdThmkHL8PM7ITXD8Uv1VgDTt3WrH8Y1Wysikx6a8jR1MPovuZxx19yS9k5SMsAyiaMsoEtBT6MpF73fdOc1pV0I-xcWCUMn7H9UCpk_W2HdtuJtTAFwlbBQhH7vlc_zJO0TG/s320/MVI_4684_0001.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 120px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 160px;" /> <span style="font-size: 130%;">Images of Demeter, goddess of agirculture with her symbol of cornucopia at the Royal Palace of Bang Pa-in, Ayutthaya, during the conservative procedure by sculptors of the Crown Property of Thailand.</span><br />
<img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5634238246813035346" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgk5NeY3bjkyd8Pm4MmlWcWz-FWf9ERDHF4mX2yNzq7OyOcv7KAn0yQK1-LTuCv6BhtMO5NPJGZlBqH7u84rr3Mkbc8lTN98H8PI_HohMgknwTaUOOxF6ci-w2_x9ej7h3cMt4QliKrF_1U/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 320px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 153px;" /><span style="font-size: 130%;">Hebe ,goddess of youth, at the 1st floor of the Thai Khu-fah Building (Royal Thai Government House)</span><br />
<img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5634238444659383586" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVDsyfQEvkYjd_T_XKJz5DVDu9RvGmDW5qOmNfMNW3llE2msYEfYPkIDrxXztzbFUn-qZNQGfrRIa_a9aFxNJopIByQz2D8qzRiiytoTtGOaphDwG-z9WNSK2PdY2dLqomTNuIXt5s2dN9/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A23.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 188px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 254px;" /><span style="font-size: 130%;">Roller skate represent life of the youth.</span><br />
<br />
<img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5634278284716719170" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjp3k184ZNktB9pCIc8EZ-xrpumuXhOBNO6DBJPf-18Kwp-BD3G6cdMIIAfpUkv1eQM4GELDfCO3WwpTJjvSfH-0t8TMGIe8ksbKjOY-z-ReqCrfpq6FwIXVYhMdemO4XADyI6Zz95p8ihs/s320/Hebe+goddess+of+youth+_+hermitage_st.petersburg.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 267px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 200px;" /><br />
<span style="font-size: 130%;">Hebe goddess of youth _ hermitage_st.petersburg</span><br />
<span style="font-size: 130%;"></span><br />
Finally, after more than a century for the Palace of Bang Pa-In; and nearly a century for the famous Thai Ku Fa Building, the author has discovered that the sculptures in both places are muses and other important goddesses such as Thalia, Eurania, Diana, Niki and Athena, belonging to the Greco-Roman mythology.<br />
<br />
<br />
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dx162tKSitT5xpCKQLryJf1tjPPiHokgBlwevQsmyoJdAh2wEDM7p3cWeOKlOUnm2jFbnpH_mf7hMoOGfu-BQ' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe><br />
<div>
<br />
<div>
<br />
<div>
<br />
<div>
<br />
<div>
<br />
<span style="font-size: 130%;">Part of the author's presentation for the 11th International Conference on Thai Studies, "Visions of the Future" July 26-28, 2011 Siam City Hotel, Bangkok, Thailand. 27 July 2011 , 09.40-12.00. Room #8, </span><span style="font-size: 130%;">Session 36 (Individual Papers) Art & Architecture . Chairperson: Prof. Leedom Lefferts</span> </div>
</div>
</div>
</div>
</div>
พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-17709999587159105182011-04-18T21:12:00.000-07:002011-04-18T21:19:32.078-07:00Problem about the Existene of the Russian Community in the early 20th Century in Bangkok.<div align="justify">Dear Aj. Luisa,<br /><br />Sorry of my late replying. Last week, I called Assistant Professor Sawittree Chareunbongs, Division of History,Faculty of Arts : Chulalongkorn University.<br /><br />Based on her MA. Thesis(Western Community in Bangkok) , there’s no prominent historical evidence concerned to the Russian Community in early the 20 century. However, at the end of Sathorn Road, there is the beautiful old building that used to be rented from the Crown Property Bureau as the USSR’s Embassy during 1948-1999.<br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5597144067432306002" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgY9reRVkXgZLIZaHvk8LKMiMaqdc9qhRRBfwEWx1KTPhOQDvATJs0fvWU1vQtLM8Lr8Na3869DY8VsTT0XryWLLF61JpSWBRTPGPgXIAVtGkEkOFDLUaZAjnE9FnEWD-OWuh68At6Ets7_/s320/%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258A+%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2.jpg" border="0" /> <br /><p align="justify"><br />The building was constructed by Luang Jitrchamnong Wanich(Tomya Rongkawanich) in 1888, during the reign of King Rama V. After the business of Luang Jitchamnong Wanich had been lost, the house was took over by the Crown Property Bureau.<br /><br />In the reign of King Rama VI, another source said that the King gave the house to Phraya Ramrakop (ML. Phoeu Peungboon Na Ayutthaya) but later, he sold it back to the Crown Property Bureau again.<br />(http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=30989)<br /><br />After that, reliable documentation (rental paper) between the Crown Property Bureau and the USSR Government indicated that the USSR signed the paper to rent the former Thailand Hotel to be its embassy in 1948 until the year 1999.<br /></p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5597144153253244130" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 198px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQ6S1G9MrDr3-FHMk3D2Kq6Qe3DYGBjbnlZ4p7r6NvFmZWMY3AaOQyjRXGQZ7PiHxWSeQviJzFJ5_W4ZUprEnAOtC1NG858N6uuxeorWdyemx7J7_GxMpYGcYykOI_tt7idPxxPskFVoAH/s320/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2+SathornS_news1.jpg" border="0" /> <br /><p align="justify"><br />According to security reason, I agree with Aj. Theeranan that relation between Thailand and the USSR during the Cold War filled with suspicious. My teacher used to go to the USSR Embassy once to applying for higher education scholarship and he was tracking by spies of the government all the way to his elder brother’s office (National Intelligence Agency).<br /><br />Architectural style of the building had been taken from the model of the Italian villa of the 19th century(<a href="http://www.crownproperty.or.th/cpad/vtr_8.php">http://www.crownproperty.or.th/cpad/vtr_8.php</a>)<br /><br />In generally, being such a community must to have a church, a school, a village or at least a club, however, last week, my friend Aj. Sranmitr Pracharnsith, Naresaun University , suggested a document revealing that long time ago, a Russian had made a quarrel with his friend in a club may be in Silom or Bangrak. But no document referred to any Russian descendant.<br /><br />If the Russian Community in the letter of Miss Victoria Kudriavtseva means the former USSR’s Embassy, it locates at 1/108 North Sathorn Road , Silom Sub District, Bangrak Bangkok, and being develop to be the spa place and boutique hotel of the One Sathorn Project at the present day .<br /><br /><br />Brgs,<br />Bidya</p>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com17tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-51690365784009292522011-03-21T21:25:00.000-07:002011-03-23T20:36:41.677-07:00การขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี<span style="font-size:130%;">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span><br /><div align="justify"><em>เมื่อปีงบประมาณ2540 ผู้เขียนภายใต้การดำเนินงานของบริษัทมรดกโลก จำกัด ได้รับจ้างเหมาการขุดแต่งเพื่อการบูรณะพระที่นั่งสุทธาสวรรย์(ภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์) ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี การทำงานครั้งนั้นผู้เขียนมีความสุขอย่างยิ่งในการใช้ความพยายามรวบรวมสติปัญญาเพื่อสร้างเรื่องราวในอดีตจากหลักฐานโบราณคดีทั้งที่เอกสารและโบราณวัตถุสถานและร่องรอยสถาปัตยกรรม ผู้เขียนเห็นว่า ข้อมูลดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาทางวิชาการต่อไปจึงขอนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้อีกครั้ง</em></div><br /><div align="justify"></div><div align="justify"><span style="font-size:130%;">ลักษณะรากฐานของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ก่อนการขุดแต่ง</span></div><div align="justify"><span style="font-size:130%;">สภาพแวดล้อม</span><br />พระที่นั่งสุทธาสวรรย์เป็นรากฐานโบราณสถานซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ลักษณะของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ถูกวางตาแหน่งอยู่ตรงกึ่งกลางของเขตพระราชฐานส่วนนี้ โดยรากฐานพระที่นั่งทางเหนืออยู่ห่างจากกำแพงทางด้านใต้ของพระที่นั่งดุสิตสวรรยธัญญมหาปราสาท ประมาณ 30เมตร รากฐานทางด้านตะวันออกอยู่ห่างจากแนวกำแพงพระราชฐานชั้นที่สอง ประมาณ 60 เมตร รากฐานทางด้านใต้อยู่ห่างจากแนวกำแพงทางใต้ประมาณ 25 เมตร ส่วนรากฐานพระที่นั่งทางด้านตะวันตกนั้นปรากฏแนวกำแพงก่ออิฐฉาบปูน สูง 15 เมตรตัดเนื้อที่บางส่วนของระเบียงด้านตะวันตกของพระที่นั่งออกไป ดังปรากฏหลักฐานในแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี จากการสำรวจของพระยาโบราณราชธานินทร์</div><br /><div align="justify"><br />แนวกำแพงซึ่งตัดเนื้อที่บางส่วนของระเบียงด้านตะวันตกของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ออกไปนั้น อาจถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายหลังการขุดแต่งโบราณสถานแห่งนี้เสร็จสิ้นลงไป ได้ปรากฏร่องรอยบางอย่างที่บ่งชี้ว่ากำแพงด้งกล่าวอาจวางรากฐานอยู่แนวกำแพงแก้วเดิมด้านตะวันตกของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ก็ได้ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า และเข้าใจว่าแนวกำแพงแก้วเดิมของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์อาจจะอยู่ห่างจากกำแพงพระราชฐานด้านตะวันตกประมาณ 60เมตร เช่นเดียวกับระยะห่างจากแนวกำแพงด้านตะวันออก</div><br /><div align="justify"><br />พื้นผิวดินภายในพระราชฐานอันเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั้น ถูกปรับให้อยู่ต่ำกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของพระราชวังประมาณ 2 เมตร ทั้งนี้วิศวกรคงจะคำนึงถึงประโยชน์เกี่ยวกับแรงดังในการทดน้ำจ่ายน้ำเพื่อใช้อุปโภคสำหรับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เป็นสำคัญ</div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">สภาพปัจจุบัน<br /></span>สภาพปัจจุบันของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ถูกจัดแต่งเป็นสวนขนาดใหญ่มีสภาพร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่ไม่กี่ชนิด ได้แก่ ต้นก้ามปู ต้นปีบ และพิกุล นอกนั้นเป็นต้นผลไม้ อาทิ มะม่วงขนาดเล็ก ต้นส้มโอและไม้ดอกของไทย อาทิ ราชาวดี เป็นต้น</div><br /><div align="justify"><br />ภายในสวนด้านหลังแนวกำแพงด้านตะวันตกประกอบด้วยต้นมะพร้าวจำนวนหนึ่ง ต้นพุทรา ต้นมะม่วงขนาดย่อม กอไผ่ และพื้นสนามหญ้า ซึ่งได้รับการดูแลรักษาอย่างค่อนข้างดี</div><br /><div align="justify"><br />รากฐานของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ก่อนการขุดแต่งในปีงบประมาณ 2540 นั้น ถูกดินปกคลุมทับถมค่อยข้างเบาบางเนื่องจากเคยได้รับการขุดแต่งมาแล้วเมื่อประมาณ 20 ปีเศษที่ผ่านมา การขุดแต่งครั้งน้นดำเนินการแต่เพียงขุดลอกดินที่ทับถมรากฐานทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศใต้บางส่วนออกไปเท่านั้น ระดับการขุดลอกดินออกไปยังไม่ถึงพื้นลาน โดยรอบของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แต่กระนั้นก็ตามการดำเนินการดังกล่าวช่วยทำให้รากฐานบางส่วนของพระที่นั่งองค์นี้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดพอสมควร</div><br /><div align="justify"><br />จากการสำรวจพบว่าแผนผังโครงสร้างรากฐานของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ถูกออกแบบให้องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมทุกส่วนทุกด้านมีความลงตัวกันอย่างเหมาะสม เรียกว่า “Symmetrical designation system” กล่าวคือ หากออกแบบให้มีประตูและหน้าต่างทางด้านหน้าอย่างไร ทางด้านหลังก็จะทำประตูและหน้าต่างล้อตามไปด้วย ทางด้านข้างชักปีกอาคารและบันไดออกไปอย่างไร ด้านตรงกันข้ามก็จะถูกออกแบบให้มีองค์ประกอบแบบเดียวกันตามไปด้วยโดยไม่มีข้อยกเว้น เป็นต้น แนวความคิดที่มีในองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์อย่างลงตัวเช่นนี้ จะช่วยให้การวิเคราะห์รูปแบบโครงสร้างและแผนผังของพระที่นั่งองค์นี้มีเหตุผลน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น</div><br /><div align="justify"><br />จากสภาพเท่าที่ปรากฏได้ชัดเจนว่า รากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนชุดรากฐาน 2 ชุด กล่าวคือ ชุดฐานชั้นนอกประกอบด้วยแผนผังของกำแพงแก้ว กำแพงปีกท้องพระโรง ระเบียง ฐานน้ำพุ ปีกพระที่นั่งซ้าย-ขวา มุขบันได และเกย ส่วนชุดฐานชั้นในเป็นส่วนรองรับโครงสร้างผนังและเครื่องบนหลังคา อันน่าจะเป็นท้องพระโรงที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์ขณะแปรพระราชฐาน ณ เมืองลพบุรี</div><br /><div align="justify"><br />ชุดฐานชั้นนอกและชุดฐานชั้นในของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ต่างก็เป็นฐานปัทม์หน้ากระดานอกไก่มีบัวคว่ำบัวหงายเป็นองค์ประกอบโดยเริ่มต้นจากฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าลดชั้นขึ้นไปรองรับลวดบัวแล้วจึงเป็นบัวคว่ำ ก่อนจะขึ้นไปเป็นหน้ากระดานอกไก่และชั้นบัวหงายตามลำดับ เหนือชั้นหงายขึ้นไปจึงเป็นพื้นระเบียงและพื้นท้องพระโรงที่ประทับของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นที่น่าสังเกตว่าที่ชั้นบัวคว่ำของฐานแต่ละด้านจะปรากฏท่อน้ำดินเผาสำหรับระบายน้ำออกจากระเบียงพระที่นั่งเป็นระยะๆ</div><br /><div align="justify"><br />ชุดฐานปัทม์หน้ากระดานอกไก่นี้เป็นองค์ประกอบเด่นทางสถาปัตกรรมแบบไทยประเพณีในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่สำหรับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั้นชุดฐานปัทม์หน้ากระดานอกไก่จะเพิ่มเส้นลวดที่โคนกลับบัวคว่ำบัวหงายเข้าไปอย่างละเส้น ทำให้หน้ากระดานอกไก่มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น </div><br /><div align="justify"><br />องค์ประกอบของกำแพงแก้วล้อมรอบระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จะก่อตัวขึ้นจากฐานเขียงแล้วจึงเป็นบัวหงายก่อนจะเป็นผนังกำแพงแก้ว สูงประมาณ 100-120 เซนติเมตร และทับหลังกำแพงแก้วรูปบัวหงาย หน้ากระดานบัวคว่ำ สูงประมาณ 20 เซนติเมตร</div><br /><div align="justify"><br />สำหรับกำแพงปีกท้องพระโรง ซึ่งเป็นกำแพงสูงประมาณ 2.50 เมตร ชักปีกออกมาจากมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือและมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ คั่นระเบียงด้านตะวันตกของพระที่นั่งให้พ้นจากสายตาของบุคคลภายนอก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับกำแพงแก้วของพระที่นั่งองค์นี้</div><br /><div align="justify"><br />เสาอาคารของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ถูกออกแบบให้ฝากอยู่กับโครงสร้างของผนัง โดยมีลักษณะเป็นโครงอิฐฉาบปูนยื่นออกมาจากผนังอาคารเพียงเล็กน้อย ร่องรอยของช่องอิฐที่ผนังตามแนวเสาบ่งชี้ให้ทราบว่ามีการทำด้นทวยรองรับเครื่องบนหรือชั้นหลังคาด้วย องค์ประกอบดังกล่าวสังเกตได้จากปีกทางด้านใต้ ซึ่งก่อเป็นอาคารยื่นออกมา มีประตูและหน้าต่างเป็นช่องโค้งยอดแหลม ตามแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะเปอร์เซีย-โมกุล หรือที่เรียกว่า “Sarasenic Achitectural”<br /><span style="font-size:130%;">มิติทางสถาปัตยกรรม</span></div><div align="justify"><span style="font-size:130%;">รากฐานระเบียงพระที่นั่งสุทธาวรรย์</span><br />ลักษณะเป็นรากฐานชั้นนอกส่วนนอกของพระที่นั่ง มีด้านแปยาวประมาณ 35 เมตร ด้านสกัดยาวประมาณ 27 เมตร ซึ่งอันที่จริงแล้วหากคำนวณจากแผนผังพระที่นั่งสุทธาวรรย์ของฝรั่งเศส(Plan du Palais de Louvo) และผังที่นั่งพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรีแล้ว ด้านแปของพระที่นั่งสุทธาวรรย์อาจมีความยาวประมาณ 38 เมตรเลยทีเดียว</div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">มุขบันได</span><br />ทางด้านตะวันออกของพระที่นั่งสุทธาวรรย์มีมุขกว้าง 1เมตร ยาว 11.20 เมตร ยื่นออกมาลักษณะคล้ายจะเป็นบันไดทางขึ้นสู่ระเบียงด้านตะวันออกของพระที่นั่ง โดยทำเป็นบันไดเบื้องซ้ายและเบื้องขวาที่มุมบางทิศเหนือและทิศใต้ของมุข และถ้าหากเชื่อมันในทฤษฎีเรื่องความลงตัวทางสถาปัตยกรรมดังกล่าวไปแล้วข้างต้น ก็อาจเป็นไปได้ว่าระเบียงทางด้านตะวันตกของพระที่นั่งสุทธาวรรย์จะมีมุขยื่นออกไปและมีบันไดขึ้น-ลงทางเบื้องซ้ายและขวา เช่นเดียวกัน</div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">ปีกอาคาร (พระปรัศว์)<br /></span>ปีกอาคารซึ่งถูกชักออกไปทางด้านเหนือและด้านใต้ของมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้อของฐานพระที่นั่งสุทธาวรรย์มีลักษณะเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านแปยาว 9 เมตรด้านสกัดกว้าง 7 เมตร ผนังของแต่ละด้านกว้างประมาณ 1 เมตร ภายหลังการขุดแต่งปรากฏอหลักฐานของถึงน้ำกรุหินอ่อนอยู่ภายใน ทั้งปีกด้านทิศเหนือและปีกด้านทิศใต้</div><br /><div align="justify"><br />สำหรับปีกด้านเหนือนั้น โครงสร้างผนังและเครื่องบนถูกรื้อทำลายลงไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงร่องรอยของโคนเสาก่ออิฐถือปูน ฐานเสาบัวคว่ำและผนังเตี้ยๆแต่กระนั้นก็ยังพอจะเห็นร่องรอยขององค์ประกอบและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมจากการวิเคราะห์และเปรียบเที่ยบกับปีกอาคารทางด้านใต้ของฐานพระที่นั่งฯ</div><br /><div align="justify"><br />กล่าวคือ ปีกอาคารด้านเหนือจะมีช่องหน้าต่างรูปวงโค้งยอดแหลมแบบซาราเซนนิค จำนวน 3 ช่อง เหตุที่เชื่อว่าด้านเหนือมีแต่ช่องหน้าต่างก็เนื่องจากไม่มีร่องรอยของบันไดยื่นจากตัวอาคารมารับช่องประตูทางด้านนี้แต่อย่างใด ส่วนทางด้านใต้ปีของอาคารทศเหนือนั้นปรากฎหลักฐานของช่องประตูจำนวน 2ช่อง ขนาบข่องหน้าต่างตรงกลางจำนวน 1 ช่อง ช่องประตูและช่องหน้าต่างทั้งหมดจะมีรูปแบบเป็นช่องโค้ง เช่นเดียวกับช่องประตูและช่องหน้าต่างทางทิศเหนือของปีกอาคารด้านใต้ของพระที่นั่งสุทธาวรรย์ </div><div align="justify"><br />ด้านสกัดของปีกอาคารทางเหนือนั้นปรากฏร่องรอยของช่องประตู ทั้งด้านตะวันออกและด้านตะวันตก โดยเฉพาะประตูด้านตะวันออกนั้นจะมีร่องรอยของฐานบันไดปรากฏให้เห็นด้วยและช่องประตูทั้งสองด้านก็น่าจะมีรูปเป็นช่องโค้งยอดแหยมเช่นเดียวกับประตูด้านตะวันออกและตะวันตกของปีกอาคารด้านใต้ ทางมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของปีกอาคารส่วนนี้ปรากฏบันไดยื่นออกไป มีแผ่นหินแอนดีไซต์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 1.00 X 50 เซนติเมตรรองรับ</div><br /><div align="justify"><br />ปีกอาคารด้านใต้นั้นมีโครงสร้างและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมก่อนข้างสมบูรณ์ ง่ายต่อการอธิบายทำความเข้าใจและสามารถนำมาใช้เป็นหลักในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับองค์ประกอบส่วนอื่นๆของอาคารได้เป็นอย่างดี ผนังด้านเหนือยังปรากฏช่องประตูรูปโค้งมุมแหลมจำนวน 2 ช่อง สูงประมาณ 3 เมตร ขนาบช่องหน้าต่างรูปแบบเดียวกันไว้ตรงกลาง ความสูงประมาณ 2.5 เมตร ช่องประตูและช่องหน้าต่างมีความกว้างประมาณ 1.80 เมตรเท่ากัน ผนังด้านใต้ของปีกอาคารถูกรื้อทำลายไปจนหมดสิ้น ขณะที่ผนังด้านตะวันตกยังอยู่ครบ ส่วนผนังด้านตะวันออกนั้นยังคงเหลือเฉพาะซีกประตูด้านเหนือเท่านั้น</div><br /><div align="justify"><br />ด้านตะวันออกของปีกอาคารส่วนนี้มีบันไดกว้างประมาณ 2 เมตร ยื่นออกไป ส่วนทางมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็มีบันไดยื่นออกไปเช่นกัน</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">ฐานน้ำพุหรือฐานอ่างน้ำสรงสนาน</span><br />ฐานน้ำพุหรือฐานอ่างน้ำสรงสนานเป็นรากฐานขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมขนาด 7X3 เมตร ซึ่งถูกก่อยื่นเป็นมุขออกไปทางเหนือและใต้ ที่บริเวณจุดกึ่งกลางของรากฐานเดิม (ก่อนจะถูกกำแพงเขื่อนเพชรก่อคล่อมตัดบางส่วนของระเบียงด้านตะวันตกของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ออกไปเล็กน้อย) ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ สภาพก่อนการขุดแต่งมีต้นหญ้า มูลดินและกากปูนปกคลุมประมาณ 10 เซนติเมตร<br />ฐานน้ำพุหรืออ่างน้ำสรงสนานทางทิศเหนือของเชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะมีเขามอหรอภูเขาจำลองก่ออิฐถือปูนหนา มีแผนผังคล้ายรูปครึ่งวงกลมจำนวน 6 รูป เรียงล้อมกันเป็นวงคล้ายกลีบดอกจันทร์ ลดชั้นจากฐานขึ้นไปสู่ยอด นับได้ 3 ชั้น (2ยอด) 7 ชั้น (2 ยอด)9ชั้น (1 ยอด) และ 11 ชั้น (1 ยอด) รวม 6 ยอด ฐานแต่ละด้านของยอดเขามอจะคว้านร่องทรงกระบอก ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจใช้สำหรับประดับพรรณไม้เป็นระยะๆ ฐานของเขามอทำเป็นช่องโค้งมุมแหลมเจาะทะลุจากเหนือไปใต้กว้างประมาณ 1 เมตร มีดินทับถมอยู่จนเกือบเต็มช่องโค้ง ดินดังกล่าวเป็นดินใหม่ ซึ่งถูกนำมาตกแต่งเขามอเนื่องในงานฉลองแผ่นดินสมเด็จ พระนารายณ์ของแต่ละปีที่ผ่านมา</div><br /><div align="justify"><br />ตรงกึ่งกลางของเขามอทั้งด้านตะวันออกและด้านตะวันตก มีแนวกำแพงแก้วชักปีกออกไปทั้งสองด้านเพียงเล็กน้อยก่อนที่กำแพงแก้วจะหักเลี้ยวไปทางทิศใต้ของทั้งสองด้าน มุมของกำแพงแก้วทั้งสองด้านถูกก่อเป็นเสารูปสี่เหลี่ยมย่อมุม ยอดเสามีลักษณะย่อมุมและทำเป็นหัวเม็ดทรงสี่เหลี่ยมย่อมุม คล้ายกับหัวเม็ดของเสากำแพงแก้วทุกต้นภายในพระราชฐานแห่งนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ ลักษณะของกำแพงแก้วทางด้านตะวันออกของฐานน้ำพุหรืออ่างน้ำสนานเชิงเขามอนี้ ไม่มีร่องรอยของคูหาขนาดเล็กรูปโค้งยอดแหลมดังเช่นกำแพงแก้วของพระที่นั่งดุสิตสวรรย์ธัญญมหาปราสาท หรือตึกเลี้ยงรับรองราชทูต และอื่นๆแต่อย่างใด ส่วนฐานน้ำพุหรืออ่างน้ำสรงสนานทางทิศใต้นั้นเหลือเพียงฐานอิฐเหนือชั้นบัวหงายเท่านั้น</div><br /><div align="justify"><br />ในระยะแรกก่อนการขุดแต่ง สภาพของฐานน้ำพุหรืออ่างน้ำสรงสนานทั้งทางด้านเหนือ(เชิงเขามอ)และทางใต้ ต่างก็มีวัชพืช ดินและกากปูนทรายทับถมค่อนข้างหนา ทำให้ยังไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางสถาปัตยกรรมกันได้อย่างลงตัว จนกรทั่งการขุดแต่งดำเนินผ่านไปจึงได้แลเห็นความเชื่อมโยงที่มีต่อกันได้ชัดเจน (ก่อนการขุดแต่งนั้นเชิงเขามอด้านตะวันตกเฉียงใต้พบร่องรอยบันไดกว้างประมาณ 1 เมตร ส่วนเชิงด้านตะวันออกและตะวันตกของฐานน้ำพุด้านใต้พบร่องรอยบันไดขนาบฐานน้ำพุทั้งสองด้าน หลังการขุดแต่งได้พบบันไดด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขามอเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง บันไดทั้งสี่แท่งที่กล่าวถึงนั้น เป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่ลงตัวกันอย่างเหมาะสม)<br /><span style="font-size:130%;">รากฐานเกยคชาธารและเกยราชยาน</span></div><div align="justify"><br />ทางมุมทิศด้านตะวันออกเฉียงเหนือของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มีชั้นอิฐรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 2.40X2.00 เมตร ก่อยื่นออกมาเป็นเกยช้างพระที่นั่ง สูงประมาณ 2 เมตร ลักษณะคล้ายเกยช้างพระที่นั่งไกรสรสีหราช</div><br /><div align="justify"><br />ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ มีร่องรอยของแนวอิฐสูงประมาณ 20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 100 เซนติเมตร สภาพทรุดพัง เข้าใจว่าน่าจะเป็นร่องรอยของเกยราชยานคานหาม</div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">พื้นระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์</span><br />พื้นระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทั้งสี่ด้านก่อนการขุดแต่ง มีต้นหญ้า มูลดิน กากปูน ทราย ปกคลุม แนวระเบียงบางส่วนหลงเหลือพื้นปูนหนาเกือบ 20 เซนติเมตร ส่วนระเบียงของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ กว้างประมาณ 5-6 เมตร ที่บริเวณแนวตรงกันระหว่างฐานน้ำพุหรืออ่างน้ำสรงสนาน มีร่องรอยขนาบด้วยแผ่นปูนขาวกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2 เมตร ทั้งสองด้านแลดูคล้ายร่องน้ำไหลใช้ส่งไปยังฐานน้ำพุหรืออ่างน้ำสรงสนานทั้งสอง</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">กำแพงแก้ว</span><br />กำแพงแก้วของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั้นถูกรื้อทำลายไปจนแทบหมดสิ้น เหลือแนวให้เห็นเพียงเล็กน้อยที่เชิงเขามอด้านเหนือ ซึ่งได้กล่าวไปแล้วข้างต้น แนวกำแพงแด้วกับช่องประตูและบันไดขึ้นลงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างมาก ทางด้านเหนือจะมีแนวช่องประตู รวม 5 ช่องทางด้านตะวันออกจะมีแนวช่องประตู 2 ช่อง ด้านใต้จะมีแนวช่องประตู 5 ช่อง และด้านตะวันตกจะมีแนวช่องประตูผ่าน<span style="font-size:130%;"><span style="font-size:100%;">กำแพงแก้ว 2 ช่อง</span></span></div><span style="font-size:130%;"><span style="font-size:100%;"></span><br /><div align="justify">กำแพงปีกท้องพระโรง</span></div><br />กำแพงปีกท้องพระโรงที่คั่นระหว่างพระราชฐานชั้นนอกกับพระราชฐานชั้นในของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นส่วนที่ชักปีกออกจากมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงเหนือไปจรดแนวกำแพงแก้วทั้งด้านเหนือและด้านใต้ มีความยาวด้านละ 6 เมตร กว้าง 1 เมตร สูงประมาณ 2 เมตรเศษ ปรากฏร่องรอยของประตูทางเข้าด้านละ 1 กว้างประมาณ 1.20 เมตร<br />ด้านล่างของกำแพงมีลักษณะเป็นรากฐานบัวคว่ำ มีทับหลังกำแพงเป็นรูปบัวหงาย หน้ากระดานบัวคว่ำ สภาพด้านเหนือค่อนข้างสมบูรณ์ มีเพียงทับหลังเท่านั้นที่ถูกทำลายไป ส่วนทางด้านใต้เหลือเพียงซีกผนังด้านเหนือเท่านั้น<br />มีร่องรอยว่าตรงจุดที่กำแพงปีกท้องพระโรงด้านเหนือแล่นไปจรดกับแนวกำแพงทางทิศเหนือ ซึ่งล้อมด้านเหนือของระเบียงพระที่นั่งด้านตะวันตกไว้นั้น จุดสิ้นสุดของกำแพงได้สร้างคล่อมอยู่บนทับหลังของกำแพงแก้วส่วนนี้ จึงอาจเป็นไปได้ว่า กำแพงปีกท้องพระโรงน่าจะถูกสร้างขึ้นภายหลังกำแพงแก้วในระยะเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก<br /><span style="font-size:130%;"><br />รากฐานท้องพระโรงที่ประทับของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์</span><br />ลักษณะเป็นรากฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกชั้นสูงเหนือระเบียงพระที่นั่งประมาณ 81 เซนติเมตร มีด้านแปยาว 22 เมตร ด้านสกัดกว้าง 12 เมตร 80 เซนติเมตร ผนังส่วนใหญ่ถูกรื้อทำลายไปจนเกือบหมดสิ้น ด้านเหนือเหลือผนังบางส่วนสูงประมาณ 2 เมตร ด้านตะวันออกไม่เหลือผนังอยู่เลย ด้านใต้เหลือผนังสูงประมาณ 2 เมตร และด้านตะวันตกเหลือผนังสูงประมาณ 100-260 เซนติเมตร<br /><div align="justify"><br />ผนังของท้องพระโรงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ มีร่องรอยของเสาที่ฝากอยู่กับโครงสร้างผนังเช่นเดียวกับเสาของปึกอาคารทั้งสองด้าน</div><br /><div align="justify"><br />จากร่องรอยของช่องหน้าต่างทางซีกตะวันตก จำนวน 2 ช่อง ของผนังทางทิศเหนือ มีช่องประตูอยู่ตรงกลาง ทำให้พอจะอนุมานได้ว่า ซีกตะวันออกของผนังทางทิศเหนือก็น่าจะมีช่องหน้าต่าง รวม 2 ช่อง เช่นเดียวกัน ดังนั้นผนังทิศใต้ของท้องพระโรงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ก็จะมีช่องหน้าต่างและช่องประตูจำนวนเท่ากันด้วย โดยที่ช่องประตูทั้งสองด้านนั้นมีร่องรอยบันไดเตี้ยๆ ฝังอยู่กับผนังด้านแปนั่นเอง<br />สำหรับผนังด้านตะวันออกนั้น จากร่องรอยของช่องหน้าต่าง 2 ช่อง กับช่องประตู 1 ช่องทางด้านตะวันตก และแนวบันไดที่ยื่นออกไปจากผนังด้านสกัด ทำให้อาจสันนิษฐานได้ว่าผนังด้านตะวันออกของท้องพระโรงควรจะมีช่องประตูขนาดกว้างประมาณ 2 เมตร จำนวน 1 ช่อง ช่องหน้าต่างกว้างประมาณ 1.20 เมตร จำนวน 2 ช่อง เช่นเดียวกับด้านตะวันตกซึ่งอยู่ทิศตรงกันข้าม</div><br /><div align="justify"><br />หลุมลึกขนาด 4X7 เมตร ทางมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรากฐานท้องพระโรง เดิมที่เข้าใจกันว่าเป็นถังเก็บน้ำเพื่อใช้ในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แต่เมื่อตรวจสอบผนังทุกด้านดูแล้วไม่ปรากฏรอยยาปูนขาวกันซึมตามคุณลักษณะของถังน้ำแม้แต่น้อย ดังนั้นสภาพที่เห็นในปัจจุบันคงเกิดจากการลักลอบขุดหาโบราณวัตถุ ซึ่งเชื่อกันมาอย่างผิดๆว่า ถูกฝังอยู่ใต้พื้นพระที่นั่งองค์นี้</div><br /><div align="justify"><br />แท้ที่จริงแล้วส่วนดังกล่าวเป็นโครงสร้างฐานรากของอาคารที่ก่อเป็นเอ็นยึดผัง และอัดทรายเพื่อรองรับน้ำหนักของโครงสร้างส่วนบนของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เท่านั้น หลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่ง คือแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี ก็มิได้ลงตำแหน่งของหลุมดังกล่าวไว้แสดงให้เห็นว่าการขุดเกิดขึ้นในสมัยหลัง</div><br /><div align="justify"><br />พื้นของท้องพระโรงมีร่องรอยของการปูอิฐเอาไว้ เหนือชั้นอิฐเทปูนขาวปิดทับ มีกากปูนและวัชพืชปกคลุมทั่วไป<br />การขุดแต่งรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ </div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">การสำรวจทางโบราณคดีและการวางฝังหลุมขุดแต่งรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์</span><br />กระบวนการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เพื่อศึกษารากฐานอาคาร รวมทั้งเทคนิคทางสถาปัตยกรรม และหลักฐานทางโบราณคดี เพื่ออธิบายเรื่องราวความเป็นมาในอดีตและพัฒนาการทางศิลปสถาปัตยกรรม รวมทั้งแง่มุมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมการจัดการระบบน้ำภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ประกอบด้วยขั้นตอนเหล่านี้ คือ การสำรวจที่ตั้งและสภาพทั่วไปของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เพื่อกำหนดตำแหน่งของโบราณสถานลงไปในผังบริเวณ การทำแผนผังแนวราบของโบราณสถานและการตอกหมุดแบ่งหลุมขุดแต่งครอบคลุมพื้นที่ที่ได้กำหนดไว้ เพื่อให้การเก็บบันทึกข้อมูลทางโบราณคดีเป็นไปอย่างถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิง และท้ายที่สุดคือการทำรูปแบบตั้งทั้งสี่ด้านของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เพื่อบันทึกลักษณะทางสถาปัตยกรรมของรากฐานพระที่นั่งโดยละเอียดก่อนการขุดแต่งหาข้อมูลทางโบราณคดีแบบรูปตั้งของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะเป็นหลักฐานที่ใช้ในการเปรียบเทียบและวิเคราะห์รูปทรงดั้งเดิมในอตีตของสถาปัตยกรรม (Architectural Reconstruction หรือ Structural Assumption) แห่งนี้กับสถาปัตยกรรมอื่นๆ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในยุคสมัยเดียวกันได้เป็นอย่างดี ระหว่างการทำผังรูปตั้งลวดลายต่างๆ ที่ถูกตกแต่งและยังหลงเหลืออยู่ รวมไปถึงร่องรอยทุกชนิดที่ปรากฏอยู่ที่รากฐานอาคารจึงถูกบันทึกลงไปในแบบภาพร่างด้วยวิธีการวัดตำแหน่งทั้งตามแนวราบและแนวดิ่งของอิฐแต่ละก้อนอย่างรอบคอบ โดยใช้มาตราส่วน 1 : 70 ในแผ่นฟิล์มมาตรฐานขนาด A1</div><br /><div align="justify"><br />หลุมขุดแต่งรากฐานพระพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 889 ตาราเมตร ถูกกำหนดให้มีขนาด 5X5 เมตร โดยผังแนวราบมีทิศทางเรียงลำดับตัวเลขขึ้นไปด้านเหนือ ผังแนวดิ่งมีทิศทางทางเรียงลำดับออกไปด้านตะวันตก</div><br /><div align="justify"><br />การเรียกชื่อหลุมเพื่ออ้างอิงหลักฐานที่พบจากการขุดแต่ง เริ่มต้นด้วยเลขอารบิคแล้วตามด้วยอักษรชื่อย่อของทิศเป็นภาษาอังกฤษ อาทิ หลุม 1N 1W, 2N 2W, 6N 6W, 5N 9W, 7N 8W เป็นต้น อันจะแตกต่างจากการลำดับชื่อหลุมขุดค้นและขุดแต่งทางโบราณคดีในพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างผังเมืองโบราณพระนครศรีอยุธยาบ้างเล็กน้อย เนื่องด้วยผังดังกล่าวเป็นหลุมขนาด 50 X 50 เมตร มีผังหลุมย่อย ขนาด 5X5 เมตร จำนวน 100 หลุม ซ้อนอยู่ภายในหลุมใหญ่แต่ละหลุม และการเรียกชื่อหลุมนั้นจะระบุทิศ ตามด้วยเลขประจำหลุมใหญ่ และชื่อหลุมย่อยโดยลำดับ (อาทิ N5 W8 P3 เป็นต้น)</div><br /><div align="justify"><br />ทุกจุดตัดของผังหลุมแต่ละตำแหน่งในผังหลุมขุดแต่งรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ สามารถนำไปเทียบเคียง (Matched) หรือเชื่อมโยงเข้ากับแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหาร (มาตราส่วน 1 : 50,000) ได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าผังหลุมขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ได้ปรากฎชื่อพิกัดทางเทคนิคการสำรวจทั้งแนวราบและแนวดิ่งเอาไว้ชัดเจน เพื่อเป็นมาตรฐานในการอ้างอิงข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีและงานวิชาการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">ขั้นตอนการขุดแต่งและการเก็บรวบรวมหลักฐานโบราณคดี</span><br />การขุดแต่งโบราณสถาน หมายถึง การขุดลอกมูลดิน อิฐหัก กากปูน และวัชพืชที่ขึ้นปกคลุมอยู่บนโบราณสถานออกไปด้วยความระมัดระวัง มิให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างหรือองค์ประกอบสถาปัตยกรรม</div><br /><div align="justify"><br />ร่องรอยทางโบราณคดีและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏขึ้นมาระหว่างการขุดแต่งจะถูกบันทึกด้วยการถ่ายภาพ ทำแผนผัง และบรรยายเป็นลายลักษณ์อักษร โดยละเอียด เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานสนาม ได้แก่ จอบ เสียม พลั่ว เกียง แปรงปัดฝุ่น กล้องถ่ายรูป เครื่องเขียน และถุงพลาสติกสำหรับเก็บบรรจุโบราณวัตถุ เป็นต้น</div><br /><div align="justify"><br />การขุดแต่งรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จนแล้วเสร็จนั้นใช้เวลาประมาณ 1 เดือนเศษในระยะแรกการขุดแต่งรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เริ่มต้นขึ้นทางด้านตะวันออก เพื่อดูความเหมาะสมว่าจะต้องขุดลอกมูลดินที่ทับถมด้านข้างรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ประมาณเท่าใด จากการปฏิบัติงานพบว่าทางด้านตะวันออกนี้มีมูลดินและกากปูนทับถมอยู่ประมาณ 10-15 เซนติเมตรหนือพื้นถนนอิฐราดปูนขาวนับว่ามีอัตราการทับถมของชั้นดินน้อยมาก ทั้งนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากมีการปรับปรุงและดูแลพื้นที่ต่อเนื่องกันมาเป็นอย่างดีในอดีต เพราะโบราณสถานในบริเวณใกล้เคียงเคยเป็นทีทำการราชการ ก่อนที่จะอยู่ภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร นอกจากนี้ยังมีประวัติบอกเล่าว่าเคยผ่านการขุดแต่งมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งด้วย</div><br /><div align="justify"><br />พื้นที่ดำเนินการขุดแต่งทางด้านตะวันออกอยู่ห่างจากรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ระยะ 5 เมตร ตามแนวเหนือ – ใต้ โดยหลุมขุดแต่งเริ่มต้นจาก 1N 1W จนถึง 9N 1W </div><br /><div align="justify"><br />การขุดแต่งพื้นที่เชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ด้านตะวันออกใช้เวลาไม่นานนักก็แล้วเสร็จจากนั้นจึงย้ายแรงงานไปปฏิบัติงานต่อบริเวณเชิงพระที่นั่งด้านใต้ และบางส่วนของระเบียงด้านตะวันออกของรากฐานอาคาร การทำงานในชั้นต้นคือ ขุดลอกมูลดินและขนย้ายอิฐหักกากปูน ใช้เวลาไม่นาน เพราะพื้นที่ปฏิบัติงานมีการทับถมไม่มากแต่อย่างใด (อัตราการทับถมของมูลดินเฉลี่ย 30 เซนติเมตร) พื้นที่ปฏิบัติงานห่างจากแนวรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ประมาณ 5 เมตร ยกเว้นทางใต้ของปีกอาคารระหว่างหลุม1N 8W เท่านั้นที่มีพื้นที่ปฏิบัติงานกว้างเพียง 2.5 เมตร หลุมขุดแต่งด้านนี้เริ่มต้นจาก 1N 1W ถึง 1N 8W </div><br /><div align="justify"><br />ภายหลังการขุดลอกมูลดินและเศษอิฐหักกากปูนออกไปจากเชิงพระที่นั่งด้านใต้แล้ว การดำเนินงานขุดแต่งพื้นที่ส่วนบนของปีกอาคารทั้งด้านเหนือและด้านใต้ และพื้นที่ระเบียงทั้งสี่ด้านของพระที่นั่งฯก็เริ่มขึ้นในเวลาต่อมา สภาพการทับถมของมูลดินมีค่อนข้างน้อย การเสื่อมสภาพของปูนขาวที่ถูกเทราดอยู่เหนือพื้นอิฐมีค่อนข้างสูงมาก แต่พื้นระบียงบางส่วนซึ่งเทปูนหนาประมาณ 15 เซนติเมตร ยังคงรักษาสภาพไว้ได้ค่อยข้างดี สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าปูนขาวมีส่วนผสมของหินอ่อนที่ถูกย่อยเป็นก้อนเล็กๆทั่วไป และเชื่อกันว่าช่างอาจนำหรือเกณฑ์หินอ่อนดังกล่าวมาจากแหล่งหินอ่อนที่เขาสมอคอนซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก่อนมีสัมประทานเหมืองหินอ่อนนั้น ชาวบ้านได้ย่อยหินอ่อนตวงขายเป็นปี๊บ ปัจจุบันก็ยังพอจะมีคนจำได้ว่าเคยมีการประกอบอาชีพย่อยหินอ่อนขายในย่านเขาสมอคอนมาก่อน แต่จะสืบย้อนกลับไปได้ไกลเพียงใดไม่ทราบแน่ชัด</div><br /><div align="justify"><br />การขุดแต่งพื้นที่ด้านบนของปีกอาคารและระเบียงโดยรอบพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ในชั้นต้นยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าใดนัก เนื่องจากยังไม่พบหลักฐานองค์ประกอบสถาปัตยกรรมอันจะนำมามาซึ่งคำอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างเพียงพอ ดังนี้นการเก็บรายละเอียดเพื่อค้นหาร่องรอยต่างๆเพิ่มขึ้น จึงเป็นกระบวนการภาคสนามที่จะต้องดำเนินต่อไป</div><br /><div align="justify"><br />การขุดแต่งพื้นที่ซึ่งเชื่อว่าเป็นท้องพระโรงที่ประทับของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ดำเนินไปพร้อมๆกับการขุดลอกดินออกจากเชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางด้านเหนือ</div><br /><div align="justify"><br />พื้นที่ส่วนท้องพระโรงมีการทับถมของมูลดินไม่มาก การดำเนินการส่วนใหญ่คือ การแซะหญ้าแห้วหมูและวัชพืชอื่นออกไป นอกจากนี้ยังมีขุยดินและขุยทรายที่กระจัดกระจายทับถมอยู่ด้านบนเนื่องจากการขุดเอาดินอัด ทรายอัดที่ใช้รองรับโครงสร้างและกันทรุดพังจึ้นมาจากหลุม N5 4W จนสภาพของพื้นท้องพระโรงกลายเป็นหลุมสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 5 X 7 เมตร ลึก 2 เมตร ทำให้อาจเข้าใจผิดได้ว่าหลุมดังกล่าวเป็นร่องรอยคูหาใต้ดินหรือถังเก็บน้ำในสมัยนั้น ข้อสนับสนุนว่าหลุมดังกล่าวมิใช่คูหาใต้ดินหรือถังเก็บน้ำใต้อาคาร คือ ผนังแต่ละด้านของหลุมมิได้ฉาบปูนกันซึมเพื่อใช้เก็บกักน้ำ การสอปูนระหว่างอิฐแต่ละชั้นใช้ปูนหนามาก และไม่มีการปาดปูนด้านข้างแต่อย่างใด เมื่อขุดตรวจลงไปที่พื้นก็ยังพบชั้นทรายหยาบถูกบดอัดเป็นชั้นหนา ดังได้คาดคะเนไว้แล้วในเบื้องต้น</div><br /><div align="justify"><br />การขุดแต่งพื้นที่เชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางด้านเหนือ จำเป็นต้องย้ายดินออกไปจากพื้นที่รอบเขามอ เนื่องจากเป็นดินใหม่ซึ่งถูกนำมาปรับ</div><br /><div align="justify"><br />พื้นที่หลุมขุดแต่งทางมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวอาคารถัดจากเขามอออกไป น่าจะเคยเป็นจุดทิ้งและเผาขยะของส่วนราชการเดิมมาก่อน เนื่องด้วยขุดพบเศษวัสดุประเภทโลหะสังกะสีผุๆ เศษแก้ว ขวดยานัตถุ์ ขวดน้ำหอม เศษเหล็ก และอื่นๆ ทับถมอยู่ในชั้นดินตื้นๆ โครงสร้างของดินก็มีลักษณะเกาะกันแบบหลวมๆ มีเศษเถ้าถ่านปะปน</div><br /><div align="justify"><br />เมื่อการขุดแต่งรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ครอบคลุมพื้นที่ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างเหมาะสมในเบื้องต้นแล้ว คณะทำงาน ได้แก่ นักโบราณคดี ช่างสำรวจ และช่างศิลปกรรม ได้ใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิจารณาและประเมินสภาพโบราณสถานภายหลังการขุดแต่งอันจะทำให้การติดตามร่องรอยขององค์ประกอบและรากฐานสถาปัตยกรรมมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในระหว่างนั้นก็ได้ชี้จุดให้แรงงานขุดแต่งลงพื้นที่ ใช้ความประณีตใจการเก็บรายละเอียดต่างๆ ของพื้นระเบียง ลำราง และท่อน้ำดินเผาที่ฝังอยู่ใต้พื้นอิฐ โดยรอบอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ยิ่งใช้ความสังเกตขณะปฏิบัติงานขุดแต่งมากเพียงใดก็จะยิ่งช่วยให้การบรรยายและการบันทึกสภาพภายหลังการขุดแต่งโบราณสถานมีสาระและคุณภาพมากยิ่งขึ้น ระดับศักยภาพของข้อมูลและหลักฐานดังกล่าวมานี้จะช่วยอธิบายและเชื่อมโยงเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณสถานแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี<br /><span style="font-size:130%;">สภาพรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ภายหลังการขุดแต่ง</span></div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">เชิงรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์</span><br />การขุดลอกมูลดินและเศษอิฐหักออกจากพื้นที่เชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางด้านเหนือระยะห่างจากรากฐานพระที่นั่งประมาณ 5 เมตร ได้พบพื้นลานพระราชฐานอยู่ลึกลงไปจากผิวดิน ประมาณ 30-40 เซนติเมตร พื้นดังกล่าวถูกปูด้วยอิฐ ขนาดประมาณ 28 X 14 X 5 เซนติเมตร เหนืออิฐขึ้นไปจะมีพื้นปูนขาวเทราดทับอีกชั้นหนึ่งหรือไม่นั้น น่าสงสัยไม่น้อย อย่างไรก็ตามการพบชิ้นส่วนของแผ่นกระเบื้องอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดประมาณ 30 X 30 X 3 เซนติเมตร ปริมาณเล็กน้อยที่หลุม 9N 7W ทำให้นึกเปรียบเทียบถึงพื้นระเบียงคดหรือพื้นลานประทักษิณที่วัดบางแห่งในเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งนิยมทำพื้นอิฐเหนือชั้นดินอัดก่อนจะปูด้วยแผ่นกระเบื้องอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใกล้เคียงกันอีกครั้งหนึ่งแผ่นกระเบื้องอิฐชนิดนี้มีความแข็งแกร่ง ทนทาน และสวยงามมาก หากเคยถูกนำมาปูเรียงเป็นพื้นลานพระราชฐานในพระราชวังแห่งนี้มาก่อนก็น่าจะหลงเหลือร่องรอยหลักฐานไว้มากกว่านี้ หรือมิฉะนั้นก็อาจถูกรื้อไปใช้ประโยชน์จนหมดสิ้นแล้วก็ได้</div><br /><div align="justify">เชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางด้านตะวันออกถูกออกแบบให้เป็นถนนพื้นอิฐ เทปูนขาวซึ่งมีส่วนผสมของหินอ่อนขนาดต่างๆกัน (ตั้งแต่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 -2.5 เซนติเมตร) ถนนสายนี้เริ่มต้นจากแนวประตูกำแพงด้านเหนือ ผ่านหน้าพระที่นั่งไปสู่ประตูพระราชฐานทางใต้ โดยมีจุดหักเลี้ยวไปทางตะวันออกที่กึ่งกลางรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นทางสามแพร่งมุ่งสู่ประตูพระราชฐานทางตะวันออก</div><br /><div align="justify">ถนนดังกล่าวมีความกว้างประมาณ 4 เมตร ด้านตะวันออกของถนนถูกขุดเป็นรางระบายน้ำแล้วทำผนังอิฐเตี้ยๆยกเป็นขอบถนน ส่วนด้านตะวันตกมีแต่ขอบถนนเพียงอย่างเดียว</div><br /><div align="justify">มีข้อถกเถียงพิจารณากันพอสมควรว่าพื้นถนนสายนี้เป็นของเดิมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา หรือจะถูกบูรณะขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากมีมูลดินทับถมเพียงบางๆ และใช้อิฐไม่สมบูรณ์มาปูเรียงและแนวถนนลักษณะดังกล่าวมีร่องรอยอยู่ทั่วไปภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ข้อเสนอที่เห็นว่าถนนว่าจะเป็นของเดิมในสมัยอยุธยา พิจารณาจากส่วนผสมของปูนมีลักษณะใกล้เคียงกับพื้นปูนบนระเบียงพระที่นั่ง และปูสอกันซึมที่อ่างเก็บน้ำในพระราชฐานชั้นนอก</div><br /><div align="justify">ที่หลุม 4N 1W (ด้านใต้ของมุขที่ยื่นออกมาทางตะวันออก) พบแผ่นหินชนวนขนาดประมาณ 30 X 50 X 5 เซนติเมตรวางเป็นแนวจากตะวันตกไปตะวันออกอยู่ใต้พื้นถนน ปิดบนท่อน้ำดินเผาอีกครั้งหนึ่ง เข้าใจว่าด้านเหนือของมุขก็น่าจะมีแนวดังกล่าวเช่นกัน</div><br /><div align="justify"><br />บริเวณเชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ด้านใต้ พบว่าพื้นพระราชฐานด้านนี้มีลักษณะเป็นลานเทด้วยปูนผสมทรายหยาบและหินอ่อนก้อนเล็กๆ พื้นบางส่วนมีอิฐทรงปริมาตรปูทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่ามีความสัมพันธ์กับรากฐานอาคารอย่างไร เนื่องจากมีสภาพไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก</div><br /><div align="justify"><br />เมื่อทดลองขุดลอกมูลดินต่อเนื่องไปทางใต้ กว้าง 50 เซนติเมตร ห่างออกมาจากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ประมาณ 10 เมตร (ตรงกับพื้นที่หลุมทดสอบชั้นดินทางโบราณคดี 1S 3W) ก็พบว่ายังคงมีพื้นปูนเทกว้างออกไปประมาณ 10 และสิ้นสุดลงที่แนวชั้นอิฐกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร หากพิจารณาจากหลักฐาน Plan du Palais de Louvo แล้ว แนวอิฐชุดนี้น่าจะเป็นรากฐานของกำแพงล้อมพระราชอุทยานขนาดเล็กด้านเหนือและใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั่นเอง พระราชอุทยานดังกล่าวคงจะมีลักษณะเป็นสวนย่อมๆ มีพื้นลาดพระบาทเทปูน สำหรับเสด็จลงสำราญพระราชหฤทัยเมื่อทรงปลูกพรรณไม้หอมพันธุ์หายากด้วยพระองค์เอง ตามบันทึกของแชร์แวส เราจะเห็นประตูทางเข้าพระราชอุทยานทั้งสองฟากตั้งอยู่ด้านตะวันตก เยื้องกับประตูและบันไดของปีกอทางเหนือและใต้เล็กน้อย</div><br /><div align="justify"><br />ในพื้นที่หลุม 3N 4W ได้พบอ่างน้ำรูปสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 1X1 เมตร ขอบกรุอิฐพื้นปูนอิฐ ฉาบปูนกันซึมแน่นหนา พบท่อดินเผาเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ที่ขอบอ่างด้านใต้ท่อดังกล่าวนี้อาจเป็นท่อส่งน้ำจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ต่อเข้าไปยังพระราชอุทยานเล็กด้านใต้ด้านตะวันตกของอ่างมีหลุมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยอิฐตั้ง ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร แต่อาจจะบึกมากกว่านี้ก็ได้ (มีดินทับถมอยู่ข้างในช่องเล็กยากต่อการขุดตาม) ส่วนด้านเหนือบริเวณฐานระเบียงมีหลักฐานของการเซาะอิฐเป็นร่องกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 100 เซนติเมตร มุ่งตรงไปยังแผ่นหินชนวนกรุขอบลำรางแผ่นหินชนวนนี้เซาะด้านบนเป็นร่องรูปครึ่งวงกลม ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง (ครึ่งวงกลม)ประมาณ 2.5 เซนติเมตร เช่นเดียวกับเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อน้ำดินเผาด้านล่าง หลักฐานนี้จะเป็นร่องรอยแนวของท่อโลหะสำริดที่ใช้ส่งน้ำจากลำรางไปยังอ่างน้ำและพระราชอุทยานด้านใต้ได้หรือไม่</div><br /><div align="justify"><br />ด้านตะวันออกของอ่างดังกล่าว เป็นบันไดอิฐขนาดประมาณ 60X100 เซนติเมตร รับกับบันไดด้านเหนือของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ซึ่งมีแผ่นหินแอนดีไซต์ปูอยู่บนขั้นบันได (8N 4W) บันไดด้านใต้นี้แต่เดิมก็น่าจะมีแผ่นหินแอนดีไซต์ปูทับอยู่ข้างบนเช่นกัน</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">เขามอและหลักฐานระบบการทดน้ำจ่ายน้ำ</span><br />เมื่อการขุดแต่งพื้นที่รอบๆเชิงเขามอ ทางเหนือของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ซึ่งบันทึกของนิโคลาส แชร์แวส ระบุว่าเป็นสระน้ำลักษณะคล้ายถ้ำเล็กๆ เสร็จสิ้นลง ได้พบแนวท่อน้ำดินเผาที่เชิงเขามอด้านเหนือ 2 แนว ทำมุมเฉียงกัน ท่อน้ำดังกล่าวมีต้นทางมาจากด้านเหนือ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทดน้ำเข้ามาใช้ภายในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ท่อน้ำทั้งสองแนวถูกฝังอยู่ใจ้ดินมีอิฐตะแคง อท่งศิลาแลงและพื้นปูนลานพระราชฐานปูทับตามลำดับอย่างแน่นหนามั่นคง</div><br /><div align="justify"><br />ฐานโดยรอบรูปครึ่งวงกลมทางด้านเหนือเชิงเขามอมีร่องรอยของการฝังท่อน้ำดินเผา ปิดทับด้วยแผ่นดินอิฐปูนอน ท่อดินเผาดังกล่าวอาจเป็นเพียงท่อระบายน้ำออกจากจุดใดจุดหนึ่งของระเบียงหรือสระน้ำด้านใต้ของเขามอ ขณะที่ฝั่งทางใต้ของเชิงเขามอ ซึ่งอยู่บนระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ได้ขุดพบลานอิฐขนาด 1.60X2.90 เมตร มีลำรางขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร ล้อมทั้งสี่ด้าน ที่มุมลำรางมีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40-50 เซนติเมตร รวม 4หลุม หลักฐานที่พบนี้เป็นร่องรอยของสระน้ำหรืออ่างน้ำที่มีลักษณะคล้ายถ้ำเล็กๆ ในบันทึกของนิโคลาส แชร์แวส นั่นเอง หลุมทั้งสี่มุมของสระแห่งนี้น่าจะเป็นร่องรอยของหลุมเสากระโจมตามระบุในเอกสารเช่นกัน ใต้ช่องโค้งมุมแหลมด้านเหนือของสระน้ำหรืออ่างน้ำนี้ มีบ่อรูปรีหรือรูปกระเพาะหรือกระเปาะ มุมทางใต้ของบ่อทำเป็นรูปเหลี่ยมหรือมุขยื่นออกมา บ่อนี้ลึกประมาณ 70-80 เซนติเมตร ความกว้างใกล้เคียงกัน ด้านบนซ้ายและขวาเป็นท่อน้ำให้เกิดการใหลเวียนขนาดต่างกัน บ่อและท่อดินเผานี้ยาปูนแน่นหนา</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">การค้นพบสระน้ำหรือแท้ที่จริงก็คืออ่างน้ำขนาดใหญ่</span><br />การขุดแต่งที่บริเวณหลุม 2N 5W, 2N 6W, 3N 5W,3N 6W, อ้นเป็นที่ตั้งขององค์ประกอบสถาปัตยกรรมซึ่งเรียกในชั้นต้นว่า “ฐานน้ำพุ” ทางด้านใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ได้พบร่องรอยของสระน้ำหรืออ่างน้ำ ขนาดประมาณ 2.90X2.90 เมตร มีลำรางล้อมทั้ง 4 ด้าน และที่มุมลำรางก็มีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 เซนติเมตรอยู่ทั้งสี่มุมด้วย ตรงจุดกึ่งกลางของสระหรืออ่างน้ำ มีท่อโลหะสำริดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร วางแนวทะลุถึงระดับพื้นพระราชอุทยาน ซึ่งแต่เดิมนักโบราณคดีเข้าใจว่าสระน้ำนี้เป็นร่องรอยของฐานน้ำพุ แต่เมื่อตรวจสอบจากหลักฐานของแชร์แวสโดยยึดจากการอ้างถึงสระน้ำด้านเหนือที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ และการยึดหลักความลงตัวขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมแล้วสิ่งที่เรียกว่าฐานน้ำพุทางด้านใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั้น น่าจะเป็นสระน้ำหรืออ่างน้ำอีกแห่งหนึ่งอันมีหลุมเสากระโจมเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งด้วย</div><br /><div align="justify"><br />ส่วนท่อสำริดซึ่งวางเป็นแนวฉากกับพื้นสระน้ำจะถูกวางใต้พื้นดินขณะสร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มาจากท่อน้ำดินเผาเชิงเขามอด้านเหนือได้หรือไม่</div><br /><div align="justify">มีข้อสงสัยอีกประการหนึ่งว่า ร่องรอยของสระน้ำทั้งทางด้านเหนือและด้านใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ที่ขุดพบ เป็นเพียงสระที่มีขนาดเล็กๆเท่านั้น (สระเหนือ 1.60X2.90 เมตร สระใต้ 2.90X2.90 เมตร) ขัดแย้งกับคำกล่าวของแชร์แวสที่ระบุว่า</div><br /><div align="justify"><br />“ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำใหญ่สี่บรรจุน้ำบริสุทธิ์ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน ภายใต้กระโจมซึ่งคลุมกั้น”</div><br /><div align="justify"><br />ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่แชร์แวสจะระบุถึง Les Bassins ซึ่งแม้จะแปลได้ทั้ง “สระน้ำ” หรือ “อ่างน้ำ” แต่โดยเจตนารมณ์ที่แท้จริงแล้ว เขาต้องการจะกล่าวถึงอ่างน้ำขนาดใหญ่มากกว่าและหลักฐานที่ขุดพบก็สนับสนุนความคิดนี้ยิ่งกว่าใด</div><br /><div align="justify"><br />ด้วยเหตุนี้เพื่อให้การเรียกองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมดังกล่าวนี้ มีความเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลักฐานและสภาพความเป็นจริง ในชั้นนี้จะเรียก “สระน้ำ” ทั้งสี่แห่งว่า “อ่างน้ำ”ต่อไป</div><br /><div align="justify"><br />การขุดค้นพื้นที่บริเวณหลุม 5N 2W ได้พบร่องรอบของลานอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด ประมาณ 2.90 หรือ 3.00X2.90 หรือ 3.00 เมตร มีลำรางล้อมและมีหลุมเสากระโจมทั้งสี่มุมเช่นกันตรงกลางมีรูเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ลักษณะเป็นรูท่อสำริด ซึ่งทดสอบความลึกได้ใกล้เคียงกับท่อสำริดในอ่างน้ำด้านใต้ สิ่งที่พบนี้คงจะเป็นอย่างอื่นไปเสียไม่ได้ นอกจากอ่างน้ำทางมุขด้านตะวันออกตามที่นิโคลาส แชร์แวส ระบุไว้ ด้วยเหตุจากลักษณะความคล้ายคลึงกันของหลักฐานนั่นเอง</div><br /><div align="justify"><br />การขุดพบอ่างน้ำจำนวน 3 สระ ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ในจุดที่รับกันขององค์ประกอบสถาปัตยกรรม คือ อ่างน้ำด้านเหนือคู่กับอ่างน้ำด้านใต้ และอ่างน้ำด้านตะวันออก เพราะฉะนั้นหากอาศัยหลักการเดียวกันอ่างน้ำแห่งที่ 4 ก็ควรจะอยู่ที่ชานระเบียงทางมุมทิศตะวันตกของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ หลุม 5 8 แต่ก็ไม่พบร่องรอยของอ่างน้ำ เมื่อตรวจสอบแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี ก็ได้พบจุดที่อยู่ห่างจากกำแพงคั่นพระราชฐานชั้นที่ 3 กับพระราชฐานฝ่ายใน ประมาณ 25-30 เมตร มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นอ่างน้ำแห่งที่ 4 แต่ก็ไม่ขอยืนยันมั่นคงเท่าใดนักในที่นี้</div><br /><div align="justify"><br />มีข้อสังเกตประการหนึ่งว่า ในขณะที่อ่างน้ำทิศตะวันออกและทิศใต้มีท่อน้ำสำริดเป็นองค์ประกอบสำคัญในการส่งผ่านน้ำมายังอ่างน้ำ ส่วนอ่างน้ำด้านตะวันออกเชิงเขามอมีท่อดิเผาขนาดใกล้เคียงกันเป็นตัวปล่อยน้ำออกมา การลดขนาดของท่อจ่ายน้ำให้เล็กลง ย่อมจะทำให้น้ำมีแรงดังเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะดันออกมาในแนวระนาบหรือดันขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ในขณะที่น้ำในอ่างน้ำด้านตะวันออกอาจถูกปล่อยออกมาในแนวระนาบเป็นสายธารไหลวนอยู่ภายในถ้ำเล็กใต้เขามอ น้ำบางส่วนอาจจะถูกขึ้นไปบนเขามอด้วยอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วปล่อยให้ไหลลงมาเป็นน้ำตก ส่วนอ่างน้ำด้านตะวันออก ด้านใต้ และอ่างน้ำด้านตะวันตกนั้น แรงดังของน้ำจะทำให้เกิดน้ำพุพุ่งกระจายขึ้นมาเป็นสาย หากมีวัตถุบังคับทิศทางอย่างถูกต้องเหมาะสมก็อาจจะทำให้กระแสน้ำที่พุ่งขึ้นกลายเป็นน้ำพุที่พร่างพรายสายน้ำออกไปรอบทิศอย่างงดงาม</div><br /><div align="justify"><br />คำให้การขุนหลวงหาวัด นอกจากจะกล่าวถึงการสร้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ( คือ ดุสิตสวรรย์ธัญมหาปราสาท) และพระที่นั่งสวรรย์ (พระที่นั่งสุทธาสวรรย์) แล้ว ยังกล่าวถึงน้ำพุอ่างแก้ว ซึ่งมีน้ำดั้นน้ำกระดาษเป็นองค์ประกอบ</div><br /><div align="justify"><br />น้ำพุและอ่างแก้วนั้นมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวของมันเอง แต่คำว่า “น้ำดั้น” กับ “น้ำกระดาษ” ดูเหมือนว่าอาจจะเลือนหายจากสำนึกรับรู้และพจนานุกรมฉบับปัจจุบันไปแล้ว</div><br /><div align="justify"><br />การอธิบายเพื่อทำความเข้าใจกับคำทั้งสองมิใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องอาศัยหลักการสังเกตและเชื่อมโยงหลักฐานทางโบราณคดีเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม</div><br /><div align="justify"><br />คำว่า “น้ำดั้น” หากมิได้หมายถึง ระบบการทดน้ำจ่ายน้ำ (ดั้น = มุดด้นไป, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, หน้า 298) ไปตามท่อน้ำดินเผา ก็น่าจะหมายถึงน้ำพุที่ “ดั้น” ขึ้นจากอ่างน้ำหรือสระน้ำ</div><br /><div align="justify"><br />คำว่า “น้ำกระดาษ” นี้ ความจริงแล้วหลักฐานน่าจะบันทึกไว้ว่า “น้ำกระดาด” หรือ “น้ำดาด” มากกว่า เพราะอาจทำให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น หากเป็นเช่นนั้นแล้ว “น้ำกระดาษ” หรือ “น้ำกระดาด” หรือ “น้ำดาด” จะหมายถึงน้ำซึ่งไหลลงมาจากที่สูงได้หรือไม่ และที่สูงในความหมายที่เชื่อมโยงกับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มากที่สุดก็คือ เขามอ น่าเสียที่คำว่า “ดาด” นั้น พจนานุกรมอธิบายว่าเป็นคำกริยา เช่นเอาวัตถุเช่นผ้าปิด ซึ่งให้ทั่วตอนเบื้องบน เช่น ดาดเพดาน ดาดหลังคา เมื่อเป็นคำวิเศษณ์แปลว่า ไม่ชัน เช่น หลังคาดาด เป็นต้น และหากยึดตามตำราแล้วการอธิบายว่า “น้ำดาด” หรือ “น้ำดาษ” หมายถึง น้ำซึ่งตกลงมาจากที่สูง เช่นเขามอ คงจะไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน<br />หลักฐานในปีกอาคารเหนือ-ใต้</div><div align="justify"><br />เมื่อการขุดแต่งปีกอาคารด้านเหนือ (พระปรัศว์ขวา) และปีกอาคารด้านใต้ (พระปรัศว์ซ้าย) แล้วเสร็จ ได้ค้นพบอ่างน้ำขนาดประมาณ 1.00X1.50 เมตร กรุด้วยหินอ่อนหนาประมาณ 4-5 เซนติเมตร (ควรตรวจสอบขนาดอีกครั้งเพื่อความแม่นยำ) ทั้งสองด้าน</div><br /><div align="justify"><br />อ่างหินอ่อนนี้มีลำรางส่งน้ำจ่ายน้ำ ซึ่งอาจโยงใยมาจากอ่างน้ำเชิงเขามอด้านเหนือก็ได้เนื่องจากได้พบทั้งแนวท่อน้ำดินเผาและแนวลำรางเลาะมาตามกำแพงแก้วโดยตลอด (จะได้กล่าวถึงข้างหน้า)</div><br /><div align="justify"><br />หลักฐานหลายชิ้น อาทิ พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม ระบุถึงเทคนิคการเก็บกักน้ำในอ่างว่าต้อง “กรุศิลายาปูนเป็นอันดี” (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 82, พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม,25357 หน้า 247) หรือ “ตรุศิลายาปูนเป็นอันดี” (พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับพระพนรัตน์,2535,หน้า 214) การกรุศิลายาปูนนั้นอาจเป็นเทคนิคที่รู้จักกันดีของช่างไทย แต่การใช้หินอ่อนมาทำอ่างน้ำ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก</div><br /><div align="justify"><br />เอกสารสำคัญร่วมสมัย คือ จดหมายเหตุการณ์เดินทางครั้งที่ 2 ของบางหลวงกีย์ ตาชารต์ ระบุว่า โรงสวด Notre – Dame de Laurette ในบ้านของคอนสแตนติน ฟอลคอน มีการนำหินอ่อน “มาใช้อย่างไม่อั้น” แต่หินอ่อนนั้นเป็นวัสดุก่อสร้างทีมีค่าและมีราคาแพงมาในชมพูทวีป จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันการสร้างอ่างน้ำกรุหินอ่อนยาปูนกันซึมอย่างดีในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จึงไม่น่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาสามัญ</div><br /><div align="justify"><br />เหตุใดนักโบราณคดีจึงมิได้ระบุว่าอ่างน้ำภายในพระปรัศว์ทั้งสองด้านเป็นอ่างน้ำจำนวน 2 ใน 4 อ่างที่แชร์แวส ระบุ ในที่นี้ยังไม่สามารถหาคำตอบที่เหมาะสมมาอธิบายได้ ทั้งๆที่เป็นจุดที่ไม่ควรจะมองข้าม</div><br /><div align="justify"><br />ทางด้านใต้ของพระปรัศว์ซ้ายมีบันไดปูด้วยแผ่นหินแอนดีไซต์ รับกับบันด้านเหนือของพระปรัศว์ขวา ซึ่งดูเหมือนว่าแผ่นหินแอนดีไซต์บางชิ้นจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป</div><br /><div align="justify"><br />นอกจากแผ่นหินแอนดีไซต์จะถูกนำมาปูที่ขั้นบันไดแล้ว ยังพบว่ามีร่องรอยการนำหินชนิดดังกล่าวมาปูบนพื้นด้านตะวันตกและด้านใต้ของพระปรัศว์ขวา รวม 4 จุด และปูบนพื้นด้านเหนือและตะวันตกของพระปรัศว์ซ้าย รวม 4 จุดเช่นกัน แต่ร่องรอยการปูหินบางจุดถูกรื้อไปจนหมดสิ้นแล้ว จุดตังกล่าวคือด้านเหนือของพระปรัศว์ซ้าย (หลุม 3N 7W) ซึ่งได้พบร่องรอยของการถมทรายอัดและศษกระเบื้องเคลือมุงหลังจักรพรรดิคาสีเหลืองทับถมอยู่ด้านล่าง อันอาจเป้นหลักฐานบ่งบอกถึงการเชื่อมต่อพระปรัศว์ในระยะหลัง เนื่องจากพบการทำฐานเขียงและลวดลายบัวคว่ำอยู่ทีจุดนี้อย่างชัดเจน</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">สภาพระเบียงและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง</span><br />การขุดแต่งระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทำให้ได้พบหลักฐานลำรางกว้างประมาณ 30-40 เซนติเมตร วางแนวเลาะกำแพงแก้วของพระที่นั่งทั้งสามด้าน (เหนือ ตะวันออก ใต้) ด้านนอกของลำรางจะมีท่อน้ำดินเผาถูกฝังโผล่ปลายท่อขึ้นมาให้เห็น และตลอดแนวลำรางจะมีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30-40 เซนติเมตร เรียงรายอยู่เป็นระยะๆ</div><br /><div align="justify"><br />ในชั้นต้นนี้สันนิษฐานว่าลำรางอาจเป็นช่องสำหรับปล่อยให้น้ำไหลผ่านไปหล่อเลี้ยงอ่างน้ำในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แต่หลุมเสาที่อยู่ตามแนวลำรางนั้น หาเป็นหลุมเสากระโจมก็อาจจะทำให้การไหลเวียนของน้ำไม่สะดวกเท่าที่ควร และมีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ เมื่อขุดแต่งบริเวณหลุม 3N 8W และ 8N 8W เสร็จสิ้นลง ได้พบหลักฐานแผ่นอิฐวางปิดอยู่เหนือปากลำราง ซึ่งทำเป็นแนวต่อเนื่องมาจากด้านตะวันออก ลำรางที่ขุดพบนี้น่าจะสัมพันธ์กับท่อน้ำดินเผาทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ของรากฐานท้องพระโรง (หรือด้านใต้ของขวาและด้านเหนือของพระปรัศว์ซ้าย)</div><br /><div align="justify"><br />ท่อน้ำดินเผาที่พบก็มีทั้งท่อน้ำทิ้งและท่อน้ำดี ท่อน้ำทิ้งจะทำหน้าที่ระบายน้ำฝนออกจากระเบียงพระที่นั่งลงสู่ลานด้านล่าง โดยโคนท่อและปลายท่อจะเป็นอิสระไม่เชื่อมกับท่ออื่น ส่วนท่อน้ำดีซึ่งพบด้านใต้ของพระปรัศว์ขวา และด้านเหนือของพระปรัศว์ซ้าย ได้ถูกฝังไว้อย่างมั่นคงใต้พื้นอิฐ มีข้องอและข้อต่อเป็นตัวบังคับทิศทางของท่อ สภาพของท่อทั้งสองด้านถูกฝังอยู่ในช่องลักษณะคล้ายลำราง (ดูแผนผังหลังการขุดแต่ง) จึงอาจเป็นไปได้ว่า แต่เดิมนั้นแนวลำรางทุกด้านของระเบียงพระที่นั่งจะมีท่อน้ำดินเผาฝังอยู่โดยตลอด เพื่อเป็นตัวจ่ายน้ำหล่อเลี้ยงอ่างน้ำทั้งสี่แห่งของท้องพระโรง รวมไปถึงอ่างน้ำในพระปรัศว์ซ้าย-ขวาด้วย ท่อน้ำดินเผาเหล่านี้ได้รับน้ำมาจากแหล่งจ่ายน้ำเชิงเขามอ ซึ่งได้รับน้ำมาจากอ่างแก้วด้านตะวันออกของพระราชฐานชั้นนอก ส่วนท่อน้ำดินเผาทางด้านตะวันออกของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ อาจเป็นท่อส่งน้ำออกไปหล่อเลี้ยงพระราชอุทยานในพระราชฐานชั้นใน</div><br /><div align="justify"><br />พื้นระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ด้านเหนือบริเวณหลุม 7N 4W และใกล้เคียง มีหลักฐานการปูอิฐเฉียงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ และมีแนวเอ็นของคานฐานรากเอียงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนพื้นอิฐด้านอื่นนั้นกลับปูขนานกับแนวรากฐานอาคารตามปรกติ</div><br /><div align="justify"><br />เมื่อขุดลอกลึกลงในพื้นและร่องเอ็นไปเพียงเล็กน้อยก็พบทรายหยาบ อันเป็นทรายอัดรับน้ำหนักและกันการทรุดพังของโครงสร้าง ในชั้นแรกตั้งสมมติฐานว่าอาจเป็นแนวร่องวางท่อน้ำดินเผาหรือเกิดขึ้นเนื่องจากมีการซ่อมบูรณะในคราวใดคราวหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ในขณะนี้</div><br /><div align="justify"><br />ทางด้านใต้ของอ่างน้ำด้านเหนือ และด้านเหนือของอ่างน้ำด้านใต้ตรงกับช่องประตูกลางท้องพระโรง (ด้านใต้เขามอ) พบแนวพื้นปูนขาวหนา 2 แนว คั่นด้วยร่องตื้นๆ แต่เดิมเข้าใจว่าเป็นทางน้ำที่สัมพันธ์กับอ่างน้ำทั้งสอง แต่เมื่อการขุดแต่งเสร็จสิ้นลงก็เห็นว่าแนวคิดดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลที่เหมาะสมรองรับ</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">ท้องพระโรงพระที่นั่ง</span><br />การขุดแต่งพื้นท้องพระโรง พบหลักฐานการปูพื้นอิฐขนาดเดียวกับอิฐที่ใช้ก่อองค์ประกอบส่วนอื่น และเมื่อได้ขุดตรวดชั้นดินในหลุม 5 4 อันเป็นแอ่งใหญ่ที่ถูกขุดเจาะเอาทรายอัดออกไป ได้พบว่าลึกลงไปพอสมควร ยังคงเป็นชั้นทรายอัดอยู่เช่นเดิม</div><br /><div align="justify"><br />การพบหลักฐานร่องรอยขององค์ประกอบโบราณสถานภายหลังการขุดแต่ง นับว่าเป็นสิ่งทีมีคุณค่ายิ่งต่อนโยบายและการวางแผนอนุรักษ์และพัฒนารากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ให้ดำรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ สถาปัตยกรรม และโบราณคดี ต่อไปในอนาคต แม้การขุดแต่งครั้งนี้จะตอบคำถามของนักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้องได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาจมีหลักฐานบางอย่างหลุดรอดสายตาของนักโบราณคดีไปบ้าง (อาทิแนวท่อน้ำสำริดและแนวท่อน้ำดินเผา เป็นต้น) เนื่องจากการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2540 ได้กำหนดเป้าหมายพื้นที่ขุดแต่งไว้เพียง 800 ตารางเมตรเศษ ขณะที่หลักฐานเอกสารในอดีตบันทึกขนาดดั้งเดิมของราดฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์และหมู่ตำหนักบริวารโยงใยออกไปมากกว่า 1 เท่าตัว ดังนั้น เชื่อว่าในโอกาสที่เหมาะสมแล้วคงจะได้มีการดำเนินงานอนุรักษ์และพัฒนารากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์อย่างเต็มรูปแบบต่อไป</div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">รูปวิเคราะห์พระที่นั่งสุทธาสวรรย์</span><br />จากการทรุดพังจนเหลือแต่พื้นและผนังบางส่วนของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เช่นนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะอธิบายลักษณะและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระที่นั่งองค์นี้ให้เห็นภาพใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมในอดีตได้มากที่สุด โดยอาศัยการศึกษา วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตีความจากหลักฐาน เอกสารและหลักฐานในโบราณคดีที่พบจากการขุดค้นและการขุดแต่งทางวิชาการเป็นสำคัญ</div><br /><div align="justify"><br />พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จัดเป็นสถาปัตย -กรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย คำให้การขุนหลวงหาวัด ระบุถึงการสร้าง “พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท” ว่า มีพระที่นั่งฝ่ายขวาชื่อ “สุทธาสวรรย์” มีพระที่นั่งฝ่ายซ้ายชื่อ “จันทรพิศาล” (คำให้การขุนหลวงหาวัด, 2515, หน้า 327-328) เห็นได้ชัดว่าหลักฐานชิ้นนี้ให้ความสำคัญแก่พระที่นั่งดุสิตสวรรย์มากกว่าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ และพระที่นั่งจันทรพิศาล แต่หลักฐานพระราชพงศาวดารหลายฉบับและเอกสารคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ระบุถึงการก่อพระมหาปราสาทสององค์ในพระราชวังที่เมืองลพบุรี คือ พระที่นั่งดุสิตสวรรย์ธัญมหาปราสาท และพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ (หรือสุทไธสว-ริย์มหาปราสาท<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a>) ในลักษณะที่ให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน</div><br /><div align="justify"><br />เอกสารคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมเป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที ซึ่งกล่าวถึงสภาพแวดล้อมทางสถา-ปัตยกรรมโดยทั่วไปในพระราชวังที่เมืองลพบุรีว่าประกอบด้วยพระมหาปราสาทสององค์และพระที่นั่งใหญ่น้อยไม่มียอดหลายองค์ โดยเฉพาะพระที่นั่งสุทไธยสวริย์มหาปราสาท และพระที่นั่งดุสิตสวริยธัญมหาปราสาททั้งสององค์นั้น หลัก-ฐานระบุว่ามียอดทรงมณฑปยอดเดียว มีมุขซ้อน 4 ชั้น และมีฝาทั้ง 4 ด้าน<a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> </div><br /><div align="justify"><br />อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะพบหลักฐาน เอกสารระบุอย่างชัดเจนว่า หลังคาหรือเครื่องบนของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มียอดทรงมณฑป แต่เนื่องจากรากฐานท้องพระโรงของพระที่นั่งมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่มีมุขยื่นออกมาทั้งทางด้านเหนือและด้านใต้ เพื่อเป็นโครงสร้างรองรับน้ำหนักเครื่องบนยอดมณฑปของพระที่นั่ง จึงอาจเป็นไปได้ว่า เครื่องบนของส่วนที่เป็นท้องพระโรงนั่นอาจเป็นหลังคาลดชั้น 3 ชั้น ไม่มียอด เนื่องจากอาจเป็นเพียงมุขยื่นออกมาจากโครงสร้างหลักของพระที่นั่ง ซึ่งอยู่ถัดออกไปทางด้านหลัง (ดูแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี) หรือมิฉะนั้นท้องพระโรงก็อาจเป็นโครงสร้างหลักของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ซึ่งอาจมียอดทรงมณฑป หรือไม่มียอดทรงมณฑปก็เป็นได้</div><br /><div align="justify"><br />จากปัญหาที่ประสบข้างต้น รูปวิเคราะห์ประกอบการสันนิษฐานลักษณะโครงสร้างส่วนบนของท้องพระโรงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จึงถูกเสนอเป็นสองแบบ คือ<br />1. ท้องพระโรงหลังคาลดชั้น 3 ชั้น ยอดมณฑป<br />2. ท้องพระโรงหลังคาลดชั้น 3 ชั้น ไม่มียอดมณฑป<br /><br /><span style="font-size:130%;">รูปวิเคราะห์แบบที่ 1 (ยอดมณฑป)</span><br />แสดงลักษณะของหลังคาลดชั้น 3 ชั้น เครื่องมีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ บัวหัวเสาเป็นบัวแวงหรือบัวกลีบยาวแบบอยุธยาตอนปลาย ผนังมีคันทวยรองรับส่วนชายคา ประตูและหน้าต่างด้านตะวันออกและตะวันตกเป็นช่องโค้ง โดยยึดถือรูปแบบมาจากพระที่นั่งดุสิตสวรรย์ธัญมหาปราสาท<br />กระเบื้องมุงหลังคาของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นกระเบื้องลูกฟูกตัวผู้-เมียเคลือบสีเหลืองแบบ Imnperial Yellow ตามปริมาณที่พบจากการขุดแต่งโบราณสถานแห่งนี้ สำหรับกระเบื้องเคลือบสีเหลืองแบบ Local Yellow Tiles ที่พบมากเป็นอันดับสองรองจากกระเบื้องเคลือบสีเหลืองแบบ Imnperial Yellow Tiles นั้น ไม่ปรากฏหลักฐาน เอกสารระบุว่าเป็นวัสดุที่ใช้ในช่วงเวลาก่อน-หลัง-หรือเวลาเดียวกัน จึงไม่สามารถอธิบายได้ในชั้นนี้</div><br /><div align="justify"><br />กระเบื้องเชิงชายของท้องพระโรงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มีลักษณะเป็นรูปคล้ายกระจังสามยอด มีทั้งเนื้อแกร่ง แบบกระเบื้องเคลือบสีเหลืองแบบ Imperial Yellow และแบบเนื้อดินธรรมดา (Earthenware) เคลือบสีเหลืองแบบพื้น เมือง ซึ่งหากยึดหลักการสันนิษฐานแบบอธิบายด้วยเหตุผลและบริบททางประวัติศาสตร์ เปรียบเทียบกับการได้รับอิทธิพลการทำเครื่องปั้นดินเผาแบบเคลือบผิวจากจีนแล้ว ก็น่าเชื่อว่าการทำกระเบื้องเชิงชายทรงกระจัง 3 ยอด และกระเบื้องมุงหลังคาเคลือบผิวสีเหลืองแบบท้องถิ่น อาจถูกทำขึ้นในสมัยหลังสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดังปรากฎหลักฐานการผลิตกระเบื้องเคลือบผิวสีเหลืองในสมัยสมเด็จพระเพทราชา (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2, อ้างแล้ว, หน้า 72)</div><br /><div align="justify"><br />ลักษณะยอดมณฑปลดชั้น 7 ชั้น ซึ่งแสดงในแบบรูปวิเคราะห์นี้ประยุกต์ขึ้นมาแบบยอดมณฑปของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวังที่กรุงเทพฯ ผสมผสานกับมณฑปสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมที่พระพุทธบาท จ.สระบุรี</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">รูปวิเคราะห์แบบที่ 2 (ไม่มียอดทรงมณฑป)</span><br />แสดงลักษณะท้องพระโรงมีหลังคาลดชั้น 3 ชั้น ไม่มียอดทรงมณฑป ส่วนองค์ประกอบอื่นๆนั้น มีรายละเอียดเช่นเดียวกับรูปวิเคราะห์แบบที่ 1</div><br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">การศึกษาชั้นดินทางโบราณคดี</span><br />ผลจากการขุดค้นในหลุมทดสอบ 1S 3W ทำให้ทราบว่า ชั้นดินในหลุมขุดค้นตั้งแต่ระดับ 30 cm.dt. ถึงประ-มาณ 210 cm.dt. อาจเป็นชั้นดินถมใหม่ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ระหว่างมีการเตรียมปรับพื้นพระราชฐานชั้นที่ 3 เพื่อรองรับฐานรากของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เราจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน จากกรณีที่มีการนำทรายหยาบและทรายละเอียดมาบดอัดสลับกันรองรับบริเวณโดยรอบ ไม่ห่างไกลจากรากฐานและฐานรากพระที่นั่งเท่าใดนัก ทรายบดอัดบางส่วนมีชั้นดินเหนียวสีเทาแกมขาวแทรกอยู่เป็นช่วงๆ แลเห็นโดดเด่นตัดกับชั้นทราย</div><br /><div align="justify"><br />ชั้นดินธรรมชาติในพื้นที่นี้ ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์อาจอยู่ในระดับ 200 – 210 cm.dt. ดังจะสังเกตว่า มีการพบชิ้นส่วนกระเบื้องมุงหลังคาแบบลูกฟูกมีเดือยแบบหนา ต่อออกมาจากขอบชายกระเบื้องด้านบน แทนที่จะเป็นเดือยซึ่งยื่นออกมาจากท้องกระเบื้องด้านล่างตามปกติในยุคหลังๆ<br />แม้จะพบโบราณวัตถุในชั้นดินตั้งแต่ 30 -210 cm.dt. อันเป็นชั้นดินถมหรือทรายอัด แต่ก็เป็นการพบแบบไม่หนาแน่น แสดงให้เห็นถึงการปะปนมากับชั้นดินในช่วงที่มีกิจกรรมปรับพื้นที่พระราชฐานชั้นที่ 3 หลักฐานโบราณวัตถุที่พบในชั้นดินลึกกว่า 210 cm.dt. จึงเป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงเรื่องราวการอยู่อาศัยของคนในพื้นที่นี้ ก่อนจะมีการสร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ และกำหนดอายุในราวก่อนรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์เป็นอย่างน้อย</div><br /><div align="justify"><br />หลักฐานการขุดตรวจชั้นดินในหลุม 1S 3W มีความสอดคล้องกับชั้นดินในหลุม 5N 4W (ส่วนท้องพระโรงที่ประทับ) เราได้พบชั้นทรายบดอัดเพื่อรองรับน้ำหนัก กันการเลื่อนและทรุดพังของฐานรากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับ 200 เซนติเมตร ลงไปพื้นอิฐของท้องพระโรง ซึ่งนาเชื่อว่าการบดอัดทรายลงไปในฐานรากอาจลึกถึง 3.50 เมตร (จากพื้นท้องพระโรง) ชั้นทรายอัดล่างสุดของฐานรากส่วนท้องพระโรงจึงจะอยู่ระดับเดียวกับชั้นทรายในหลุม 1S 3W</div><br /><div align="justify"><br />เทคนิคการใช้ทรายบดอัดรองรับน้ำหนักอาคารและกันการเลื่อนไถล – ทรุดพัง เป็นภูมิความรู้ที่นิยมใช้กันมาตั้งแต่สมัยลพบุรี โดยมีหลักฐานให้เห็นจากหลุมทดสอบชั้นดินทางโบราณคดีที่โบราณสถานพระปรางค์สามยอด การใช้ทรายบดอัดรองรับฐานราก (แทนที่จะใช้ดินเหนียวเช่นเดียวกับอยุธยา) อันสืบทอดมาจนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (อย่างน้อยก็ในพระราชวังนารายณ์นิเวศน์) จะทำให้สามารถอธิบายในประเด็นของการสืบทอดทางเทคโนโลยีและวัฒน-ธรรมของกลุ่มชนในบริเวณนี้อย่างไม่ขาดตอนสูญหายไปเลยได้หรือไม่ นั่นคือกลุ่มคนที่สร้างพระปรางค์สามยอดก็คือกลุ่มคนเชื้อสายเดียวกันกับไพร่ที่ถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานในการก่อพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แต่ความคิดนี้อาจถูกโต้แย้งได้ในเรื่องสภาพภูมิประเทศของลพบุรี เพราะดินเหนียวอาจหายากกว่าทรายก็ได้ ดังนั้นจึงควรประมวลข้อมูลหลักฐานจากโบราณสถานหลายๆแห่งมาพิจารณาประกอบกัน<br /><br /><span style="font-size:130%;">เศษภาชนะดินเผาที่พบจากการขุดค้นหลุม 1S 3W</span><br />เศษภาชนะดินเผาที่พบจากการขุดค้นหลุม 1S 3W แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ Earthenware, Stoneware และ Porcelain ในที่นี้จะเสนอผลการศึกษาโบราณวัตถุดังกล่าวทีละระดับรวมกัน เพื่อช่วยให้แลเห็นภาพรวมการแพร่ กระจายเศษภาชนะดินเผาในแต่ละระดับของชั้นดินในหลุมขุดค้น<br />ระดับ 30 – 50 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย จำแนกเป็น<br />Earthenware<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลาขูดร่องด้านล่าง ขอบปากหม้อคอสูง ปากผายออก<br />-หูกระปุกดินเผา จัดเป็นเศษภาชนะจากแหล่งพื้นเมืองในเขตเมืองลพบุรี<br />Stoneware<br />-ชิ้นส่วนก้นไหเท้าช้างเคลือบผิวสีน้ำตาลปนดำ จากเตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br />ระดับ 50 – 70 cm.dt. ไม่พบเศษภาชนะดินเผา<br />ระดับ 70 – 90 cm.dt. ไม่พบเศษภาชนะดินเผา<br />ระดับ 90 – 110 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผา 1 ชิ้น<br />Earthenware<br />-เศษภาชนะดินเผาไม่มีลาย 1 ชิ้น<br />Stoneware<br />-ไม่พบ<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br /><br /><br />ระดับ 110 – 130 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย ( 95 กรัม )<br />Earthenware<br />-ไม่พบ<br />Stoneware<br />-พบชิ้นส่วนคอของภาชนะเนื้อหนาประเภทไหเท้าช้าง จากแหล่งเตาวัดพระปรางค์ (เตาแม่น้ำน้อย)<br />-ชิ้นส่วนไหไม่มีลายจากเตาบ้านบางปูน<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br />ระดับ 130 – 140 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย ( 100 กรัม )<br />Earthenware<br />-เศษหม้อดินเผาลายขูดขีดตัดกันไปมาไม่เป็นระบบ 2 – 3 ชิ้น<br />Stoneware<br />-ไม่พบ<br />Porcelain<br />-ชิ้นส่วนก้นชามเคลือบแบบ Blue and White สมัยราชวงศ์หมิง (ลายใบไม้ดอกไม้)<br />ระดับ 140 – 150 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย ( 120 กรัม )<br />Earthenware<br />-เศษหม้อดินเผาลายสลับฟันปลา<br />-เศษหม้อลายขูดขีดตัดกันไปมา และลายสลับฟันปลาคั่นร่อง<br />-เศษหม้อขูดเป็นร่องขนาดใหญ่ดิ่งลงเป็นทางรอบไหล่<br />Stoneware<br />-ไม่พบ<br /><br />Porcelain<br />-ก้นชามแบบ Blue and White ลายใบไม้ สมัยราชวงศ์หมิง<br />ระดับ 150 – 160 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย (300 กรัม)<br />Earthenware<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลา ขอบปากหม้อผายออก เคลือบผิวด้วยน้ำดินสีแดง เนื้อบาง<br />-ชิ้นส่วนฝาหม้อแบบฝาละมี (ฝาแอ่นหงายจุดบน)<br />-ตะคันดินเผาก้นตัด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4.5 ซ.ม.<br />-เศษหม้อขูดลายเป็นร่องรอบๆไหล่ 4 ร่อง<br />Stoneware<br />-เศษเครื่องถ้วย เคลือบผิวสีขาวขุ่น เขียนลายสีน้ำตาลอมดำใต้เคลือบ เตาสุโขทัย<br />ชิ้นส่วนไหผิวสีดำอมเทา ไมมีลาย เตาแม่น้ำน้อย<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br />ระดับ 160 – 170 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย ( 350 กรัม )<br />Earthenware<br />-เศษหม้อดินเผาลายขูดขีดตัดกันเป็นตารางสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน<br />-จุกภาชนะ (ชิ้นส่วนฝาภาชนะแบบฝาละมีจุกบน)<br />Stoneware<br />-ชิ้นส่วนไหเนื้อหนา ผิวสีเทาอมดำ ขูดลายลูกคลื่นซ้อนกัน 3 ลายใต้คอ แบบภาชนะเตาแม่น้ำน้อย<br />-ชิ้นส่วนโอ่งดินเผาเนื้อหนา ผิวสีส้มแบบเตาแม่น้ำน้อย<br />-ชิ้นส่วนฝาภาชนะเคลือบผิวสีน้ำตาลแบบเตาแม่น้ำน้อย<br />-ชิ้นส่วนเครื่องเคลือบสีเขียว (ชาม) แบบเตาศรีสัชนาลัย<br />Porcelain<br />-เศษชามแบบ Blue and White 3 ชิ้น สมัยราชวงศ์หมิง<br />ระดับ 170 – 180 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย ( 300 กรัม )<br />Earthenware<br />-เศษขอบปากหม้อเคลือบน้ำดินสีแดง เนื้อบาง ผิวละเอียด<br />-เศษหม้อดินเผาไม่มีลายชิ้นเล็กๆ<br />Stoneware<br />-ไม่พบ<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br />ระดับ 180 – 190 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย ( 470 กรัม )<br />Earthenware<br />-ขอบปากหม้อดินเผา ทรงสูงผายออก เนื้อบาง ผิวสีส้ม<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลา<br />-เศษหม้อลายขูดขีดตัดกันไปมา<br />Stoneware<br />-ขอบปากกระปุก เนื้อบาง สีเทา ไม่เคลือบผิว แบบเตาแม่น้ำน้อย<br />-ก้นอ่างเคลือบผิวด้านในสีน้ำตาลอมเหลือง เตาแม่น้ำน้อย<br />-ชิ้นส่วนชามเคลือบสีเทาอมฟ้า แบบเตาศรีสัชนาลัย<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br /><br /><br />ระดับ 190 – 200 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย ( 500 กรัม )<br />Earthenware<br />-ชิ้นส่วนฝาจุกภาชนะดินเผา<br />-เศษหม้อดินเผาลายขูดขีดตัดกันไปมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน<br />Stoneware<br />-เศษถ้วยเคลือบสีขาวขุ่นขนาดเล็ก จำแนกไม่ได้ว่ามาจากแหล่งใด<br />-ชิ้นส่วนก้นครกดินเผาเนื้อหนาคล้ายเตาแม่น้ำน้อย<br />-ชิ้นส่วนไหดินเผา เนื้อหนา ลายพวงอุบะ ( ลายคล้ายพู่หรือเม็ดพริก ) เตาบ้านบางปูน<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br />ระดับ 200 – 210 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย ( 1,900 กรัม )<br />Earthenware<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลา<br />-เศษหม้อลายขูดเป็นร่องคล้ายรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน<br />-เศษหม้อขูดขีดเป็นตาราง<br />-เศษหม้อทำลวดลายคล้ายไผ่สานทาบ<br />-เศษหม้อมีลายเป็นร่องรอบคอ<br />-ฝาภาชนะดินเผา<br />-เศษคณฑีหรือป้านน้ำ เคลือบน้ำดินสีแดงเขียนลายสีดำ เตาสุโขทัย<br />Stoneware<br />-ชิ้นส่วนชามเคลือบสีเขียวอมฟ้ามีลายนูนรูปกลีบบัวที่ก้น จากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย<br />-ชิ้นส่วนไหเนื้อหนา ผิวสีเทา<br />-ชิ้นส่วนไหเนื้อหนา ประดับลายดอกไม้ 4 กลีบ (คล้ายดอกลำดวน) ใต้ลายลูกคลื่น<br />-ชิ้นส่วนอ่างดินเผา เนื้อค่อนข้างแกร่ง เคลือบน้ำดินสีแดง<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br />ระดับ 220 – 230 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาทับถมหนาแน่น ( 2,500 กรัม )<br />Earthenware<br />-เศษขอบปากหม้อแบบโค้งผายออก มีลายกดหรือขีดเป็นเส้นหยักสั้นๆรอบคอ เคลือบผิวด้วยน้ำดินสีดำ<br />ไม่ค่อยพบบ่อยนัก<br />-เศษหม้อเนื้อหนา ค่อนข้างแกร่ง มีลายขูดเป็นร่อง 3 ร่องรอบตัว<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลา<br />-เศษหม้อลายขูดคล้ายไผ่สานทาบ<br />-เศษหม้อขูดเป็นลายรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน<br />-เศษฝาหม้อดินเผา<br />-จุกฝาหม้อยอดแหลม<br />-ชิ้นส่วนตะคันดินเผา แบบก้นตัด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4.5 ซ.ม.<br />Stoneware<br />-ชิ้นส่วนไหเนื้อหนา ผิวสีเทา ประดับลายดอกพิกุลหรือดอกลำดวน (รางเลือน) รอบคอแบบเตาบ้านบางปูน<br />-ชิ้นส่วนไหเนื้อหนาแบบเตาแม่น้ำน้อย<br />-เศษชามเคลือบผิวสีเขียวอมน้ำตาล เตาศรีสัชนาลัย<br />-เศษชามเคลือบผิวสีขาวขุ่น เขียนลายสีดำแบบเวียดนาม<br />-เศษชามเคลือบผิวสีเขียว ขอบปากหยักแบบใบบัว เตาหลงฉวน ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19 – 20<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br /><br />ระดับ 230 – 240 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาค่อนข้างหนาแน่น ( 4,200 กรัม )<br />Earthenware<br />-เศษหม้อลายขูดขีดตัดกันไปมาไม่เป็นระบบ<br />-เศษหม้อลายประทับรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน<br />-เศษหม้อลายตีตัดกัน มีปุ่มรอบคอ<br />-เศษหม้อร่องไขว้ตัดกัน<br />-เศษหม้อลายไผ่สาน<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลา<br />-ชิ้นส่วนคณฑีหรือป้านน้ำ เคลือบน้ำดินสีแดง เขียนลายสีดำเป็นเส้นรอบตัว (คล้ายแหล่งเตาสุโขทัย)<br />Stoneware<br />-เศษชามเคลือบสีขาว เขียนลายสีดำหรือน้ำเงินอมเขียว เตาสุโขทัย<br />-เศษชามเคลือบสีขาวขุ่น เขียนลายสีดำ แหล่งเตาสุโขทัย<br />-เศษชามเคลือบสีขาวอมเขียวเนื้อดินหยาบ (คล้ายแหล่งเตาในเวียดนาม)<br />-เศษชามเคลือบผิวสีเขียวอมฟ้า แบบเตาศรีสัชนาลัย<br />-ชิ้นส่วนไหปากกว้าง เนื้อหนา เตาแม่น้ำน้อย<br />Porcelain<br />-เศษชามเคลือบผิวสีขาว เขียนลายสีแดงในช่องกระจก สมัยราชวงศ์หมิงตอนปลาย (พบเพียงชิ้นเดียว)<br />ระดับ 240 – 250 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาหนาแน่น ( 6,200 กรัม )<br />Earthenware<br />-ชิ้นส่วนฝาหม้อ แบบแอ่นหงายมีจุก (ฝาละมี)<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลา แบบร่องคั่น<br />-เศษหม้อลายร่องตัดกันคล้ายรปทรงเราขาคณิต<br />-เศษหม้อประทับลายคล้ายไผ่สานทาบ<br />-ชิ้นส่วนป้านน้ำหรือคณฑี เนื้อบาง เคลือบน้ำดินสีแดง เขียนลายสีดำเป็นเส้นรอบภาชนะซ้อนกัน ลักษณะ<br />คล้ายเศษภาชนะที่พบในระดับ 210 -220 cm.dt.<br />Stoneware<br />-เศษไหเนื้อหนา ประทับลายดอกไม้สี่กลีบ<br />-ชิ้นส่วนไหขีดลายวงแหวนรอบคอ<br />-ชิ้นส่วนไหหรืออ่าง มีลายลูกคลื่นซ้อนกันรอบคอ<br />-ชิ้นส่วนไหหรืออ่าง มีร่องนูนสลับการกดด้วยเปลือกหอยแครง<br />-ชิ้นส่วนไหเท้าช้าง<br />-เศษชามเคลือบสีเขียว มีรอยแตกราน 1 ชิ้น เตาศรีสัชนาลัย<br />-เศษชามเคลือบเขียวอมเทา เขียนลายสีเขียวอมน้ำตาล เตาสันกำแพง 1 ชิ้น<br />-เศษชามเคลือบเขียวมีลายใบไม้ในเนื้อภาชนะ เตาศรีสัชนาลัย<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br />ระดับ 250 – 270 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผา ( 1,750 กรัม )<br />Earthenware<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลา<br />-เศษหม้อลายประทับคล้ายไผ่สานทาบ<br />-เศษหม้อผิวเรียบ สีส้ม เนื้อบาง<br />Stoneware<br />-ชิ้นส่วนไหเนื้อหนา ลายสลับฟันปลา<br />-ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยเคลือบ เตาศรีสัชนาลัย<br />Porcelain<br />-ไม่พบ<br />ระดับ 270 – 290 cm.dt. พบเศษภาชนะดินเผาหนาแน่น ( 4,800 กรัม )<br />Earthenware<br />-ชิ้นส่วนฝาหม้อมีจุกกลมมนแบบฝาละมี<br />-เศษหม้อลายสลับฟันปลา<br />-เศษหม้อประทับลายคล้ายไผ่สานทาบเป็นร่อง<br />-เศษหม้อขูดขีดตัดกันเป็นตารางสี่เหลี่ยม<br />-เศษหม้อขูดลายเป็นร่องรอบคอ<br />-เศษหม้อประทับลายรูปสามเหลี่ยมระหว่างร่องลึก<br />-เศษหม้อลายลูกคลื่นซ้อนกันคล้ายที่พบใน Stoneware<br />Stoneware<br />-ชิ้นส่วนไหปากกว้างประทับลายกลีบดอกไม้รอบๆปาก คล้ายกลีบบัว เตาแม่น้ำน้อย<br />-ชิ้นส่วนไหลายลูกคลื่นซ้อนกันใต้แนวร่องนูน เตาแม่น้ำน้อย<br />Porcelain<br />-ไม่พบ</div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">บทสรุปและข้อเสนอในการออกแบบบูรณะ</span><br />หลักฐานจากเอกสารหลายชิ้น อาทิ พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ คำให้การของขุนหลวงหาวัด คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม บันทึกของชาวต่างชาติร่วมสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แผนผังจากการสำรวจของวิศวกรต่างชาติในขณะนั้น และแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์เมืองลพบุรี จากการสำรวจของพระยาโบราณธานินทร์ รวมทั้งหลักฐานที่พบจากการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นสิ่งที่ช่วยให้แลเห็นลักษณะและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของรากฐานอาคารแห่งนี้ได้อย่างค่อนข้างชัดเจนว่า เคยเป็นพระมหาปราสาทหลักคาทรงมณฑปยอดเดียว มีมุขซ้อนสี่ชั้น มีผนังทั้งสี่ด้าน มีพระปรัศว์ซ้ายขวาชักออกไปทางเหนือและใต้ มีกำแพงแก้ว กำแพงปีกท้องพระโรง และอ่างน้ำขนาดใหญ่ เป็นที่สรงสนาน แต่ปัญหาก็คือ ลักษณะสถาปัตยกรรมซึ่งมีหลังคาเป็นทรงมณฑปมักจะมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน ขณะที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังนั้นผังวิเคราะห์รูปทรงสัณนิษฐานของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จึงเสนอเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบที่มียอดมณฑปและไม่มียอดมณฑป</div><br /><div align="justify"><br />รากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั้นมีขนาดใหญ่กว่าพระที่นั่งดุสิตสวรรย์ธัญมหาปราสาท ซึ่งเป็นพระมหาปราสาทยอดมณฑปอีกแห่งหนึ่งในพระราชวังเมืองลพบุรี แต่จากการเปรียบเทียบได้พบว่า เสาติดผนังของพระที่นั่งทั้งสองมีขนาดกว้างเท่ากัน ดังนั้นหลักฐานจุดนี้อาจชี้ได้ว่าความสูงของพระที่นั่งสุทธา-สวรรย์กับพระที่นั่งดุสิตสวรรย์ธัญมหาปราสาทคงจะมีขนาดใกล้เคียงกันด้วย และหากคำนึงถึงความเหมาะสมทางภูมิประเทศในพระราชฐานชั้นที่ 3 ซึ่งลดระดับต่ำลงไปกว่าพื้นดินที่รองรับพระที่นั่งดุสิต-สวรรย์ธัญมหาปราสาทแล้ว ระดับน้ำสมมติของหลังคาพระที่นั่งทั้งสององค์น่าจะเท่ากันได้เพื่อทัศนียภาพที่งดงาม</div><br /><div align="justify"><br />การพบหลักฐานชิ้นส่วนกระเบื้องเคลือบแบบสีเหลืองจักรพรรดิ บริเวณใต้แนวฐานเขียงและลวดบัว ระหว่างพระปรัศว์ซ้ายกับรากฐานระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ชี้ให้เห็นว่าเมื่อแรกสถาปนาในปี พ.ศ. 2209 พระที่นั่งสุทธาสวรรย์มีแผนผังอาคารจำกัดอยู่เพียงแค่รากฐานระเบียงพระที่นั่งและท้องพระโรง หลังคาของท้องพระโรงนั้นถูกมุงด้วยกระเบื้องมุงหลังคาแบบสีเหลืองจักรพรรดิอยู่จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2219 เมื่อช่างฝรั่งเศสและช่างอิตาเลียนเข้ามาปรับปรุงระบบการทดน้ำจ่ายน้ำในพระราชวัง เมืองลพบุรี ทำให้มีการขยายรากฐานพระที่นั่งออกไปทั้งด้านเหนือและด้านใต้ พระปรัศว์ซ้ายและขวาก็คงจะถูกต่อเติมขึ้นมาในคราวนี้ โดยช่างทั้งสองชาติได้ฝังแนวท่อน้ำดินเผาโดยรอบระเบียงพระที่นั่งต่อเนื่องมาจากเชิงเขามอด้านใต้เพื่อนำน้ำมาหล่อเลี้ยงอ่างน้ำทุกอ่างในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ การขยายผังพระที่นั่งครั้งนี้คงจะได้ใช้กระเบื้องมุงหลังคาดินเผาสีเหลืองแบบท้องถิ่นมาเสริมกระเบื้องมุงหลังคาสีเหลืองจักรพรรดิส่วนที่ชำรุด และถูกนำมาอัดร่วมกับชั้นทรายใต้พื้นอาคารที่ต่อเชื่อมกัน มิใช่เป็นการเปลี่ยนกระเบื้องใหม่ทั้งหมด เหตุที่เห็นว่ามีการนำกระเบื้องดินเผาสีเหลืองแบบท้องถิ่นมาใช้มุงเครื่องบนพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ในคราวนี้ เนื่องจากภาวะการค้ากับจีนในขณะนั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วก็ได้ นอกจากนี้กรุงศรีอยุธยาอาจจะสามารถทำกระเบื้องเคลือบสีเหลืองได้เองแล้วในระยะนั้น (ดูสมัยพระเพทราชาและการสร้างวัดบรมพุทธาราม ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2, หน้า 72)</div><br /><div align="justify"><br />หลักฐานจากแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี ยืนยันให้ทราบว่ากำแพงที่คั่นระหว่างพระราชฐานชั้นที่ 3 กับพระราชฐานฝ่ายใน และตัดบางส่วนของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ออกไป เป็นสิ่งที่ทำขึ้นหลังสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กำแพงดังกล่าวน่าจะเป็นหลักฐานที่เชื่อมโยงกับประวัติเรือนจำลพบุรีในอดีตมากกว่าเรื่องราวประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา น่าเสียดายที่กำแพงเรือนจำแนวนี้ถูกก่อเสริมให้สูงและก่ออิฐอุดช่องประตูกำแพงพระราชฐานฝ่ายในของเดิมสมัยพระนารายณ์จนเหลือเพียงช่องเดียวทางด้านเหนือ ทำให้บดบังความสง่างามและทำลายทัศนียภาพของพระราชฐานชั้นที่ 3 และพระราชฐานฝ่ายในลงไปโดยสิ้นเชิง เมื่อคุณค่าของกำแพงแนวนี้เป็นเพียงเครื่องล้อมที่ใช้กักกันนักโทษ จึงไม่เหมาะสมที่จะอนุรักษ์ไว้อีกต่อไป หากแต่ควรเปิดช่องกำแพงออกตามแนวผังเดิมที่ปรากฏในหลักฐานของพระยาโบราณราชธานินทร์</div><br /><div align="justify"><br />แม้ด้านตะวันตกของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะมีแนวกำแพงปีกท้องพระโรงขวางคั่นอยู่เดิมแล้ว แต่กำแพงดังกล่าวมิได้ปิดทึบตลอดแนว เพราะมีช่องพระทวารเปิดทางเชื่อมเอาไว้ถึงห้าช่องอย่างลงตัวรับกับลักษณะองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ การคงแนวกำแพงไว้อย่างเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ แม้ว่าจะยังคงเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถผ่านเข้าออกด้านหลังกำแพงได้ แต่มีเพียงหนุ่มสาวเดินควงคู่เข้าไปเพื่อใช้เป็นที่ลับตาเท่านั้น</div><br /><div align="justify"><br />สภาพพื้นที่ลุ่มภายในเขตพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะเกิดน้ำท่วมขังทุกครั้งที่ฝนตกหนัก ในการบูรณะควรจะออกแบบเดินท่อระบายน้ำทิ้งขนาดใหญ่พอประมาณ เพื่อให้ระบายน้ำออกไปอย่างรวดเร็วทางด้านใต้</div><br /><div align="justify"><br />การขุดแต่งในปีงบประมาณ 2540 น่าจะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เพียงก้าวเล็กๆ ก้าวแรก อันจะจุดประกายให้เกิดความสนใจและมีความกล้าหาญต่อการฟื้นฟูรากฐานดั้งเดิมของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ให้มีสภาพใกล้เคียง ดังปรากฏในหลักฐานที่บันทึกไว้ในแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี มากยิ่งขึ้น ปรัชญาความคิดและความหวังของการทำแผนผังชิ้นนั้นก็เพื่อที่จะรักษารากฐานอาคารที่สืบทอดมาแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้คงอยู่ต่อไป เราจะปลุกชีวิตและคืนความเคารพต่อแผนผังที่บรรพบุรุษบันทึกไว้ได้หรือไม่ เราจะทำอย่างไรให้เกิดความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์ และมรดกสถาปัตยกรรม</div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">เอกสารอ้างอิงบางส่วน</span><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2,หน้า 54 และ ปรีดา ศรีชลาลัย “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมเอกสารจากหอหลวง” ,แถลงงานประวัติศาสตร์ เอกสารโบราณคดี ปีที่ 3 เล่ม 2 พ.ศ. 2512,หน้า 33.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม,อ้างแล้ว,หน้า 33</div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-60920856253096866862011-02-16T18:40:00.000-08:002011-02-16T22:35:05.252-08:00มายาคติเรื่องความกล้าหาญทางวิชาการกับผลประโยชน์และความเป็นปึกแผ่นของชาติบ้านเมือง<span style="font-size:130%;"> โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhAWDkJpMk8T2ah6p4Lousa9uHA7TBj45shwQpY9GYhFRWq4QKa1AGRe3KmJXiVBQuelgxggWAKYzLQz2waFo5YGQDT5GAFLU53PFlB-eVGGGbw5peG9dbLldfpDXgnu4K6CU59Srehsvv/s1600/%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5574542725246148162" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 170px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhAWDkJpMk8T2ah6p4Lousa9uHA7TBj45shwQpY9GYhFRWq4QKa1AGRe3KmJXiVBQuelgxggWAKYzLQz2waFo5YGQDT5GAFLU53PFlB-eVGGGbw5peG9dbLldfpDXgnu4K6CU59Srehsvv/s320/%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3.jpg" border="0" /></a>ทหารกัมพูชาในพื้นที่พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ขอขอบคุณข้อมูลจาก<a href="http://www.bangkokpost.com/">http://www.bangkokpost.com/</a><br /><br /><div><div align="justify">ผู้เขียนเห็นด้วยกับผู้รู้ที่บอกว่า “ประวัติศาสตร์ทำให้ทราบรากเหง้าของความเป็นชาติและสามารถวิเคราะห์นิสัยใจคอของคนแต่ละชาติได้”<br /><br />วิวาทะเรื่อง ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นของปลอม เมื่อพ.ศ.2530 ดูเหมือนจะเป็นแม่แบบที่ทำให้งานวิจัยหลายชิ้นเจริญรอยตามในเชิง Anti-thesis การศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและโบราณคดีของนักวิชาการยุคบุกเบิกก่อนหน้านั้น บางเรื่องผู้เขียนก็เคยได้ยินอดีตผู้บังคับบัญชา คือ อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ พูดว่า “เรื่องอะไรที่ไม่มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง คุณจะไปศึกษาทำไม”<br /><br />เหตุการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ 2554 ทำให้นักข่าวช่อง3 ถามเด็กสาววัยรุ่นว่ารู้สึกอย่างไร เธอตอบว่า “หน้าที่ของชาวบ้านคือ ต้องหนีภัย จะต้องหนีอีกนานเท่าไร อยากให้กลับเหมือนเดิม”<br /><br />การขัดแย้งกันเรื่องชายแดนเป็นเหตุปกติวิสัยในโลก การลาดตระเวนร่วมกันและการกินข้าวด้วยกันของทหารทหารรวมถึงผลประโยชน์การค้าชายแดนเป็นเรื่องมายา เป็นเรื่องหลอกกัน หากเกิดความขัดแย้งกันจนถึงขั้นใช้กำลังปะทะนั่นแหละจึงจะเป็นเรื่องจริง เพราะเจ็บจริง ตายจริง เสียหายจริง และต้องเตรียมพร้อมที่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นเช่นกัน<br /><br />มีการระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการและผู้รู้สาขาต่างๆออกเผยแพร่ตามสื่อวิทยุและโทรทัศน์อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะเมื่อวันเสาร์ที่12 กุมภาพันธ์ 2554 ทีวีดาวเทียมช่องสปริงนิวส์(ขออภัยหากจำผิด)ออกอากาศสดการเสวนาปัญหาดังกล่าวกับนักวิชาการ จำนวน 3 ท่าน มีใจความสังเขปดังนี้<br /><br />ดร.มรกตฯ ระบุว่า “ไทยยอมรับแผนที่ค.ศ.1907(พ.ศ.2450)ของฝรั่งเศสมานานแล้ว จนกระทั่งสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามรัฐบาลไทยจึงปฏิเสธและเรียกร้องดินแดนคืน( หมายถึงในปีพ.ศ.2483)” และชี้ว่าประเทศไทยยอมรับสิทธิของฝรั่งเศส(และต่อมา คือ กัมพูชา)เหนือปราสาทพระวิหารอยู่แล้ว </div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">คำกล่าวที่ว่าทำไมประเทศไทยถึงเพิ่งจะปฏิเสธแผนที่ค.ศ.1907 ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามนี้สำคัญมากเพราะเป็นการตั้งคำถามโดยมองข้ามสภาวการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในสมัยรัชกาลที่5 อันเป็นยุคที่สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ที่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังไล่ต้อนลูกแกะสยามเข้ามุมก่อนที่จะรุมแทะพื้นที่ของสยามไปได้มากกว่าพื้นที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันของประเทศไทย </div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">การที่ต้องเสียพื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงกับเสียมราฐ ศรีโสภณและพระตะบอง เพื่อแลกจังหวัดจันทบุรีและตราดกลับคืนมา จึงเป็นเหมือนฝันร้ายที่ทำให้ทางการสยามยังไม่สบโอกาสที่จะปฏิเสธแผนที่ดังกล่าวในช่วงเวลาที่กล่าวถึงไปแล้วนั่นเอง</div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">ในเวลาต่อมา การเพลี่ยงพล้ำตกเป็นรองของเยอรมนีในสมรภูมิที่ยุโรปทำให้ฝรั่งเศสอ่อนแอ ทำให้รัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงครามภายใต้การสนับสนุนของมหาอำนาจชาติเดียวของเอเชียขณะนั้น คือ ญี่ปุ่น กล้าที่จะปฏิเสธอำนาจของฝรั่งเศสและเรียกร้องดินแดนเขมรฝ่ายในกลับคืนมาเป็นผลสำเร็จระยะหนึ่ง และก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากหากมีคำถามว่า ทำไมกัมพูชาเพิ่งจะมางอแงในตามแนวชายแดนทางด้านศรีสะเกษและสุรินทร์ เพราะพฤติกรรมทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ของแต่ละชาติชาติมันล้อกันมาโดยตลอด<br /><br />ถ้าเข้าใจไม่ผิด การเสนอความเห็นของดร.มรกตฯ ทำให้ รศ.ดร.พิชายฯ เปรยออกว่า “นักวิชาการบางคนอาจได้รับทุนวิจัยจากภายนอกทำให้เสนอความเห็นและยกหลักฐานขึ้นมาแสดงแบบเห็นอกเห็นใจฝ่ายเขมร”<br />ซึ่งทำให้ดร.มรกตกล่าวในตอนท้ายของการเสวนาว่า “นักวิชาการจำเป็นต้องมีอิสระในการเสนอความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา”<br /><br />ผู้เขียนเห็นด้วยกับการมีความกล้าหาญและมีอิสระทางวิชาการ แต่นักวิชาการก็ควรจะมีวิจารณญาณด้วยเช่นเดียวกันว่า อิสรภาพทางความคิดและการแสดงออกจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์และความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติหรือไม่ในอนาคต<br /><br />ครั้งหนึ่งมีนักวิชาการไทยซึ่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติเคยกล่าวผ่านสื่อทีวีดาวเทียมว่า “คนที่มีความคิดแบบชาตินิยม ...(เป็นคน)...ใฝ่ต่ำ” ทั้งๆที่ท่านก็ทิ้งมาตุภูมิไปเสพสุขอยู่ในสหรัฐอเมริกาจนอาจได้กรีนการ์ดเรียบร้อยไปแล้ว กระนั้นผู้เขียนก็เห็นด้วยอีกนั่นแหละหากเป็นชาตินิยมที่ว่านั้นเป็นชาตินิยมแบบ Nazism คือ หลงเชื่อว่าเชื้อชาติของตนบริสุทธิ์กว่าชนชาติอื่น จนนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ระหว่างพ.ศ.2483-2488<br /><br />แต่ชาตินิยมเชิงสร้างสรรค์ก็มีหลายรูปแบบที่ถูกซ่อนไว้ โดยอธิบายเพียงด้านเดียวให้ดูน่ากลัว ตัวอย่างชาตินิยมเชิงสร้างสรรค์ อาทิ ชาตินิยมในด้านการบริโภคสินค้าพื้นเมืองเพื่อลดปัญหาขาดดุลทางการค้า เคยช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับหลายประเทศมาแล้ว ชาตินิยมด้านการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางมรดกวัฒนธรรมก็ทำให้เกิดความหลากหลายทางด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว และชาตินิยมในการหวงแหนมาตุภูมิซึ่งปลูกฝังกันในหมู่ทหารรั้วของชาติ ก็ทำให้ลูกหลานไทยมีแผ่นดินเกิดแผ่นดินตายกันมาถึงทุกวันนี้ </div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify">เมื่อไทยเสียอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชา ในปีพ.ศ. 2505 หมาดๆ จึงไม่น่าแปลกใจว่า อดีตชาวนาและอดีตทหารกองหนุนอย่าง ลุงบัวลอย ชูเวช ถึงกับออกปากอยากจะเข้าไปจัดการกับผู้นำของฝ่ายตรงข้าม<br /><br /><span style="font-size:130%;">การที่นักวิชาการแสดงทัศนะออกมาอย่างซื่อๆ ว่า การแสดงความคิดเห็นทางวิชาการอย่างมีอิสระเป็นความกล้าหาญของนักวิชาการ แม้ความเห็นนี้จะน่าชื่นชม แต่ถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะอาจจะถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้เป็นอาวุธย้อนกลับมาบ่อนทำลายผลประโยชน์ของชาติในวันใดวันหนึ่งก็ได้<br /><br />ผู้เขียนเห็นว่า นักวิชาการควรจะตระหนักสักเล็กน้อยด้วยซ้ำว่า บรรดาฝ่ายตรงข้าม คือ สมเด็จ ฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา กับ ฯพณฯ ฮอ นำ ฮง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศนั้น แม้จะเป็นมิตรประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งที่กระทบกับผลประโยชน์ของชาติตนคราวใด พวกท่านเหล่านั้นเคยแสดงความคิดเห็นแบบซื่อๆ ใสๆ ตรงไปตรงมาโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาวกัมพูชาบ้างหรือไม่ </span></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;"></span></div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">นักวิชาการ(รวมถึงสื่อมวลชนไทยบางค่าย)พึงสำเหนียกบ้างว่า ทุกครั้งที่มีการแสดงความคิดเห็นต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาของผู้นำและสื่อมวลชนของประเทศเพื่อนบ้านนั้น พวกเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ของกัมพูชา หรือ ผลประโยชน์ของประเทศไทย</span></div></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-66787327641655828032011-02-02T21:22:00.000-08:002011-02-02T21:36:13.345-08:00ขันโตก ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dzS1viZLB4iHEbMmmKqyUEa-wt4fulNb3zaNY3Qfu5l_U8CC1w6ZzmBSqW7qm-K8CfTs2auvesoqdgG5roGTw' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-48901497469398710912011-01-10T20:50:00.000-08:002011-01-10T21:06:19.032-08:00ชื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ อ่านว่า สะ-หริด หรือ สะ-ริด ?โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร<br /><div align="justify"><br />ในช่วงปลายสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ ๒ ในเอเชีย) พ.สมานคุรุกรรมได้เล่าถึงบทบาทของทหารไทยในกองทัพพายัพตอนหนึ่งจากบันทึกของพลตรีหลวงหาญสงครามว่า เมื่อประมาณปลายเดือน มกราคม ๒๔๘๗ พลโท จิระ วิชิตสงคราม แม่ทัพพายัพคนใหม่มีคำสั่งให้พลตรีหลวงหาญสงครามกับพันเอกหลวงเกรียงเดชพิชัย ผู้บัญชาการกองพลที่ ๔ ไปพบที่เมืองพยาค และสั่งการให้ส่งเชลยทหารจีนไปพบกับผู้บัญชาการกองพลที่ ๙๓ ของจีน ซึ่งตั้งประจัญกันคนละฝั่งแม่น้ำ เพื่อเจรจายุติการรบ เพราะการที่ประเทศไทยต้องเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเกิดจากสถานการณ์บังคับ เมื่อกลับมาแล้วพลตรีหลวงหาญสงครามจึงให้หาธงขาวเขียนภาพจับมือไขว้ให้ร้อยตำรวจโท ธานี สุนทรกิจ ล่ามภาษาจีน เขียนหนังสือตามใจความข้างต้นและให้จ่านายสิบหนึ่งนายกับพลทหารจีนที่เป็นเชลยสามนายกับเสบียงอาหารพอกินได้สองวันเดินทางไปยังเมืองมะ พร้อมด้วยนายทหารฝ่ายเสนาธิการ นายทหารคนสนิทและหน่วยคุ้มกันเพื่อสมทบกับ พันโท ประยูร สุคนธทรัพย์(ยศขณะนั้น) ผู้บังคับการกองพันทหารราบซึ่งยึดเมืองมะและรักษาชายแดนแม่น้ำลำให้ร่วมเดินทางไปยังเมืองลา จากนั้นจึงส่งชุดเชลยศึกให้ลุยข้ามน้ำไปยังฝั่งเขตแดนจีนและให้พันโท ประยูร สุคนธทรัพย์จัดหมู่รับข่าวไว้ที่ชายฝั่งแม่น้ำลำ<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a> เรื่องราวทางการทหารและการเมืองระหว่างประเทศในสงครามมหาเอเชียบูรพามีเนื้อหาโดยละเอียดในหนังสือประวัติการรบของทหารไทยในสงครามมหาเชียบูรพา ซึ่งรวบรวมและเรียบเรียงจากหลักฐานประวัติศาสตร์ และบันทึกคำให้สัมภาษณ์ของอดีตนายทหารที่มีประสบการณ์รบจริงในสงครามข้างต้น หนังสือดังกล่าวจัดทำโดย คณะกรรมการจัดทำหนังสือประวัติการรบของทหารไทยในสงครามมหาเอเชียบูรพา ของกองบัญชาการทหารสูงสุด(ปัจจุบัน คือ กองบัญชาการกองทัพไทย)</div><div align="justify"><br />พันโท ประยูร สุคนธทรัพย์ ได้รับราชการสืบมาจนกระทั่งได้รับพระราชทานยศสุดท้ายเป็นพลเอกและเกษียณอายุราชการในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม </div><div align="justify"><br />ขณะที่รับราชการเป็นภัณฑารักษ์ของกองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร กรมการศึกษาวิจัย(ปัจจุบัน คือ กรมยุทธศึกาทหาร) กองบัญชาการทหารสูงสุด ผู้เขียนได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการจัดทำหนังสือประวัติการรบของทหารไทยในสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยมีพลเอกประยูร สุคนธทรัพย์ในวัย 84-85 ปีรับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการฯ ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง พูดจาเสียงดังฟังชัดสมเป็นชายชาติทหาร และมีเมตตาต่อผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง </div><div align="justify"> </div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><div align="justify">ผู้เขียนสังเกตว่า พลเอกประยูร สุคนธทรัพย์ท่านมักจะสวมแหวนวงใหญ่ลักษณะคล้ายแหวนเงิน และเหลือบมองบ่อยๆด้วยความสนใจ และนึกในใจ(ตามประสาคนมีตาแต่หามีแววไม่) แหวนหลวงพ่อของท่านประธานวงนี้ช่างใหญ่โตดีจัง </div><div align="justify"> </div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><div align="justify">พลเอกประยูรท่านคงจะสังเกตเห็นแววตาสอดรู้สอดเห็นของบริวารคนนี้ ท่านจึงเมตตาเล่าความเป็นมาของแหวนวงดังกล่าวให้ฟังว่า แหวนวงนั้นเป็น “แหวนตราจอมพล” ทำจากทองคำขาว ซึ่งบรรดาพ่อค้าประชาชนร่วมกันทำขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ.2500 เศษๆ เพื่อมอบให้แก่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรีด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในผลงานการปราบปรามอาชญากรรมให้สงบอย่างราบคาบด้วยความเด็ดขาด จนเป็นที่มาของคำกล่าวเปรียบเปรยทุกครั้งเมื่อเห็นความหย่อนยานของผู้รักษากฎหมายว่า “เรื่องอย่างนี้ถ้าเป็นสมัยจอมพลสฤษดิ์ละน่าดู” แต่จอมพลสฤษดิ์ ไม่รับ และมอบให้แก่พลเอกประยูร สุคนธทรัพย์แทน </div><div align="justify"></div><div align="justify">ขณะนั้นพลเอกประยูร สุคนธทรัพย์ ดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถามท่านว่า “พี่ยูร ผมจะให้พี่ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม พี่จะรับหรือไม่” พลเอกประยูร สุคนธทรัพย์ กล่าวปฏิเสธตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมด้วยความถ่อมตน เพราะเห็นว่าจะต้องรับภารกิจเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย ท่านจึงขอรับหน้าที่เป็นเพียงรองปลัดกระทรวงกลาโหมเท่านั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมอบแหวนจอมพลวงดังกล่าวให้แก่ท่าน และพลเอกประยูร สุคนธทรัพย์ก็ได้สวมแหวนดังกล่าวติดนิ้วมาโดยตลอดจวบจนวาระสุดท้ายเมื่อพ.ศ.2542</div><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">ประเด็น คือ พลเอกประยูร สุคนธทรัพย์เรียกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นบุคคลร่วมสมัยของท่านว่า “จอม-พน สะ-ริด ธะ-นะ-รัด”อย่างชัดเจนโดยตลอด ผู้เขียนจึงใคร่บันทึกความทรงจำนี้ไว้เพื่อเป็นอนุสาวรีย์อันยั่งยืนอีกด้านหนึ่งของท่านพลเอกประยูร สุคนธทรัพย์และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์</span></div><div align="justify"><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> พ.สมานคุรุกรรม, เรื่องเล่าจากอดีต (๑๐) ต่วยตูน ธันวาคม ๒๕๔๖ ปักษ์แรกมุมประวัติศาสตร์ห้องสมุด ๒๑-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ อ้างจาก http://www.bloggang.com/viewblog </div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-236333254505064342011-01-10T02:49:00.000-08:002011-01-11T07:49:29.796-08:00เทพีธาเลีย(Thalia)ที่พระราชวังบางปะอินโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร<br /><p><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dyuQezhnAZ_wpu6Umwr5Vi8hJfYi4tk1kczFlLqdwZsr8J7fIeySEiRajGyReaLsHHepLevzu2GSrASeb46xg' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe></p><p>เทพีธาเลียเป็นเทพีแห่งเรื่องราวสนุกสนาน(Comedy) มือขวาถือม้วนกระดาษ มือซ้ายถือหน้ากากตัวตลก</p>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-80727211294200069852010-12-27T20:36:00.000-08:002010-12-27T21:57:45.881-08:00(ร่าง)หลักฐานสำคัญที่พบจากการขุดแต่งและบูรณะพระปรางค์สามยอด พ.ศ.2538<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5555607909786485586" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 216px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIvEpqbQ3q-kdG6EKv14NdC0KAnjzRaFkzRZbLCi9yUQfdlObqfdSCfkVKi-7rKjBqY3YfZqrwLZzmfzlUj7fFXzzjoqlkVDWw8mOAqakc-GICRdPJIdbEv7d3SMD4TosSDjyuBRhyBHVk/s320/scan0060.jpg" border="0" />พระปรางค์สามยอดถ่ายด้วยเทคนิคมุมกว้าง(Panorama Technic) ทำให้มุมด้านข้างเอนเข้าหาศูนย์กลางของภาพ<br /><div></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-4393570270110002692010-12-25T01:57:00.000-08:002011-01-10T02:58:48.794-08:00(ร่าง)ประติมากรรมรูปเทพีแห่งศิลปวิทยาการที่ตึกไทยคู่ฟ้า( 9 Muses )โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร<br /><br />9 muses คือ เทพีแห่งศิลปวิทยาการ 9 นางที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์แรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินนักปรัชญาและคนทั่วไป เทพีทั้ง 9 ประกอบด้วย เทพีคลีโอ(Clio) เทพียูเทปี(Euterpe) เทพีธาเลีย( Thalia) เทพีเมลโปเมนี(Melpomeni) เทพีเทิร์ฟซิคอเร( Terpsichore) เทพีอีเรโต(Erato) เทพีโปลีมเนีย( Polymnia) เทพียูเรเนีย(Eurania/Ourania) และเทพีคอลลิโอเป(Calliope)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1C2cAl6seHRGsALk65kVFu5Zda2o_MbfP_OrZ0EffRaKoyRO63kRA3G3DtBR7-R59GWHO1KldfgIONbSyFcpLPIoaEi4CiL8d58Nkn6m_FZkwoM2FIVYh1OUt7DMNR3OYbwz27VODsH8d/s1600/%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B6%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587+%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587+%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5555673732243534530" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 273px; CURSOR: hand; HEIGHT: 265px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1C2cAl6seHRGsALk65kVFu5Zda2o_MbfP_OrZ0EffRaKoyRO63kRA3G3DtBR7-R59GWHO1KldfgIONbSyFcpLPIoaEi4CiL8d58Nkn6m_FZkwoM2FIVYh1OUt7DMNR3OYbwz27VODsH8d/s320/%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B6%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587+%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587+%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3.jpg" border="0" /></a> บริเวณหน้าโถงบันไดทางขึ้นสู่ชั้นสองของตึกไทยคู่ฟ้า เคยเป็นเวทีแสดงละครเรื่องขุนช้าง และวิวาห์พระสมุทรในสมัยรัชกาลที่ 6<br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtjTvKj3zFvqvZZpioVp5BVunAD4pzmwq3vrVlOvoip3X7FoH89j_2_m9ORr6xZbTCQTPB5kYn_6zKPEH2vY3iak5CjrL6-aVWVeWiiCFuPLwb-fM2on_IN-F9P4uAkLL2AOh-pS2Sxanq/s1600/New+Picture+%25281%2529.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5555592167479972962" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 126px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtjTvKj3zFvqvZZpioVp5BVunAD4pzmwq3vrVlOvoip3X7FoH89j_2_m9ORr6xZbTCQTPB5kYn_6zKPEH2vY3iak5CjrL6-aVWVeWiiCFuPLwb-fM2on_IN-F9P4uAkLL2AOh-pS2Sxanq/s320/New+Picture+%25281%2529.png" border="0" /></a> ประติมากรรมรูปเทพีอะธีน่า ทางเบื้องขวาของบันไดโถงกลาง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล<br /><div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5555598942842116466" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 229px; CURSOR: hand; HEIGHT: 253px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDpNiDwUy7uzaCVjj7oVIzICDikCvWlveKr-frtUeg118eIOw5lI4TmH-1kypCEft3rOShF4zBJN9b6D0BJSKh_dnXXxj8PXClrYcHyQGWDNuF15oRbcJU2I0Z5a8AH0RSRiHqY0yx0HZb/s320/New+Picture+%25282%2529.1.png" border="0" /></div>เทพีอะเธน่า<br /><div><div><div align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFs7IaiIRofmv0Ufd-XUI-Gq5JnSxoiyH0vON_5OLXGDrKEk4UZGYZ4sjduQ7I40tCQF7tzp-yX4jhjMiI_FRYESiAWzbbFgahkVcWjq74zpJeMM9-SaCE1C_eNm9ekuJJ_whX3EOOyUcP/s1600/IMG_1497.1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554562143410959106" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 138px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFs7IaiIRofmv0Ufd-XUI-Gq5JnSxoiyH0vON_5OLXGDrKEk4UZGYZ4sjduQ7I40tCQF7tzp-yX4jhjMiI_FRYESiAWzbbFgahkVcWjq74zpJeMM9-SaCE1C_eNm9ekuJJ_whX3EOOyUcP/s320/IMG_1497.1.JPG" border="0" /></a><span style="font-size:130%;"> เทพีแห่งชัยชนะ(เทพีไนกี-Niki)</span> </div><div align="justify">เทพีไนกี เป็นธิดาแห่งเทพพาลลัส (Pallas) เทพแห่งปัญญาและนักรบ และเทพีสติกซ์(Styx) เทพีแห่งความเกลียดชัง อาฆาตแค้น เป็นพระขนิษฐาของเทพคราตอส (Cratos) เทพแห่งพละกำลัง เทพีไบอา (Bia) เทพีแห่งอำนาจและความรุนแรง และเทพซีลุส(Zelus) เทพแห่งการต่อสู้ เทพีไนกี้และเหล่าเทพพี่น้องเป็นผู้รับใช้ของเทพซุส (Zeus) ตามตำนานเทพ เทพีสติกซ์นำพวกนางมาช่วยเหลือเทพซุสในศึกกับยักษ์ไททัน เทพีไนกี้ทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถม้าศึก ตำนานเทพปกรณัมโรมันเรียกว่า เทพีวิคตอเรีย (Victoria) ปีกของเทพีไนกี้เป็นสัญลักษณ์ของลักษณะอันรวดเร็วแห่งชัยชนะ เทพีไนกี้ได้รับการบูชาร่วมกับเทพีอะธีนา (Athena) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดหลังจากมีชัยชนะเหนือชาวเปอร์เชียนในสงครามมาราธอน (Battle of Marathon 490 ปีก่อนคริสตกาล) รูปปั้นของเทพีอาธีน่าแห่งพาร์ธีนอสในวิหารพาร์ธีนอน (Parthenon) ที่กรุงเอเธนส์(Athens) มีเทพีไนกี้กำลังยืนอยู่บนมือของนาง ศูนย์กลางวิหารพาร์ธีนอน(สร้างเมื่อราว 410 ปีก่อนคริสตกาล) ยังรวมเอาสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพีอาธีน่า ไนกี้ไว้ด้วยกัน (ขอขอบคุณข้อมูลจาก <a href="http://www.wikipedia.com/">http://www.wikipedia.com/</a>) </div><div><div><div><div><br /></div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidnLFGHRl0ByFCk_04WP7Pg5CMzEDcNYGDQ6jz1WMVW0kA-QpxH8acvYjmxhYj4oh81tvRWI8PH2V0fIegSsVkmfsDLlOzVMDYHQvPfBc-lJia6lsgJIZVUMhQ-h_vi7rgImf8iePFGsCa/s1600/IMG_1498.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554558960990940626" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 153px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidnLFGHRl0ByFCk_04WP7Pg5CMzEDcNYGDQ6jz1WMVW0kA-QpxH8acvYjmxhYj4oh81tvRWI8PH2V0fIegSsVkmfsDLlOzVMDYHQvPfBc-lJia6lsgJIZVUMhQ-h_vi7rgImf8iePFGsCa/s320/IMG_1498.jpg" border="0" /></a> </div><div align="justify"><span style="font-size:130%;">เทพีธาเลีย(Thalia)</span></div><div align="justify"><span style="font-size:130%;">ตั้งอยู่ทาง</span>ด้านซ้ายมือของบันไดโถงกลางตึกไทยคู่ฟ้า สวมมงกุฎทำจากเถาไอวี่ สวมรองเท้าคีบ ติดล้อแบบรองเท้าสเก็ต น่าจะเป็นเทพีธาเลีย(Thalia) ผู้เป็นเทพยดาแห่งเรื่องตลก เรื่องสนุกสนาน (Comedy) และเทพีแห่งบทกวีเกี่ยวกับชนบท (Bucolic Poetry) ซึ่งในเทพปกรณัมกรีกระบุว่า สัญลักษณ์ของเทพีองค์นี้ คือ หน้ากากตัวตลก (Comic mask) พวงมาลัยทำจากเถาไอวี่(ivy wreath) และไม้ต้อนแกะ(shepherd's staff)<br /></div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554559918939228034" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 270px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3ZBgbt1yXVue1pd6Emqo89c6yqnk63kjHsBCsFE1E8F_Rej-R87opBf4lyfMYEgVuTtbru-dfBP1s81lXBA0xL52vYRiReZrRA68NgCXwhk5JjIiI-jZYEyHgr4FNMIHx6zVx6zb8bUj3/s320/IMG_1501.jpg" border="0" /> เทพีธาเลียสวมมงกุฎทำจากเถาไอวี่<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5555594749617943618" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 308px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXXQjvIRNDGqHOK__WMV7OEcr1wiGIOPmbWURlpzwBCWKIsSn45j6aQLouDJsiqxIe0RWFNkV__nh6YqRUtAl7b28720wH4a175g4ORRKQdrw9A_ecgIaHPu-YlkoHuTrofnvRE9eJs__U/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B5.2.jpg" border="0" />เถาไอวี่สด(ขอขอบคุณข้อมูลจาก <a href="http://www.magnoliathailand.com/">http://www.magnoliathailand.com/</a> )<br /><br /><div align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4h5N10Q7m6Hs3F0jylk0-NdTOnxabMMFdMc6kQABGaaKxaLoPE5jqflT-MybifTOi2ovNU-oIunTxceE8-ABcJmxoFesAi5KuTuhPGLnVIgySNxYvsyU2DPySmPO93JtFSLIMprkzUMF6/s1600/IMG_1500.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554558829048425922" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4h5N10Q7m6Hs3F0jylk0-NdTOnxabMMFdMc6kQABGaaKxaLoPE5jqflT-MybifTOi2ovNU-oIunTxceE8-ABcJmxoFesAi5KuTuhPGLnVIgySNxYvsyU2DPySmPO93JtFSLIMprkzUMF6/s320/IMG_1500.jpg" border="0" /></a> ประติมากรจงใจสร้างเทพีธาเลียให้สวมรองเท้าติดล้อ เพื่อให้เห็นบรรยากาศของความสนุกสนานโดยอาจมีแรงบันดาลใจจากการที่ในช่วงประมาณกลางพุทธศตวรรษที่25กีฬาโรลเลอร์สเกต กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปและอเมริกา เห็นแล้วนึกถึงความสุขสันต์หรรษาในยุครัฐบาลเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าภายใต้การนำของพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXUJFl_z3zh5MsT7a6rIBRRfghHjC1uae6Htu665X-u9I6CwM7zCkxCDYLtDcL_1wOElQJNuimf8_IRZMshE1aNyqxIragRrCXtgTs-odl-mqtMOR0XV0DPFVXx-wVmiSYX03AlJr0Uijy/s1600/2.Thalia+Comedy%252C+Bucolic+Poetry%252CComic+mask%252C+ivy+wreath%252C+shepherd%2527s+staff.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557789084152418" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 243px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXUJFl_z3zh5MsT7a6rIBRRfghHjC1uae6Htu665X-u9I6CwM7zCkxCDYLtDcL_1wOElQJNuimf8_IRZMshE1aNyqxIragRrCXtgTs-odl-mqtMOR0XV0DPFVXx-wVmiSYX03AlJr0Uijy/s320/2.Thalia+Comedy%252C+Bucolic+Poetry%252CComic+mask%252C+ivy+wreath%252C+shepherd%2527s+staff.png" border="0" /></a>ภาพสเกตช์ของเทพีธาเลียจากประติมากรรมสลักหินอ่อนนูนต่ำของกรีก ชื่อ "Muses Sarcophagus" กำหนดอายุอยู่ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่2 ปัจจุบันอยู่ที่พิพธภัณฑ์ลูฟวร์(Via Ostiense - Louvre)<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5558220888735619010" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 171px; CURSOR: hand; HEIGHT: 276px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWIhl63B51VIhBjTZ0vF3l7vm7JIeUhbwDJbryfBPnL8LWaWEEvABStl6h4B1hb6A_AqsL3XBbV87RBNo67khueT5rW1vIwO0RSGIqgRZRaUPn8zh0mBv5K7p_slNZJlOUaVOuYQutmqSg/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25992+%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B6%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%259F%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2Urania.png" border="0" /></div>ประติมากรรมรูปเทพียูเรเนีย (Eurania) เทพีแห่งดาราศาสตร์ ตั้งอยู่บนชั้น 2 ตึกไทยคูฟ้า เห็นได้ชัดเจนเมื่อประติมากรสร้างเป็นรูปสตรีกำลังเหาะอยู่เหนือรูปโลก<br /><div></div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv3v0eU5xX5OKry7EWMbIueefBTvAcTxra_EbusIDsnJGncJCl52K9aLsKBubbvYYKpIbKY41oYI6NldCM0gtgZb_dsoybZ15HFpDWIfR3kMCQcOqe9THov5bDKbDCjrZ2yaqvXnY2s5tm/s1600/8.Urania%252CAstronomy%252CCelestial+globe.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557370824867842" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 118px; CURSOR: hand; HEIGHT: 216px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv3v0eU5xX5OKry7EWMbIueefBTvAcTxra_EbusIDsnJGncJCl52K9aLsKBubbvYYKpIbKY41oYI6NldCM0gtgZb_dsoybZ15HFpDWIfR3kMCQcOqe9THov5bDKbDCjrZ2yaqvXnY2s5tm/s320/8.Urania%252CAstronomy%252CCelestial+globe.png" border="0" /></a> Urania เทพีแห่งโหราศาสตร์ (Astronomy) มีสัญลักษณ์ คือ ลูกโลกแห่งสวรรค์ (Celestial globe) </div><div></div><div><span style="font-size:130%;">รูปเทพีองค์อื่นๆที่ผู้เขียนกำลังศึกษาและเปรียบเทียบลักษณะทางประติมานวิทยา<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPmmh71YJ7dU7P_FnoH-r4l7N4SDOZJD27_4SnfmVmdioMcMnyPnn6FcWPaIZSOaasmtm_AHkRu3luRAUaLHlBMKF6E9X4SiPYm6vBbkCfJ85TzCTY0qj9UZaWkDqAV1ceDng620NO2fKI/s1600/IMG_1460.1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554562230952220690" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 96px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPmmh71YJ7dU7P_FnoH-r4l7N4SDOZJD27_4SnfmVmdioMcMnyPnn6FcWPaIZSOaasmtm_AHkRu3luRAUaLHlBMKF6E9X4SiPYm6vBbkCfJ85TzCTY0qj9UZaWkDqAV1ceDng620NO2fKI/s320/IMG_1460.1.JPG" border="0" /></a> ประติมากรรมหนึ่งใน 9 เทพีแห่งศิลปวิทยาการที่ตึกสันติไมตรี</div></span></div><div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFtRVAhS7Zch5cV-OCnR-CrLAcm8fqLhAh3e_v7H0s3_WHtu_L1B2nWXDuyIXJdzwIJChsIxSnXs85aU-Sm4YynRf0qhK27uTkmjY3_w9z3vnRVZX0dtlKw7DKgZKkOWHCYUyae_u-n0zi/s1600/IMG_1554.1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554562001570176418" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 121px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFtRVAhS7Zch5cV-OCnR-CrLAcm8fqLhAh3e_v7H0s3_WHtu_L1B2nWXDuyIXJdzwIJChsIxSnXs85aU-Sm4YynRf0qhK27uTkmjY3_w9z3vnRVZX0dtlKw7DKgZKkOWHCYUyae_u-n0zi/s320/IMG_1554.1.JPG" border="0" /></a><br />ประติมากรรม1 ใน 9 เทพีแห่งศิลปวิทยาการที่ตึกสันติไมตรี<br /></div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554561926948435890" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 109px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhj2C9rYuYWeYQBFse4D7nmJV0XGXPmxclPE-WiVPT2LhYIoizqrUzi3VOAQU7c7byof5capnMVpgPS_QwA0cu1oOSm_ndMOpN81i2C9Ha7C7aEnuARGD4ZaaPqMdx2p-A889umlOvg49uO/s320/IMG_1553.1.JPG" border="0" /> ประติมากรรม 1ใน9 ของเทพีแห่งศิลปวิทยาการ<br /></div><div><div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgt8DSJ5trHtEzbuJJyR-2OgPipM5S8Yjj-2INZcmJlPSOiZ16Zfl9iRY_l10qDkg0CG4cxo0T_3AI9ysWcphfts7bjK8dFdmqTR6O3agHTC46CKsJfbKimbQ9b-s2JarJydokkOgP4y-bI/s1600/IMG_1552.1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554561805576539090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 182px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgt8DSJ5trHtEzbuJJyR-2OgPipM5S8Yjj-2INZcmJlPSOiZ16Zfl9iRY_l10qDkg0CG4cxo0T_3AI9ysWcphfts7bjK8dFdmqTR6O3agHTC46CKsJfbKimbQ9b-s2JarJydokkOgP4y-bI/s320/IMG_1552.1.JPG" border="0" /></a></div><div>ประติมากรรม1ใน9ของ เทพีแห่งศิลปวิทยาการ</div><div></div><div><span style="font-size:130%;">ภาพลายเส้นประติมากรรมต้นแบบเทพีองค์อื่นซึ่งนำมาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบ</span><br /></div></div></div><div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEABXE1JtXFpLNdAfS6FiLX5mBElMvUncy0_bz4du33A6EzZ-6zZBHDziC2WKeY12CLOw3VyjBaervBeeoeQU2wj-wb_BQstwghPDEC6cgnO35enjuFvAVpu03QoC_fv8pZdkPRM8wZK8J/s1600/1.clio+history+scroll.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557848758682658" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 75px; CURSOR: hand; HEIGHT: 235px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEABXE1JtXFpLNdAfS6FiLX5mBElMvUncy0_bz4du33A6EzZ-6zZBHDziC2WKeY12CLOw3VyjBaervBeeoeQU2wj-wb_BQstwghPDEC6cgnO35enjuFvAVpu03QoC_fv8pZdkPRM8wZK8J/s320/1.clio+history+scroll.png" border="0" /></a> คลีโอ เทพีแห่งความรอบรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ สัญลักษณ์ คือ ม้วนหนังสือ (Scroll)<br /><br /><div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9K9nhQ-FTt5gSLB-PR8gGbuHQoRKwEKhI-y7QteezagsvWJk3l6a9CITffJyZqmrtVOjVm7B1Qm9xT2m9p81Yb6oOjnrXT1Yqc3oQ65uKs_jPw6fUbckrz1yySVxPuIGiCLCbjc882p0U/s1600/3.Erato%252CErotic+Poetry%252CMaller+lyre.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557726973086578" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 88px; CURSOR: hand; HEIGHT: 235px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9K9nhQ-FTt5gSLB-PR8gGbuHQoRKwEKhI-y7QteezagsvWJk3l6a9CITffJyZqmrtVOjVm7B1Qm9xT2m9p81Yb6oOjnrXT1Yqc3oQ65uKs_jPw6fUbckrz1yySVxPuIGiCLCbjc882p0U/s320/3.Erato%252CErotic+Poetry%252CMaller+lyre.png" border="0" /></a>Erato เทพีแห่งเรื่องโคลงรักใคร่รัญจวนใจ(Erotic Poetry) สัญลักษณ์คือ พิณมอลเลอร์ (Maller lyre)<br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfKHhiWa8Gu23sNFX_w0-T5SSrxVPmYyC2U5s4Q_VDU6rzl224JCzXiGslMR8S6sOhxVo45cQtI85QHsIZRPvF9hisPaAHABCNOed4xQCKEn3kye0fyXnwyVRWSp5Z78_DFHVrq3Bnd1kg/s1600/4.Euterpe%252CLyrical+Poetry%252CDouble+flute.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557657306957554" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 118px; CURSOR: hand; HEIGHT: 209px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfKHhiWa8Gu23sNFX_w0-T5SSrxVPmYyC2U5s4Q_VDU6rzl224JCzXiGslMR8S6sOhxVo45cQtI85QHsIZRPvF9hisPaAHABCNOed4xQCKEn3kye0fyXnwyVRWSp5Z78_DFHVrq3Bnd1kg/s320/4.Euterpe%252CLyrical+Poetry%252CDouble+flute.png" border="0" /></a> Euterpe เทพีแห่งโคลงเพลง (Lyrical Poetry) สัญลักษณ์ คือ ขลุ่ยคู่ (Double flute)<br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHkM7coHlFjPI5-4Hd9iHZBvFyG8-jTjm3EavyvrhBqAzYkKlcSvLU1s0F8Z701XHDrHXzc53LrPZHrgh10xyQfhCr2TpIZrvZlGmKZ1S6LCXmIG4mdE0M9uQugW85N2_qMravQhaVFhUM/s1600/5.Polyhymnia%252CSacred+Song%252CVeiled+and+pensive.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557592089644226" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 122px; CURSOR: hand; HEIGHT: 231px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHkM7coHlFjPI5-4Hd9iHZBvFyG8-jTjm3EavyvrhBqAzYkKlcSvLU1s0F8Z701XHDrHXzc53LrPZHrgh10xyQfhCr2TpIZrvZlGmKZ1S6LCXmIG4mdE0M9uQugW85N2_qMravQhaVFhUM/s320/5.Polyhymnia%252CSacred+Song%252CVeiled+and+pensive.png" border="0" /></a>Polyhymnia เทพีแห่งเพลงบวงสรวง (Sacred Song) ลักษณะเด่น คือ การนุ่งห่มแบบมิดชิด(Veiled and pensive)<br /></div><div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioosm3cNezr9_1h1UBHrSxDZpG5Z8mQkZ7PR0joGGx5USEJ4t5-zpaCOA2IdDmT5l5-2gv6iOt7HHm_JTkJwxIQ1Z4CH0dmdKL6lAfzt9M8J3D8lDMg-rxfGGb1T0XSIAC_hd5cgrGHNXj/s1600/6.Calliope%252CEpic+Poetry%252CWax+tablet.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557540967030146" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 127px; CURSOR: hand; HEIGHT: 225px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioosm3cNezr9_1h1UBHrSxDZpG5Z8mQkZ7PR0joGGx5USEJ4t5-zpaCOA2IdDmT5l5-2gv6iOt7HHm_JTkJwxIQ1Z4CH0dmdKL6lAfzt9M8J3D8lDMg-rxfGGb1T0XSIAC_hd5cgrGHNXj/s320/6.Calliope%252CEpic+Poetry%252CWax+tablet.png" border="0" /></a> Calliope เทพีแห่งโคลงมหากาพย์ (Epic Poetry) สัญลักษณ์คือ เชิงเทียน(Wax table)<br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqufUFAMfdoP20PngovLgN4SBWeiyhQKQBtPVFZTBdKwp3ubBq4osLP-g_kKB-rX_g7yUUwJVugXERps7q17hGLQuFv3xDW8dmEidSKMfhJ3my4oMFoWBumCPz78MlRGYT-eWkMpmMme72/s1600/7.Terpsichore%252CDance%252CLyre.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557456410110034" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 128px; CURSOR: hand; HEIGHT: 213px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqufUFAMfdoP20PngovLgN4SBWeiyhQKQBtPVFZTBdKwp3ubBq4osLP-g_kKB-rX_g7yUUwJVugXERps7q17hGLQuFv3xDW8dmEidSKMfhJ3my4oMFoWBumCPz78MlRGYT-eWkMpmMme72/s320/7.Terpsichore%252CDance%252CLyre.png" border="0" /></a>Terpsichore เทพีแห่งการเต้นรำ (Dance) สัญลักษณ์ คือ พิณ (Lyre)<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyQGnwdfGeook_uE56ONT3c9CNtt0BraWnZy1XNckFtj_u3rXYi_DWyXtNWZturpkxEML9nqa07PqsZ9MBUGbqj7JXn1PtPRT51mjIEUq379sJrmi9bNKUwz2DVVgLFLGg3IVz2hoWhcFv/s1600/9.Melpomene%252CTragedy%252CTragic+mask%252C+ivy+wreath.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557303793335906" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 91px; CURSOR: hand; HEIGHT: 224px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyQGnwdfGeook_uE56ONT3c9CNtt0BraWnZy1XNckFtj_u3rXYi_DWyXtNWZturpkxEML9nqa07PqsZ9MBUGbqj7JXn1PtPRT51mjIEUq379sJrmi9bNKUwz2DVVgLFLGg3IVz2hoWhcFv/s320/9.Melpomene%252CTragedy%252CTragic+mask%252C+ivy+wreath.png" border="0" /></a>Melpomene เทพีแห่งเรื่องเศร้า (Tragedy) สัญลักษณ์ คือ สวมหน้ากากที่แสดงใบหน้าเศร้าหมองและมาลัยเถาไอวี่ (Tragic mask, ivy )wreath)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsznLC8zqlfcwRyESg_IKI7CQu1QIGIajNatiORKMND14LZyHVxSgOZn1c_7NjjeQo25FyikCmd7fJzHM_6xAYz_Un8BqaJCETeb-5xF_JS8NBXddUDXP1XzH5cG5JE2xhJpQLry7GEY2m/s1600/a+9+muses.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5554557919254669154" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 153px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsznLC8zqlfcwRyESg_IKI7CQu1QIGIajNatiORKMND14LZyHVxSgOZn1c_7NjjeQo25FyikCmd7fJzHM_6xAYz_Un8BqaJCETeb-5xF_JS8NBXddUDXP1XzH5cG5JE2xhJpQLry7GEY2m/s320/a+9+muses.png" border="0" /></a> ภายลายเส้นประติมากรรมต้นแบบจากเรื่องเทพปกรณัมของกรีก<br /><a class="internal" title="Enlarge" href="http://en.wikipedia.org/wiki/File:Muses_sarcophagus_Louvre_MR880.jpg"></a>"Muses Sarcophagus" shows nine Muses and their attributes, marble, early 2nd century AD, Via Ostiense - Louvre </div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-31512479399584515752010-12-18T01:37:00.000-08:002010-12-20T02:19:15.687-08:00ความเรียงเรื่อง "ฮั้วดีที่สุด" ของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชนชาติกวางสี<span style="font-size:130%;">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><div align="justify">เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2553 ผู้เขียนมอบหมายให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวจีนจากมหาวิทยาลัยแห่งชนชาติกวางสี มณฑลกวางสี ที่มาศึกษาในภาควิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับ “มหาขันทีเจิ้งเหอ” เพื่อนำเสนอหน้าชั้นเรียนและทำบันทึกเป็นความเรียงย่อๆ เผยแพร่ในเวบบล็อกจัดการความรู้ (KM Web Blog) วิชา ธุรกิจการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว (HT306) ของแต่ละคน<br /><br />นักศึกษาจีนคนหนึ่งชื่อ น.ส.โต้หยินผิง เสนอความเรียง ชื่อ “ฮั้ว ดีที่สุด” โดยวิเคราะห์ความหมายรากศัพท์ที่ผสมผสานอยู่ในชื่อของ “มหาขันทีเจิ้งเหอ” เชื่อมโยงกับคำสอนในลัทธิขงจื้อ ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า คำว่า “เหอ” ในชื่อของ “เจิ้งเหอ” ตรงกับเสียง “ ฮั้ว” ในภาษาแต้จิ๋ว แปลว่า “การสมานฉันท์” ซึ่งตรงกับอุดมการณ์ 1 ใน 5 ของการพัฒนาประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ยังแปลว่า “ปาก” หมายถึง “การมีสิทธิ์ที่จะพูด” ส่วนคำว่า “เจิ้ง” มีเสียงพ้องกับชื่อคัมภีร์แห่งทางสายกลาง(โจงยง)<br /><br />นางสาวโต้หยินผิงสรุปว่า “โจง” แปลว่า ธรรมชาติแห่งชีวิต เมื่อดำรงอยู่อย่างถูกกาลเทศะก็เรียกว่า เหอ แปลว่า สมานฉันท์กลมกลืน<br /><br />โจง คือ ฐานสำคัญของฟ้าดิน เหอ คือ หลักพึงปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติจนกลมกลืนกับธรรมชาติเป็นอย่างดีแล้ว ฟ้าและดินก็จะอยู่ในตำแหน่งของตน สรรพสิ่งก็จะเจริญเติบโตตามธรรมชาติ<br /><br />แนวคิดในความเรียงเรื่อง “ฮั้วดีที่สุด” นี้ นอกจากจะยึดหลักความสมดุลในธรรมชาติและวัฒนธรรมแบบ “หยิน-หยาง” แล้ว ยังสอดคล้องกับหลักพระพุทธศาสนาและศาสตร์แห่งลมและฟ้าในตำราฮวงจุ้ยด้วย<br /><br />ในขณะที่สังคมจีนถือว่าการ “ฮั้ว” กัน เป็นเรื่องดีทั้งเชิงสังคมและเชิงธุรกิจ สังคมการเมืองไทยกลับต่อต้านการฮั้วทั้งเชิงการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม โดยถือว่าเป็นสิ่งเลวร้าย<br /><br />ดังนั้น ท่ามกลาง “ความไม่นิ่ง”ทางการเมืองของไทย และท่ามกลาวการกู่ก้องร้องหาความปรองดองและสมานฉันท์ของคนในชาติกันอยู่ปาวๆของนักการเมืองทั้ง 3 ฝ่าย (รัฐบาล เหลืองและแดง) หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก้าวออกมาจาก “จุดปะทะวงใน” และมองย้อนกลับเข้าไปในสมรภูมิแห่งความขัดแย้งทางความคิดและการเมืองเสียบ้างสักระยะหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้ได้คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างความสมานฉันท์ที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงขึ้นเสียทีในบ้านเมืองเรา ตามแนวคิดของการ “ฮั้ว” กัน ดังเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วในสังคมจีน</div><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">“.....อย่าดึงดื้อ ถือเด่นเป็นคนพาลในสันดานจงเป็นชนคนดี...”</span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a><br /><br /><span style="font-size:180%;">เนื้อหาในความเรียงสั้นๆ เรื่อง “ฮั้วดีที่สุด” ของนางสาวโต้หยินผิง</span></div><span style="font-size:130%;"></span><div align="justify"><br />ขงจื๊อกล่าวว่า "ประโยชน์แห่งนิติธรรมเนียนนั้น ให้ถือหลักแห่งการฮั้ว(สมานฉันท์) เป็นสำคัญ" (จากวาทวิจารณ์ขงจื้อ หมวด ๑) โดยนับแต่ยุคขงจื้อเป็นต้นมา ชาวจีนก็ได้ให้ความหมายของคำว่า ”和”หรือ“ ฮั้ว”(อ่านเป็นเสียงแต้จี๋ว)ในความหมายที่ดี และคำว่า “和谐”ซึ่งหมายถึง การสมานฉันท์และความกลมกลืนก็ได้กลายเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของชาวจีน ปัจจุบัน “การสร้างสังคมแห่งความสมานฉันท์ในระบบสังคมนิยม ” ยังถือเป็นหนึ่งในห้าแห่งการปฏิบัติเพื่อยกระดับการบริหารประเทศโดยทั่วหน้าอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย<br /><br />มีผู้รู้วิเคราะห์ คำว่า “和 -ฮั๊ว ” ประกอบด้วยคำว่า “ต้นข้าว ” และ “ปาก ” หมายความว่า “ทุกๆคนมีอันจะกิน ” ส่วนคำว่า “ 谐” ประกอบด้วยคำว่า “พูด ”และ “ทั้งหลาย ” หมายความว่า “ท่านทั้งหลายล้วนมีสิทธิ์พูด ” ซึ่งเป็นการอธิบายที่สร้างสรรค์มาก แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่คนเราใฝ่ฝันและพยายามแสวงหานั้น คือ สภาพสังคมสมานฉันท์นั่นเอง</div><div align="justify"><br />“โจงยง ” หรือ “คำภีร์แห่งทางสายกลาง ” กล่าวไว้ว่า “ก่อนการปรากฏแห่งอารมณ์ ได้แก่ ปิติยินดี โมโหโทโส โศกเศร้าและสุขสบายนั้น โจง ( แปลว่า ธรรมชาติแห่งชีวิต) เมื่อปรากฏได้อย่างเหมาะสมถูกกาลเทศะ เรียกว่า เหอ (แปลว่า สมานฉันท์กลมกลืน) โจง คือ ฐานสำคัญของฟ้าดิน เหอ คือ หลักการซึ่งทุกชีวิตพึงปฏิบัติ เมื่อสามารถปฏิบัติจนบรรลุถึงขึ้นสมัครสมานกลมกลืนกับธรรมชาติเป็นอย่างดีแล้ว ฟ้าและดินต่างก็จะอยู่ในตำแหน่งของตน สรรพสิ่งก็จะเจริญเติบโตตามธรรมชาติ” การให้อารมณ์ทั้งสี่ดังกล่าวปรากฏให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อมอย่างลงตัว ถือว่าเป็นการให้ความเคารพต่อกฎแห่งชีวิตทั้งปวง ทั้งยังเป็นการให้ความเคารพต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมด้วย</div><div align="justify"><br />คำผสมที่ประกอบด้วยคำว่า “เหอ ” มีจำนวนมากเพื่อแสดงความหมายที่ดี เช่น สันติปรองดองมีความสุข สนิทสนมกลมเกลียว ท่าทีอ่อนโยนสุขภาพอ่อนโยน เมตตาและอ่อนโยน เหมาะสมได้สัดส่วนและความอบอุ่น เป็นต้น</div><div align="justify"><br />“和 ”ในภาษาแต้จิ๋วอ่านว่า “ฮั้ว ”โดยไม่ทราบว่ามีการนำมาใช้ในภาษาไทยเมื่อใด พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้คำนิยาม คำว่า“ฮั้ว ” ดังนี้ ...................<br />ส่วนในเวบไชต์ภาษาไทยอธิบายคำ “ฮั้ว” ไว้ว่า การฮั้ว คือ การทำข้อตกลงในทางลับระหว่างบริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไป ที่ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกันหรือมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ทั้งสองบริษัทได้ประโยชน์มากกว่าบริษัทอื่น ๆ หรือมากกว่าที่ควรจะได้รับ การฮั้วกันเกิดขึ้นในธุรกิจทุกระบบไม่ว่าเล็กหรือใหญ่<br /><br /><span style="font-size:130%;">การอ้างอิง</span><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> เนื้อร้องตอนหนึ่งในเพลง “มาลัยใบจันทร์” เนื้อร้องและทำนองโดย รอ.พิเศษ สังข์สุวรรณ อดีตศิลปินนักแต่งเพลง และผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ในทีมงานของท่านมุ้ย</div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-82120142602814034882010-12-16T19:12:00.000-08:002010-12-16T21:33:48.607-08:00(ร่าง)สำรวจวัดเตว็ด ประมาณ พ.ย. 2553สำรวจโดย<br />พิทยะ ศรีวัฒนสาร<br />(ขอขอบคุณ Mr. Patrick Dumont จาก <a onmousedown="'UntrustedLink.bootstrap($(this)," href="http://www.ayutthaya-history.com/" target="_blank" rel="nofollow">www.ayutthaya-history.com</a> ที่เป็นผู้นำทางในการสำรวจครั้งนี้)<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551489358961307810" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8kOnLrVU3EprShktkt5ezdCeYMwBMLYS78qZwIdXQOHmAcGK2w-3xMqn9ThIdVtGZ5Pf4nyFxAPX0UVlNDEKqzXVRnZunrLL1w2ARTqlfJ1xwMwMYGqppxr1c402q_784K_4Nx64cKjQR/s320/IMG_3042.JPG" border="0" /> พื้นที่เนินโบราณสถานในวัดเตว็ด<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551511581512087762" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-2u7do0RyYnkacZ9nR3JCSb2Ai0EBAZtOf8Ah3MxtbDaakZPqunFzP_wPSIVDANEMOHhMPQfpc_XmYYHQezUzPJg378T9PayYp4wlASyuLrUN0te4WzUH6iOMmGitd1Vqs1t-wEnUfXyG/s320/IMG_3027.JPG" border="0" /><br />พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยต้นข่อย ตะโกและวัชพืชหลายชนิด<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2enpYuoUnKV0Fg_eAyvbT3BJmzznJmr4qx9-ka2jLozp4xLFNxsdTKpg_Kv8aDnEyAwu4PJrfuEFqF26jToYT1XR3DWRuhfq-GGeK5qvzSFroGVI8uU_xcFPsoRQ9zZHfIp01SLcdkLLk/s1600/IMG_3026.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551512325150180146" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2enpYuoUnKV0Fg_eAyvbT3BJmzznJmr4qx9-ka2jLozp4xLFNxsdTKpg_Kv8aDnEyAwu4PJrfuEFqF26jToYT1XR3DWRuhfq-GGeK5qvzSFroGVI8uU_xcFPsoRQ9zZHfIp01SLcdkLLk/s320/IMG_3026.JPG" border="0" /></a> หน้าบันวัดเตว็ดมองจากด้านนอก<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-RTOmLJ_GgmaivXJjC2q8j_Sk0QAJG6HwluARNXvEctaLF2-2hRsusWh7B5U6Zc3-4I0SfZZ90tVakuS4snwv9Tt1vsan1RcgQA_Nf8t7zx5a8yg4BTJ8sqan05p8KoKr6CdJV78WJcI4/s1600/IMG_3025.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551512215215068466" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-RTOmLJ_GgmaivXJjC2q8j_Sk0QAJG6HwluARNXvEctaLF2-2hRsusWh7B5U6Zc3-4I0SfZZ90tVakuS4snwv9Tt1vsan1RcgQA_Nf8t7zx5a8yg4BTJ8sqan05p8KoKr6CdJV78WJcI4/s320/IMG_3025.JPG" border="0" /></a> มองจากด้านนอก<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551485536985166818" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwW73gGAyB6ZbNF1AKXztQ2A5DqaXnWmAcht0nZBmse_wTcuZwap8YSGI0PdMWb7S8VUXAsW379_f4yNX5p53xyFVgO50PFcKFNI7fpQTX4u_JQq1I9aFUCDZuxMsWOzGrKRBO7SzvHFxr/s320/IMG_3039.JPG" border="0" /> ลวดลายที่หน้าบันวัดเตว็ด<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551510640310979714" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRoHebaq573f0VMzFOkBO5a2lUNoxaI1DbOUorVdrFZMDfJYkcN3lIZgzbdu38sKhMVg0xHsMWxSDwIniiTqUsrE5YB2H6V5BhiaGnvm40PKxUAxGnr_dr1fH5fvUO3hJuU0I4mZQJCm5j/s320/IMG_3038.JPG" border="0" />ช่องหน้าต่างตรงกลางถัดลงมาจากกรอบหน้าบัน<br /><div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551510907229936690" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6C2RyOtXF2xFGZEDPYxZmGLAAGRYUCmoOXldVuIUu_WwjPyo5FpORYG4Hu-R-BFrheJ3iiKMNQB-I5Dv6_V5OnbRHBMwYB-pyHWSH0LGS5_50JzWmfZVmNFWvGx0_T6h9iPDbCKSbd8eM/s320/IMG_3044.JPG" border="0" /> ลวดลายคล้ายใบผักกูด(ลายใบเฟิร์น-fern) ซึ่งอาจารย์ ประยูร อุลุชาฏะ เคยเสนอว่าเป็นลวดลายแบบตะวันตก<br /><div><div><div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicpJsHqqoBM6JCtknOmPGoj0kgA9nlxeDMHqKWVw_IYLkCD3Vh27DLFWOUY411Pmy2tPwkzjv_4CrdU0Outy35cIQXXxOeKB11cyEqDi4fw7m3r987cVhMCpmI15VhKjb4HaHOBwPE1n2r/s1600/IMG_3035.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551511317999188002" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicpJsHqqoBM6JCtknOmPGoj0kgA9nlxeDMHqKWVw_IYLkCD3Vh27DLFWOUY411Pmy2tPwkzjv_4CrdU0Outy35cIQXXxOeKB11cyEqDi4fw7m3r987cVhMCpmI15VhKjb4HaHOBwPE1n2r/s320/IMG_3035.JPG" border="0" /></a> ด้านใน</div><div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgiFNR5TGRbe1-quSyxnYvNY1h08a9LVMmibcd2czy-7ZVG41HPl8opcSfPmbKtEpLKAEyu3TIlGOajTNcmljAdgn4OY4dK98n8tEHwB2Q7Xz2EnrUdj2Bc_ZnQ7MAPiYvUOekgTs9wcEp9/s1600/IMG_3034.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551511222941035858" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgiFNR5TGRbe1-quSyxnYvNY1h08a9LVMmibcd2czy-7ZVG41HPl8opcSfPmbKtEpLKAEyu3TIlGOajTNcmljAdgn4OY4dK98n8tEHwB2Q7Xz2EnrUdj2Bc_ZnQ7MAPiYvUOekgTs9wcEp9/s320/IMG_3034.JPG" border="0" /></a> ด้านในมีคูหาขนาดเล็กทรงกลีบบัวเรียกลำดับตามแนวของทรงหลังคา</div><div> </div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551486796195178146" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgcFxt-pgqXMLe7YssHjeUIWjG7kY1RkS3fntL0PyFPfM77G3Th2I7rQdrvOVvQyqeccSxktrZYUkhoJjnPm_oZ14xjDN2SjyyYM4Fss4Eu-AZFlMA9vrPxLlEp__q8QF30prHu8JiViCQ_/s320/IMG_3043.JPG" border="0" /><br />อีกมุมหนึ่ง<br /> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551512102207934898" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfL43zRWfKfDxy5RH0UuEpZWrJnWpy1U-FZOwF0E-I_D1Pr67O2rf_vfNv_CLF0aBOuB7BPUbvNi_xPwtBhneldHvit6bxIL3ITZsveTXF66gx84NEC6xZATMLEkDxFAAPYQyv-2S5vecq/s320/IMG_3033.JPG" border="0" />รูปนี้ถ่ายก่อนวิเคราะห์ชิ้นส่วนประติมากรรมหินทราย เห็นทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นชิ้นส่วนพระนลาฏพระพุทธรูป<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0xF-oWa9K7XfUbjkhxrmYd6kzRXR9r2zeuPSo3HHUSue_0KaW8HtdXDopJ2Pf0EP7ySIXnv-Xeq4NbBog7AyD0b2zOvfN3w9qWA6uTx6fKNGczC11SY6Jf7D-VbSXy0p02PxLuQSLKHkd/s1600/IMG_3036.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551511071577747314" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0xF-oWa9K7XfUbjkhxrmYd6kzRXR9r2zeuPSo3HHUSue_0KaW8HtdXDopJ2Pf0EP7ySIXnv-Xeq4NbBog7AyD0b2zOvfN3w9qWA6uTx6fKNGczC11SY6Jf7D-VbSXy0p02PxLuQSLKHkd/s320/IMG_3036.JPG" border="0" /></a> เมื่อศึกษาโดยละเอียดอีกครั้งจึงพบว่าเป็นชิ้นส่วนบั้นพระองค์ของพระพุทธรูปหินทรายขนาดหน้าตักประมาณ 15 นิ้ว<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551511935035416738" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPvb6Fc1Q0839-7uuphCdmA_gkMSUL7reR-1kQF_tlJG186K2Jt6S4g-A6LAaWbS92xD2g4O2ocGNaz02WAPYSUWQQr78l58scDSkzo0shvHiHgIfgRmtlEcChOy-kw0g6RRx6rVq0Bjl1/s320/IMG_3032.JPG" border="0" /><br />บน ขอบปากอ่างดินเผาเนื้อแกร่ง ส่วนที่หนุนด้านล่างเป็นชิ้นส้วนท่อนพระหัตถ์ของพระพุทธรูปหินทราย<br /><div><div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEim7Rm2yD0kL7T6MQyOH3DqgcjQHUuydDOqtbnwBCoELsjH-aMMdgp-Naj57_76K_CdUj3W2bs6lz5HBKlEfF19MU4fvoIYgl-S3nC0AcQBXckH208hKIGmwETXkgxpTcg7px1VQwJTfdX5/s1600/IMG_3037.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5551509804658248066" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEim7Rm2yD0kL7T6MQyOH3DqgcjQHUuydDOqtbnwBCoELsjH-aMMdgp-Naj57_76K_CdUj3W2bs6lz5HBKlEfF19MU4fvoIYgl-S3nC0AcQBXckH208hKIGmwETXkgxpTcg7px1VQwJTfdX5/s320/IMG_3037.JPG" border="0" /></a></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div><br />ชิ้นส่วนพระเพลาขวาของพระพุทธรูปปูนปั้นหน้าตักกว้างประมาณ 15-20 นิ้วพิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-58692542394591509952010-12-13T14:48:00.000-08:002010-12-23T01:02:48.445-08:00อนุสรณ์สถานแห่งชาติ: ภาพจิตรกรรมบันทึกประวัติศาสตร์และปรากฏการณ์ทางสังคม<div><span style="font-size:130%;">โดย </span><br /><span style="font-size:130%;">พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span><br /><span style="font-size:130%;">(ขอขอบคุณ คุณปัญญา แก้วธรรม ภัณฑารักษ์ กองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร กรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยผู้ให้ข้อมูล)</span><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550305699246017090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUoYJUbYnn9uRgHdOTpeWZwJU32SmXN60TPPxhxX3wYqa5eOEzsLk7zhcDgH41fEjC09Cq6xahIl6Zk6GgUIpjwVn3z-PM0EhvcnG3duHGcCRZ2oLSwFNjKs8UYKBOHNP78D-HtncXotwj/s320/Picture+198.jpg" border="0" /> อนุสรณ์สถานแห่งชาติ(National Memorial) เป็นหน่วยงานสังกัดกองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร กรมยุทธศึกษาทหาร(เดิม คือ กรมการศึกษาวิจัย กองบัญชาการทหารสูงสุด) กองบัญชาการกองทัพไทย<br /><br /><br /><div align="justify">ภารกิจของกองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร คือ ศึกษาวิจัยและรวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์การรบของทหารไทยในการสู้รบและสงครามสำคัญๆ เพื่อประโยชน์ในด้านการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ ผลงานสำคัญที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่จัดทำโดยคณะกรรมการอดีตนายทหารผู้มีประสบการณ์ในการรบโดยตรงและนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายสถาบัน ได้แก่ หนังสือประวัติศาสตร์การรบในกรณีพิพาทอินโดจีน สงครามมหาเอเชียบูรพา สงครามเกาหหลี และสงครามเวียดนาม</div><br /><br /><p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCPPJzGm7uJoqiQ2YHLVGG8L5ERljmLBD9-EXAhVgZI8HFilyQgIlFuSu32XK29cle1L0l-vTPCFiOUrWwPOEtj0LU7tgjHGbvYuOxqb1i_rmycoak52zU5B6j9AmhCLTfVmoDCDF0435_/s1600/IMG_3401.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550795656261859138" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCPPJzGm7uJoqiQ2YHLVGG8L5ERljmLBD9-EXAhVgZI8HFilyQgIlFuSu32XK29cle1L0l-vTPCFiOUrWwPOEtj0LU7tgjHGbvYuOxqb1i_rmycoak52zU5B6j9AmhCLTfVmoDCDF0435_/s320/IMG_3401.JPG" border="0" /></a> อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เกิดขึ้นจากดำริของพลเอกสายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด(พ.ศ.2525) ว่า รัฐบาลเคยสร้างอนุสาวรีย์บรรจุอัฐิของผู้เสียชีวิตในสงครามต่างๆ เช่น อนุสาวรีย์ทหารอาสา (สงครามโลกครั้งที่ 1) อนุสาวรีย์พทักษ์รัฐธรรมนูญ(เหตุการณ์ปราบกบฎบวรเดช) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ( กรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างไทย-ฝรั่งเศส และสงครามโลกครั้งที่ 2) แต่ทหาร ตำรวจและพลเรือนเสียชีวิตจากสงครามและการสู้รบอีกหลายครั้ง เช่น สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม การสู้รบเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้าย โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพทุกปี แต่อัฐิของผู้เสียชีวิตก็ยังมิได้ถูกนำไปบรรจุยังอนุสรณ์อย่างสมเกียรติ กระทรวงกลาโหมจึงได้จัดทำโครงการก่อสร้างอาคารอนุสรณ์สถานแห่งชาติขึ้น </p><br /><p>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า "อนุสรณ์สถานแห่งชาติ" และเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่20 กรกฎาคม พ.ศ.2526 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2537 (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Wikipediaเป็นอย่างยิ่ง)</p><br /><p>อนุสรณ์สถานแห่งชาติประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ส่วน คือ ลานประกอบพิธี อาคารประกอบพิธี อาคารประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร อาคารภาพปริทัศน์ และภูมิสถาปัตยกรรมและพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง</p><br /><p>ภาพจิตรกรรมบันทึกประวัติศาสตร์และสะท้อมสังคมวัฒนธรรมร่วมสมัยถูกจัดแสดงอยู่ภายในอาคารภาพปริทัศน์ ซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยม ผนังภายในอาคารโค้งเป็นวงกลม มีจิตรกรรมฝาผนังขนาดสูง ๔.๓๐ เมตร ยาว ๙๐ เมตร ฝีมือการออกแบบของศาสตราจารย์ ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ กับคณะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากรและมหาวิทยาลัยรังสิต แสดงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งความกล้าหาญเสียสละของบรรพบุรุษที่อุทิศตนเพื่อรักษาเอกราชของชาติ</p><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550792838323772226" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOaV7yxcZ9WIgcG1Oen-yhDjjFVSEG7eh9YhkZqnvJDYF3U-S7PI5zDFSR4bSz93xHk72VxCz3PGXxIuYHuKsGO7SveKnmHnaIwuByOwfGh7lPIE86XTYyK62bqma39vPnk44lqEj0ljNT/s320/IMG_3412.JPG" border="0" /></p><br /><div><br /><div><br /><div><br /><div><br /><div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibXGQQQE1-IplELH19vPn6pE7au0aBme_rRZhw3rgDhHnVO6RB4h8f0klFAn4FpwFsigLpHLYM8xxKcRn-2FYP1fmXrAQXYK43ehayWhcusa5v1vEAyfzBwnsIVVRBy7Ydovb6WWfcSYcD/s1600/IMG_3413.JPG"><br /><div>พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่</div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794777044357858" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibXGQQQE1-IplELH19vPn6pE7au0aBme_rRZhw3rgDhHnVO6RB4h8f0klFAn4FpwFsigLpHLYM8xxKcRn-2FYP1fmXrAQXYK43ehayWhcusa5v1vEAyfzBwnsIVVRBy7Ydovb6WWfcSYcD/s320/IMG_3413.JPG" border="0" /></a>ศิลปินจำลองรูปเหมือนของ พล.อ.อ.วรนาถ อภิจารี แทนขุนนางผู้ใหญ่สมัยอยุธยาตอนต้น<br /></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgM64lYmOvAfAEB7esN8zv_AWTyZ4FUNNFLwNTP0rxeTuxbeBVXgyhKFUy2VnFN1Lz8cyRLixl8ZxMF9Wpvr0nPB02jHfje-kBhcGws0JSJl6Zi7wzKi3dcCmtvx6OEuWMOJnCRclSlNNxR/s1600/IMG_3414.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794683792964594" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgM64lYmOvAfAEB7esN8zv_AWTyZ4FUNNFLwNTP0rxeTuxbeBVXgyhKFUy2VnFN1Lz8cyRLixl8ZxMF9Wpvr0nPB02jHfje-kBhcGws0JSJl6Zi7wzKi3dcCmtvx6OEuWMOJnCRclSlNNxR/s320/IMG_3414.JPG" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcogbLQN6j01iKy2I9eCI3VL1TLsR8PbQUjYYzO5cBCVhw_E1c4IX-KrmDZU6fOPSvp-rgbI3L3I5ZUtQFERt3MzpcFN3EgOlz2xUjmsiFioL9dXvzcAxnJ5jNKDWfWnBNYefvo2nXLLUb/s1600/IMG_3414.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794585839109778" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcogbLQN6j01iKy2I9eCI3VL1TLsR8PbQUjYYzO5cBCVhw_E1c4IX-KrmDZU6fOPSvp-rgbI3L3I5ZUtQFERt3MzpcFN3EgOlz2xUjmsiFioL9dXvzcAxnJ5jNKDWfWnBNYefvo2nXLLUb/s320/IMG_3414.JPG" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbmEPbycnxe2tpsDL9qjZw9U3LH1kVs-bAhRwPk3dUd94kt5TkIZ8oECfh5A7QWGYMnsHRk0HvwR3I5yuDh1Pq4lhrg3cU3XK3h-L2XryqJwhfVEmNc_wKC_x698hzhSsEmvxsJhJhfBwQ/s1600/IMG_3415.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794479704534178" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbmEPbycnxe2tpsDL9qjZw9U3LH1kVs-bAhRwPk3dUd94kt5TkIZ8oECfh5A7QWGYMnsHRk0HvwR3I5yuDh1Pq4lhrg3cU3XK3h-L2XryqJwhfVEmNc_wKC_x698hzhSsEmvxsJhJhfBwQ/s320/IMG_3415.JPG" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_Pqr2ghDnlP_WYkFuY99ku6V5OPNsB6s73aaME5P7ONkj8KYuuz9M_wQZ0Xr0-2eey2bM4A8oxsWouQBniUyTZd-fkCT0CsT1S3F7D3owiV7h_1NgbgHO0MeaN3gd3FE-JoncJzj4mdH1/s1600/IMG_3416.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794380407811378" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_Pqr2ghDnlP_WYkFuY99ku6V5OPNsB6s73aaME5P7ONkj8KYuuz9M_wQZ0Xr0-2eey2bM4A8oxsWouQBniUyTZd-fkCT0CsT1S3F7D3owiV7h_1NgbgHO0MeaN3gd3FE-JoncJzj4mdH1/s320/IMG_3416.JPG" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7J3NP5Lt9Wsea-Dd4f5hx6yAywG_5Qzvwj_kDXtyUYGESLw6qiPR_jROC6ldSoEzBtz8_fVadOmObmh7KGxNgfLgUEZa5O1q9YbMFtO9W_j2FvP8EQ5zGJfz8Ii6BT2Yel1ulqN45jMdD/s1600/IMG_3417.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794287771831090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7J3NP5Lt9Wsea-Dd4f5hx6yAywG_5Qzvwj_kDXtyUYGESLw6qiPR_jROC6ldSoEzBtz8_fVadOmObmh7KGxNgfLgUEZa5O1q9YbMFtO9W_j2FvP8EQ5zGJfz8Ii6BT2Yel1ulqN45jMdD/s320/IMG_3417.JPG" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhl8yPUnaBXPRTzdxre0fk-xLqXsaaPH_irVO88TYWS9X4ssB4BBKJDMEqkxuTQ2JjbXJkknUfZJgmuXUGWQCiaGv5r2IlZUaLaRfXtE8FMRZ0tgjbL_ycNOh9J8xvTc5UKQEFN4OM1doF0/s1600/IMG_3418.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794175536248754" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhl8yPUnaBXPRTzdxre0fk-xLqXsaaPH_irVO88TYWS9X4ssB4BBKJDMEqkxuTQ2JjbXJkknUfZJgmuXUGWQCiaGv5r2IlZUaLaRfXtE8FMRZ0tgjbL_ycNOh9J8xvTc5UKQEFN4OM1doF0/s320/IMG_3418.JPG" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjC7-qeqHweB8jFOxqr15xdoOJOKqpJNS9Qxp61PUfKQNuimZfTsMxDhCZJbQ-fceaa6LtbTkImLoPRM7reSXSM17YN2MTPrLYOiKwhzpPr1emIfOPhst6iSlqZcrvq-wLg5sg0wBSf7vD3/s1600/IMG_3419.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794082696356274" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjC7-qeqHweB8jFOxqr15xdoOJOKqpJNS9Qxp61PUfKQNuimZfTsMxDhCZJbQ-fceaa6LtbTkImLoPRM7reSXSM17YN2MTPrLYOiKwhzpPr1emIfOPhst6iSlqZcrvq-wLg5sg0wBSf7vD3/s320/IMG_3419.JPG" border="0" /></a> พระยาตากนำทหารไทย จีน โปรตุเกส(ตามหลักฐานของไทยและโปรตุเกส)หนีออกจากย่านวัดพิไชย ด้านตะวันออกของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา มุ่งหน้าสู่เมืองจันทบูรณ์(จันทบุรี)<br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzCvNYo6AjZvyphXSPMjQDvyanJCotlDXeToQT9JWBKdDOEsK7zWETEm7q6qaWigVeqzcqm-B7l9fcwS5h102-pLz3H3pvi-zl4jfyk6aZjXgRMsAXbvrc6cckfqk6OGryUYJQAG_KnMPm/s1600/IMG_3420.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550793986484282562" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzCvNYo6AjZvyphXSPMjQDvyanJCotlDXeToQT9JWBKdDOEsK7zWETEm7q6qaWigVeqzcqm-B7l9fcwS5h102-pLz3H3pvi-zl4jfyk6aZjXgRMsAXbvrc6cckfqk6OGryUYJQAG_KnMPm/s320/IMG_3420.JPG" border="0" /></a> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550793842138625746" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjubLs7EAIdU_8sCWUq5bPeJAwTom-cvLRy-0K1oU9FjNktWUSQyEmzW03QY2Tft-REsdRrTHCWRrrhb6VxXZe1nWgnH3pE3l2jCy0yIuEY5W-Esk3XpAGTMxITmXbhWlw30_HHyN2Y083v/s320/IMG_3421.JPG" border="0" /><br /><br /><div><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEANgtlutjW2oba5mcCTnr5WejxD6Xvo5LrwVyXsjaKrVCWKfXchEhQ-WJk95lff1NEaCXkaw8h0MXhm2SBLXy8ujArIgKAEj3ejNeDTQ5nf-5DjmbaITQqxPfZcX2Tm4GBKAFcBi3M-Cx/s1600/IMG_3422.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550793752930942130" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEANgtlutjW2oba5mcCTnr5WejxD6Xvo5LrwVyXsjaKrVCWKfXchEhQ-WJk95lff1NEaCXkaw8h0MXhm2SBLXy8ujArIgKAEj3ejNeDTQ5nf-5DjmbaITQqxPfZcX2Tm4GBKAFcBi3M-Cx/s320/IMG_3422.JPG" border="0" /></a> การสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSBSs_3__UDwjRuZKG1eUcZqh_HVR4D2yhonLACHrby2twixRnzZ5Au3ekvOZkHwlgoMuiY_ylWqUzBjYSl92vFwvjk8NXdMI6_v1LhI8YKckujRdb8wXqtmeomYjuE2qXYsCP3loyjcTD/s1600/IMG_3423.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550793358992393362" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSBSs_3__UDwjRuZKG1eUcZqh_HVR4D2yhonLACHrby2twixRnzZ5Au3ekvOZkHwlgoMuiY_ylWqUzBjYSl92vFwvjk8NXdMI6_v1LhI8YKckujRdb8wXqtmeomYjuE2qXYsCP3loyjcTD/s320/IMG_3423.JPG" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhx9koq2spkeDKXlHtVbOW426lmhUg89_Wv5k48YPln66pIFghOG4yMmrjr6GCY1k3cbfHQQdwpE54ehaWnxZlNIW2EBVh3yawi0wn3XKolJskLZcHjFWGtMf6TGXqgOsZZooE9oC8LR2vS/s1600/IMG_3424.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550793212225582594" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhx9koq2spkeDKXlHtVbOW426lmhUg89_Wv5k48YPln66pIFghOG4yMmrjr6GCY1k3cbfHQQdwpE54ehaWnxZlNIW2EBVh3yawi0wn3XKolJskLZcHjFWGtMf6TGXqgOsZZooE9oC8LR2vS/s320/IMG_3424.JPG" border="0" /></a><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKLadNLBU5hEptnQZ8T9Y6O6sSyGlsQJRy1nrVYgSaMRP8rVuKagHnMPLX1uX8GTxZnWdFM4S0dOMeKZsWHDC934997GECIfWvCXEbevwL3ab_AGJYhMBlkmj5PijRlAzX-8xHffg8_5Fq/s1600/IMG_3425.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550793120660499634" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKLadNLBU5hEptnQZ8T9Y6O6sSyGlsQJRy1nrVYgSaMRP8rVuKagHnMPLX1uX8GTxZnWdFM4S0dOMeKZsWHDC934997GECIfWvCXEbevwL3ab_AGJYhMBlkmj5PijRlAzX-8xHffg8_5Fq/s320/IMG_3425.JPG" border="0" /></a> ชีวิตประจำวันที่ท่าเรือ<br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXQXR7FF3hex7W54ri4EPHxQ2YLzYG9EeVc8ZQCQ7IRp-RAXz9e5pqHSHZy8jiSZrmQfyhEqZPqJuM3CiZhTz-4t_wB6qb3r4AkPk3TGlaj0i_4Dzemkgoj-8DRMcD0EgGoCuG3K1z2ZJ_/s1600/IMG_3426.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550793022378621106" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXQXR7FF3hex7W54ri4EPHxQ2YLzYG9EeVc8ZQCQ7IRp-RAXz9e5pqHSHZy8jiSZrmQfyhEqZPqJuM3CiZhTz-4t_wB6qb3r4AkPk3TGlaj0i_4Dzemkgoj-8DRMcD0EgGoCuG3K1z2ZJ_/s320/IMG_3426.JPG" border="0" /></a> </div>จีนลากรถ(Chinese Rickshaw) เป็นพาหนะที่ได้รับความนิยมมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4-5 และเลิกกิจการไปประมาณก่อนปีพ.ศ.2500<br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5553796403180018274" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 266px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWWhWugM0iVHqfbyOnfG4_sigOfFdS2CUr5lSOCU0kAy5je_KC8g2ijCD5lhuYbNh7f9FRxmk36FBzgkHbuCsmPeyDWqX77Y6xP05EV1X3fpkT05yciCflHxd9KKVrpdmswoEPM8jeytlb/s320/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%258716.jpg" border="0" />ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลภาพเป็นอย่างยิ่ง(กำลังค้นว่ามาจากที่ใด)<br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794873321904098" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizAkmUsvEm6QFCvJaZslvrROLGCa5cMkBKvqYZCgP2bnQXwsRFt4Z9LciyfekGERloU86f43K5rteSE7QY7Z3m4IN_ArRYh_KAYOu7jKlsJU3-PNEdGWgOhR7yLFO524EPL380sclCnv39/s320/IMG_3411.JPG" border="0" /></div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550795454443655122" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9Wgb9Ew3eugmmlkRLReEgvDWoUK5Sae4XDH3Rjf2bu_xAXkJ46FbY3KO-uNedy0spfCU1SJnvmF1BsvKlSPxzN37hfSC4Ai1Fz1MtwhLJMGE-YAyRXHHpBIuqXEWVvV6tp28wfM30xNjH/s320/IMG_3404.JPG" border="0" /></div><div></div><br /><div></div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550794980452405954" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTJ8cZGI0kOhCtJ3ZI03MRy8ZQYqTtucF6OQqRmoEEXhfnm2iz8kERkRFStIyJLQgSrJCZ1gP6ldajAxpEDpPxPRFY2JHyBeGHIpqbR4PAKhNOHq9CBIPwPuvHzzfZLdlzjMkGXYQK_YsT/s320/IMG_3410.JPG" border="0" /><br />ล้อต๊อก ศิลปินแห่งชาติที่แต่งกายล้อนักร้องดัง ไมเคิล แจ๊กสัน อย่างคาดไม่ถึงก็ถูกนำมาแทรกเป็นภาพประกอบในอาคารนี้ด้วย<br /><br /><div></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE2Q3PrrM-YP_eL5KqI9rf5uOzXWEjdkJTyA-uAk_KOkSlA29L_OHubNwG5DgxrNs4w_ek_GPeXTkbFWXhcxpAb4_vQCS9f7yDucdHg5MzLo2PNgTCnQvqpI48cS_eMYjwYA058lqfasA2/s1600/Picture+203.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550308201184270194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE2Q3PrrM-YP_eL5KqI9rf5uOzXWEjdkJTyA-uAk_KOkSlA29L_OHubNwG5DgxrNs4w_ek_GPeXTkbFWXhcxpAb4_vQCS9f7yDucdHg5MzLo2PNgTCnQvqpI48cS_eMYjwYA058lqfasA2/s320/Picture+203.jpg" border="0" /></a>ภาพเขียนของศิลปินนักร้อง อริสมันตร์ พงศ์เรืองรอง (สวมแว่น)ภัสสร บุณยเกียรติ(เท้าเอว)และไพจิตร อักษรณรงค์ กำลังมีชื่อเสียงร้อนแรงขณะนั้นถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบทางศิลปะในโอกาสนี้ด้วย</div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550795313175496338" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfofAlndGax_0Na1n7iNcaTF8aUsrrDTsuLFAXP59sNrwi4meaehuoLiJ826J0YqWPuvtShiZYoizyq7jLoz9SCGNiJ2AKSEmDhqzXuKc3tYsq_NF7KugiXfpAK1Drigksdn4zTipu__mo/s320/IMG_3407.JPG" border="0" /> </div><div><div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550795104860579858" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJ1v_YaZOYkbgZPD9YPQUjoesuOpcnJEY0BpJyLny5fEx2uUZKb6BJ3Kh6PcdJ9Q2tjo28Sjn-jEdEuEINK7iU-wuzv-mXQ8Stg5acHOe2z8GyRuNyJ7ATPAwJE_fro7rwNQBU7tByb_gY/s320/IMG_3406.JPG" border="0" /></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5550795201802814738" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgw6jCNfbEtUzW-0XdqCs1u_l4heYmjh209sEmh-hu4Fbi2u8n3Drg3AgEoO_QrLdyt_UBPK9FEk8_udlC0RsqjT-Erl1lhHA1ym-TI49YFAJ7iI9PCZjjXJDOWmQV5MYQvFqKIXvFE7FkO/s320/IMG_3409.JPG" border="0" /></p></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-73083961493690130202010-12-06T21:35:00.000-08:002010-12-06T21:37:09.066-08:00อารมณ์ขันของคนบางกอกเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว สื่อผ่านเพลงลุงหยอยโดย<a href="http://www.facebook.com/profile.php?id=100001503294671">พิทยะ ศรีวัฒนสาร</a><br /><em>"อารมณ์ขันของคนบางกอก" : ที่มาของการล้อเลียนคนบ้านนอกเข้ากรุง</em><br /><br /><span style="font-size:130%;">เนื่อเพลง (รำวง) ลุงหยอย (สุนทราภรณ์)</span><br /><br />ฉึกกะฉัก ฉึกกะฉักปู๊นๆ อยุธยาบ้านม้าภาชี<br />ลุงหยอยจะไปเยี่ยมญาติ มาจากโคราช ที่นั่งก็ไม่มี<br />เดินหาที่นั่งจนเหนื่อย แข้งขาชักเมื่อยเหลือทนแล้วนี่<br />พอเหลือบเห็นตู้ผู้คนไม่มี (ซ้ำ)<br />แถมมีเบาะอย่างดี ลุงหยอยเลยนั่งสบายใจ<br /><br />พอนายตรวจเข้ามาตรวจเช็คตั๋ว แต่หัวขบวนตรวจเรื่อยๆไป<br />ผมขอตรวจหน่อยครับนาย เอะไหงมานั่งชั้นสองกันพ่อคุณ<br />ขอปรับไปตามตำรา ลุงจ๊ะลุงจ๋าไยมาทำวุ่น<br />ตีตั๋วชั้นสามต้องปรับแล้วคุณ(ซ้ำ)<br />อย่าว่าทารุณต้องปรับไปตามธรรมเนียม<br /><br />รถไฟจอดที่หัวลำโพง แท็กซี่เข้ามาโค้งเบาะรถยนต์ใหม่เอี่ยม<br />ลุงหยอยแกนั่งใต้เบาะ ส่งเสียงหัวเราะ ไม่กลัวอายเหนียม<br /> เมื่อกี๊เราเสียค่าธรรมเนียม(ซ้ำ)<br />ก็เพราะไอ้เบาะอันใหม่เอี่ยม ขอนั่งข้างล่างก็แล้วกัน<br /><br />ขึ้นรถไฟกลับไปภาชี นายตรวจคนดีถามลงไหนกัน<br />ลุงหยอยแกจึงรีบตอบ แล้วแบกเสียมจอบหมายจะลงทันที<br />นี่รถเพิ่มถึงบ้านม้า ลุงจ๊ะลุงจ๋าจะลงไหนนั่น<br />ลุงตอบบ้านม้าภาชีคือกัน (ซ้ำ)<br />คนเก่งอย่างงั้นครึ่งวันก็ถึงภาชี<br /><br /><span style="font-size:130%;">ความเห็นเล็กๆ</span><br />ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังผ่านสื่อวิทยุว่า ครูเอื้อต้องแต่งเพลงทุกวัน เนื่องจากทุกเช้าท่านจอมพลจะต้องโทรศัพท์ไปบอกครูเอื้อว่า "เย็นนี้มีงานราตรีสโมสร ขอเพลงใหม่ๆด้วย" งานของครูเอื้อจึงมีทั้งทำนองไทย(เดิม) จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น ฯลฯ มาผสมผสานกันเป็นบทเพลงอันหวานไพเราะเพราะพริ้งและเป็นนิรันดร์<br /><br />ในเพลงลุงหยอย ซึ่งพิทยะ เพิ่งจะเคยฟังและเหตุที่ต้องสอนวิชาธุรกิจการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยวก็เลยรู้สึกสนุกกับความหมายของเนื้อร้องและทำนอง รวมทั้งเคยได้ยินเรื่องขำขันของคนบ้านนอกเข้ากรุงอย่างตนเองมาบ้างแบบคลับคล้ายคลับคลา เช่น เรื่อง "ทองหล่อลงได้" "จับลาว" และ "บ้านม้าภาชีคือกัน"<br /><br />คนขับแท็กซี่ในยุคเมื่อ 50- 60 ปีที่แล้ว มารยาทงามน่านับถือมาก พอเห็นผู้โดยสารก็ "เดินเข้ามาโค้ง" ตามแบบอย่างของสุภาพบุรุษผู้มีอาชีพให้บริการแท้ๆ เชื่อว่าการแต่งกายก็คงจะสะอาดสะอ้านไม่แพ้กิริยา นอกจากเพลงลุงหยอย ยังมีเพลงผู้ใหญ่ลี และกำนันเฉย ซึ่งแม้สุนทราภรณ์จะล้อเลียนคนบ้านนอก แต่บทเพลงที่สร้างสรรค์เต็มไปด้วยความงดงามทางวรรณศิลป์ ที่สร้างความสุขสันต์ให้กับทั้งผู้ฟังและชนชั้นที่ถูกล้อเลียนมาอย่างยาวนาน<br /><br /><span style="font-size:130%;">คำถาม</span><br />1.ลุงหยอยเป็นชาวภาชีหรือชาวโคราช?<br />2.ระยะทางเดินเท้าจากบ้านม้าไปภาชีต้องใช้เวลาถึงครึ่งวันจริงหรือ? ปู๊นๆๆ!!พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-6972162351803187462010-10-07T22:29:00.000-07:002010-11-25T14:52:32.044-08:00“อยู่เป็นนิ่งอัน” ในพงศาวดารฉบับวันวลิตไม่ใช่“บุคคลซึ่งปรากฏตัวอยู่แต่เงียบเฉย"<span style="font-size:130%;">“อยู่เป็นนิ่งอัน” ในพงศาวดารฉบับวันวลิตไม่ใช่“บุคคลซึ่งปรากฏตัวอยู่แต่เงียบเฉย"</span><br /><br /><span style="font-size:130%;">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span><br /><br />ผู้เขียนอ่านพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิตพ.ศ.2182 ตีพิมพ์ในรวมบันทึกประวัติศาสตร์ของฟานฟลีต(วัน วลิต) กรมศิลปากรพิมพ์ พ.ศ.2546 ด้วยความชื่นชมต่อคุณูปการของ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต(Jeremias van Vliet) และดร.เลียวนาร์ด แอนดายา(Dr.Leonard Andaya) ผู้แปลจากภาษาดัทช์เป็นอังกฤษ รวมถึงอาจารย์ วนาศรี สามนเสนผู้แปลจากภาษาอังกฤษ การถอดเสียงชื่อไทยเป็นคำดัทช์แล้วถ่ายเป็นคำไทยมีความยุ่งยาก ส่วนใหญ่ถูกต้องเพราะมีชื่อไทยเป็นหลักให้เทียบเสียง เช่น พระนามของกษัตริย์ ชื่อบรรดาศักดิ์และนามเมือง<br /><br /><div align="justify">บางชื่อเมื่อถ่ายเสียงเป็นคำไทยกลับมีความหมายห่างจากเค้าเดิมโข อาทิ คำว่า “Jaeu penninghans” วันวลิตรายงานว่าเป็นข้าราชการสังกัดกรมพระคลังจำนวน 64 คน ภาษาสยามเรียกว่า “อยู่เป็นนิ่งอัน” ดร.แอนดายาอธิบายว่าหมายถึง “บุคคลซึ่งปรากฏตัวอยู่แต่เงียบเฉย(น.232)” ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทในราชสำนัก </div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><div align="justify"><span style="font-size:180%;">ผู้เขียนเห็นว่า ควรจะแปลตำแหน่ง "Jaeu penninghans" ในพงศาวดารฉบับวันวลิตนี้ว่า “ชาวพนักงาน หรือ เจ้าพนักงาน”มากกว่า!</span></div><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 241px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5525544751324153074" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxCbOev3ziJAVtgeWr46qZDsBa_C2LjByVai6ytBX_PyxwsPvkHDhfWLOrLo0djCWnzbn4qzNXiyqz3KWaaeC7cK6PWO0AeVmJqyCBHb12J_jabtM3rSDpZL_RX7HklAlq5o1bun6RbP1D/s320/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2400%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1+%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2.jpg" /><br /><div align="center"><em>แผนที่อยุธยาระบุในเอกสารการสัมมนา400ปี สยาม-ฮอลันดาของสถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ณ กรุงเทพฯว่า เขียนโดยชาวดัทช์</em></div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com15tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-66138958482925335662010-10-07T01:14:00.000-07:002011-05-29T21:28:54.994-07:00สำเนียงคนกรุงเทพฯเป็นสำเนียงชาวเมืองกรุงเก่ามิใช่สำเนียงจีนแต้จิ่ว<div align="justify">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร<br /><br />ผู้รู้เคยเสนอไม่ต่ำกว่า 25 ปี มาแล้วว่า สำเนียงกรุงเทพฯเป็นสำเนียงแต้จิ๋ว และนักร้องเพลงเพื่อชีวิตเคยระบุว่า สำเนียงสุพรรณบุรีเป็นสำเนียงคนเมืองหลวงในอดีตเช่นกัน และสืบเนื่องจากการสัมมนาเรื่อง “ย้อนรอยอารยธรรมสยาม-โลกตะวันตก” ระหว่างวันพฤหัสบดีที่15-ศุกร์ที่16 กรกฎาคม 2553 ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา โดยสถาบันอยุธยาศึกษากับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย อาจารย์ผู้ใหญ่เสนอว่าสำเนียงชาวอยุธยาปัจจุบันเป็นสำเนียงคนเมืองหลวงในอดีตสะท้อนจากหลักฐานเสียงทำนองการพากย์โขน </div><br /><br /><br /><p align="justify"><br /></p><br /><br /><br /><div align="justify"><br />ในช่วงท้ายของการสัมมนาผู้เขียนแย้งว่า สำเนียงกรุงเทพฯเป็นสำเนียงแบบชาวเมืองกรุงเก่า(ชาวเมืองพระนครอยุธยา) อาทิ ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ คหบดีและชาวเมืองที่เหลือรอดมาจากการถูกกวาดต้อนไปยังพม่า ขณะที่พื้นที่ภายในกำแพงเมืองเดิมถูกทิ้งร้างอยู่จนถึงสมัยรัชกาลที่3 (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)และคนอยุธยาที่ยังหลงเหลืออยู่ในพื้นที่หรือกลับมาอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องชาวนา ชาวชนบทและชาวมุสลิมจำนวนหนึ่งทำให้สำเนียงชาวอยุธยาปัจจุบันเป็นสำเนียงดั้งเดิมของตามแบบของคนชนบทที่สืบทอดต่อกันมาหลังเสียกรุง </div><br /><p align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5525539510035742834" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 266px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG57Lyc-Uho4fge_r28YKkkxW13qxGIR9yxk3r0Y0iW0YBRj_S2k1TDNB_7jP_WXzaQW7xtRjxDQz08S1x4dEzlU0CjAmG283qnTS-KREddLUxYZ3wM08dmEh3PCJqtKuqD1UYdx_GBg1_/s320/scan0008.jpg" border="0" /><em>ภาพประกอบจากหนังสือแบบหัดอ่าน ก ข ก กา ของพระยาผดุงวิทยาเสริม(กำจัด พลางกูร) ขอขอบคุณยิ่ง</em></p><br /><br /><p align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5612360504753765938" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 160px; CURSOR: hand; HEIGHT: 120px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjmRyClbJpIUh2dB4cNN986YJ-qN0mFVtF-eSFxcbSiSb-3_xkmKv-WCz11cO6dHCW9pZVADtjRIeZZJGF5wjqFU6hmeniX20ERtnVRvqntsvu7rFHXHeQsu23i5jA_-7fRU-mUtiCstxgz/s320/%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AC.jpg" border="0" /><em>ภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือบริเวณแนวกำแพงเมืองด้านในจุดใกล้เคียงกันกับที่ตาโป๊ถูกม้าเตะขาโปถัดจากป้อมมหากาฬ</em></p><br /><p align="justify">อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านยืนยันอธิบายว่า ผู้ดีและเชื้อพระวงศ์ชาวกรุงเก่าถูกกวาดต้อนไปพม่าจนหมดสิ้นแล้ว และสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว การอพยพเข้ามาของคนจีนแต้จิ๋วซึ่งมีอัตราสูงมากหลังสมัยอยุธยา ทำให้สำเนียงคนกรุงเทพฯปัจจุบันเป็นสำเนียงแบบจีนแต้จิ๋ว และอาจารย์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีหลักฐานใหม่ๆมานำเสนอในโอกาสต่อไปก็พร้อมที่จะรับฟัง<br /><br />โจทย์นี้ติดตรึงอยู่ในใจผู้เขียนมาโดยตลอด จึงครุ่นคิดแก้ปัญหาอยู่เป็นเวลานาน เนื่องจากเห็นว่า แม้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว แต่การที่โครงสร้างทางสังคมไทยมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ทำให้พระองค์ทรงได้รับการศึกษาอย่างไทย ทรงบวชอย่างชาวพุทธ ทรงศึกษาตำราพิชัยสงครามของไทยและทรงคลุกคลีกับราชสำนักสยามมากกว่าจะคลุกคลีกับพ่อค้าจีน หรือคนจีนอพยพหรือทรงศึกษาตำราพิชัยสงครามซุนหวู่พากย์จีน<br /><br />การที่ผู้เขียนเห็นว่า สำเนียงกรุงเทพฯเป็นสำเนียง "ชาวเมือง" พระนครศรีอยุธยา ก็เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนว่า หลังสงครามกอบกู้อิสรภาพของสมเด็จพระเจ้าตากสินในปีพ.ศ.2311 เจ้านายส่วนหนึ่งที่ทรงหลบอยู่ในเมืองลพบุรีและบริวารที่ตามเสด็จ รวมขุนนางเก่าจากราชธานี(ยกกระบัตร)ที่รับราชการอยู่ตามหัวเมืองและบริวารต่างก็ทยอยกลับเข้ามารับราชการที่กรุงธนบุรี บุคคลเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของโครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมสยามที่ทำให้มีการสืบทอดสำเนียงภาษาของผู้ดีชาวกรุงเก่าเอาไว้อย่างเข้มแข็งและมั่นคง เจ้าไปทางไหน ผู้นำไปทางไหน ผู้ดีนิยมอย่างไร ผู้ใหญ่ปลูกฝังสั่งสอนแบบไหน คนไทยในอดีตก็มักพร้อมที่จะเชื่อฟังเจริญรอยตาม และคงจะไม่เอาแบบอย่างของกรรมกรกุลี พ่อค้าอพยพมาใช้เป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตโดยไม่จำเป็นอย่างแน่นอน<br /><br />ขณะที่คนจีนซึ่งอพยพเข้ามายังสยามเมื่อจะค้าขายกับชาวสยาม ก็ต้องพยายามสร้างความกลมกลืนให้เกิดขึ้นกับคนไทยให้มากที่สุด โดยหัดพูดไทย มีเมียไทยหรือคนพื้นเมือง มีลูกก็ให้เรียนหนังสือไทย เพื่อความก้าวหน้าทางด้านการค้าและการเมือง ดังนั้นในวิถีชีวิตแบบพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยจริงๆจึงมักจะมีเรื่องตลกพื้นบ้านล้อเลียนคนจีนพูดไทยไม่ชัด มีภาพกากแบบวิจิตรกามา(Erotic Art)ล้อเลียนความกระหายของหนุ่มจีนที่จากเมียมาค้าขายในจิตรกรรมเวสสันดรชาดก เบื้องขวาพระประธานที่วัดสุวรรณดารารามในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา(ด้านล่าง) เป็นต้น </p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5532226618066416386" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiO-pMll2bFeI5JIxk6PPZc38JYQsuPLxSCeW3Tgitv55e9AjffdJpYncG7TL7FTmSmyNxiUo9Y6qfYC0szg18Tpt04Qpe0TqA1-pEPG6JX7w0N0gbRAkXYj7QGKDbxdf1w16yOCcINJjC2/s320/S8001866.JPG" border="0" /><br />ชาวสยามน่าจะมีน้อยคนเรียนภาษาจีน ล่ามภาษาจีนจึงน่าจะเป็นลูกหลานจีนที่เกิดในชุมชนจีนในสยามเช่นเดียวกับล่ามโปรตุเกสหรือล่ามฝรั่งเศส ก็มักจะเป็นคนในหมู่บ้านโปรตุเกสเป็นส่วนใหญ่ หากจะมีคำจีนปะปนอยู่ในภาษาไทยบ้างก็ไม่น่าจะส่งผลให้สำเนียงไทยแปรเปลี่ยนไปคล้ายกับสำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาเวียดนามซึ่งเป็นภาษาคำโดดแบบภาษาไทย กลับมีโทนเสียงที่คล้ายกับภาษาไทยมากกว่าภาษาจีนเสียอีก สำเนียงแต้จิ๋วจึงไม่น่าจะแทรกซึมเข้ามามีอิทธิพลต่อภาษาในชีวิตประจำวันของชาวกรุงเทพฯจนถึงกับจะกล่าวได้เป็นสำเนียงแต้จิ๋วไปเสียทีเดียวกระนั้น<br /><br />ผู้เขียนเห็นว่า เสียงพากย์โขนเป็นศิลปะการแสดงที่ไม่ใช่สำเนียงการพูดในชีวิตประจำวันของชาวเมืองพระนครศรีอยุธยา การพากย์โขนเป็นรูปแบบอย่างหนึ่งของศิลปะไทยในอดีตซึ่งมีอยู่อย่างหลากหลาย อาทิ การร้องลำตัด เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงพื้นบ้านต่างๆ การแหล่ การอ่านบทประพันธ์โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เสภา และสักวา เป็นต้น ถ้าสำเนียงการสนทนาของชาวเมืองพระนครศรีอยุธยามีท่วงทำนองแบบเสียงพากย์โขน หรือเสียงทำนองแหล่ หรือเสียงทำนองเสภา เพลงยาว เพลงฉ่อย อีแซว ฯลฯ ความพิเศษของศิลปะดังกล่าวก็อาจแทบจะไม่หลงเหลือให้เห็นกันอีกต่อไป กลายเป็นท่วงทำนองที่ “แสนจะธรรมดาในชีวิตประจำวัน” และจะใช้จีบ ใช้ชม ใช้ด่า หรือใช้กระแหนะกระแหนผู้คนอย่างไรก็ไม่มีความพิเศษพิสดารอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a><br /><br />ผู้เขียนพบหลักฐานชิ้นหนึ่งในหนังสือ สาส์นสมเด็จฉบับที่ยังไม่ตีพิมพ์พ.ศ.2475<a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระวินิจฉัยเมื่อ 78 ปี ที่แล้วว่า สำเนียงของชาวกรุงเทพฯ มาจากพระนครศรีอยุธยา ดังนี้<a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a><br /><br />“ทูลสมเด็จกรมพระนริศ<br />วันนี้มานึกอะไรขึ้นอีกอย่างหนึ่งเนื่องด้วยพระดำริของท่านว่า บัญญัติวรรณยุตให้ใช้เอกโท ตามเสียงสูงต่ำ จะเปนของที่เกิดขึ้นชั้นหลังไม่นานนัก มาเกิดปรารภขึ้นว่าแต่ก่อนมา ไทยเราพูดสำเนียงต่างๆกัน ตามถิ่นที่อยู่ ซึ่งยังยังพอหาตัวอย่างชี้ได้ในปัจจุบันนี้ เช่น ชาวนครศรีธรรมราชก็สำเนียงอย่าง๑ ชาวนครราชสีมาก็สำเนียงอย่าง๑ แม้ชาวเมืองสมุทสงคราม ชาวเมืองเพ็ชรบุรีและชาวเมืองสุพรรณบุรีก็มีสำเนียงต่างไปจากชาวกรุงเทพฯ เพิ่งจะมาเหมือนกันขึ้นแพร่หลายเมื่อมีโรงเรียนเกิดขึ้นและการคมนาคมสดวกขึ้น ว่าฉะเพาะชาวเหนือเมื่อครั้งเปนมณฑลราชธานีในสมัยสุโขทัย ก็คงมีสำเนียงไปอีกอย่าง๑ ข้อนี้เห็นได้ในบทเสภาที่แต่งเพียงเมื่อรัชชกาลที่๒และที่๓ กรุงรัตนโกสินทร์นี้ยังว่า “ชาวเหนือเสียงเกื๋อไก่” แปลว่าสำเนียงไม่เหมือนชาวกรุงเทพฯ สำเนียงอย่างเราพูดกันในกรุงเทพฯ เห็นจะสืบมาแต่สำเนียงชาวพระนครศรีอยุธยา ด้วยเหตุดังทูลมา ชาวมณฑลและเมืองที่สำเนียงเปนอย่างอื่น ย่อมเขียนวรรณยุตตามเสียงไม่ได้ หม่อมฉันเคยถามพระยาวิเชียรคีรี(ชม)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn4" name="_ftnref4">[4]</a> ว่า สำเนียงแกพูดไม่เหมือนชาวบางกอก แกเขียนหนังสือลงเอกโทด้วยเอาหลักอย่างไร แกตอบว่า ใช้จำว่า ชาวบางกอกเขาเขียนคำใช้เอกโทอย่างไรก็เขียนตาม”<br /><br />ภาษาแต้จิ๋วอาจแทรกซึมเข้ามาบ้างในชีวิตประจำวันของชาวกรุงเทพฯ บางส่วน แต่ไม่ได้เป็นโครงสร้างหลักของภาษาไทย หนังสือแบบหัดอ่าน ก ข ก กา โดยพระยาผดุงวิทยาเสริม(กำจัด พลางกูร)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn5" name="_ftnref5">[5]</a> ตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารวิทยาจารย์เล่ม11 ตอนที่ 7 ร.ศ.129 (พ.ศ.2453) ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวบันทึกถึงเสี้ยวหนึ่งของการเข้ามาผสมผสานทางวัฒนธรรมของภาษาแต้จิ๋วในภาษาไทยตอนหนึ่งว่า<br /><br /><br /><p>“ ตาอ่ำ เกาะเต่า(พื้นเพเป็นชาวเกาะเต่า: พิทยะ)มีเคหาที่ประตูผี แกมีม้าสี่ตัว เวลาเช้าแกพาม้าสี่ตัวไปที่ท่าน้ำ แกมัวดูเรือลำโตรั่ว น้ำเข้าอู้อู้เสีย ม้าก็เปะปะมาที่ประตูผี ตาโป๊เจียะเจไปซื้อถั่วดำ ถั่วพูมะเขือเต้าหู้ จะมาคั่วกะกะทิ ตาโป๊ตามัวไม่รู้ว่ามีม้ามาเกะกะ ม้าเตะแกเผียะเข้าที่ขา แกเซไปปะทะเสาไฟฟ้า ได้แต่ว่า “ไอ๊ย่า ไอ๊ย่า อั๊วซี้ฮ่า เค้าเป๋แท้ๆ” พอแกทุเลา แกก็เตาะแตะไปหาเจ้าหน้าที่ให้ชำระให้แก เจ้าหน้าที่เขารู้เขาก็ไปเกาะตัวตาอ่ำมา ตาโป๋ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn6" name="_ftnref6">[6]</a> ว่า “ทำไมลื้อให้ม้าเตะอั๊วขาโป(ขาบวม: พิทยะ)” ตาอ่ำ เกาะเต่าเสียใจไม่รู้ว่ากะไร ได้แต่ว่า “หึหึ” เจ้าหน้าที่ดุตาอ่ำ เกาะเต่าว่าไม่ดูม้า ให้ม้ามาเกะกะและให้ตาอ่ำ เกาะเต่า เสียค่ายาทาขาตาโป๊ ตาอ่ำ เกาะเต่าจะให้ตาโป๊น่อจี๋ตาโป๊ว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ ม้าเตะอั๊วขาโปโตโต อั๊วจะเอาซาจี๋” ตาอ่ำ เกาะเต่าเสียใจจำใจให้ซาจี๋ ตาโป๊ดีใจหัวเราะแหะแหะ...”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn7" name="_ftnref7">[7]</a></p><br /><div align="justify">ภาษาแต้จิ๋วที่ปรากฏในย่อหน้าข้างต้น ได้แก่ ชื่อ “ตาโป๊เจียะเจ(ตาโป๊กินเจ)” เป็นคำเรียกชาวจีนที่มีคำนำหน้านามแบบไทยผสม ไม่เรียกอาแป๊ะ อากง(ลุง ตา)แบบจีนทั้งหมด เต้าหู้ หมายถึง ส่วนประกอบอาหารจีนชนิดหนึ่งทำจากถั่ว “ไอ๊ย่า ไอ๊ย่า อั๊วซี้ฮ่า เค้าเป๋แท้ๆ” เป็นคำร้องอุทานตกใจแบบจีน อาจแปลได้ว่า “โอ๊ย โอ๊ย ข้าตายห่า ฉิบหายแท้ๆ” คำว่า “อั๊ว” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 แปลว่า ข้า ผม ฉัน กู ส่วนคำว่า “ลื๊อ” เป็นสรรพนามบุรุษที่2 แปลว่า ท่าน คุณ มึง “น่อจี๋” แปลว่า 2 สลึง “ซาจี๋” แปลว่า 3 สลึง คำเหล่านี้เป็นคำดาดๆในตลาดที่มีการค้าขายระหว่างไทย-จีนเท่านั้น ซึ่งไม่อาจแทรกซึมส่งผลทำให้สำเนียงผู้ดีชาวกรุงเก่าที่เข้ามาอยู่ในเมืองบางกอกแปรปรวนได้เลย </div><br /><br /><div align="justify">แม้เพลงไทยจำนวนหนึ่งจะมีเพลง “สำเนียง(ทำนอง)จีน”อยู่บ้าง อาทิ เพลงแป๊ะสามชั้น และมีการแปลวรรณกรรมจีนสามก๊กและอื่นๆ เป็นภาษาไทย แต่ในระบบฉันทลักษณ์ชั้นสูง อาทิ โคลงฉันท์ กาพย์ กลอน นั้นกลับจะไม่พบอิทธิพลของภาษาแต้จิ๋วให้เห็นแม้แต่น้อย เนื่องจากคนไทยไม่ถูกบังคับให้เรียนต้องเรียนภาษาจีนตามแบบอย่างที่ปรากฏในวัฒนธรรมเวียดนาม เกาหลีและธิเบต</div><br /><br /><div align="justify">จึงอาจจะกล่าวในที่นี้ได้ว่า สำเนียงของคนกรุงเทพฯปัจจุบัน เป็นสำเนียงของผู้ดีหรือสำเนียงเมืองหลวงแบบชาวกรุงเก่า ไม่ใช่สำเนียงเนียงแบบจีนแต้จิ๋วแต่อย่างใด ขณะที่สำเนียงของชาวอยุธยาในปัจจุบันหรือแม้แต่สำเนียงเหน่อของคนแถบปริมณฑลกรุงเทพฯ เป็นสำเนียงหยั่งรากลึกแบบชาวชนบทที่มิได้ตามเคลื่อนย้ายตามผู้นำทางการเมืองลงมายังศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมแห่งใหม่ของสยาม สำเนียงของพวกท่านเหล่านั้นจึงเป็นสำเนียงชาวบ้านมิใช่สำเนียงแบบราชธานี </div><br /><br /><div align="justify">ผู้เขียนยอมรับว่า ปัจจุบันภาษาไทยและเพลงไทยบางเพลงมีอิทธิพลของสำเนียงอังกฤษเข้ามาผสมผสาน มีสาเหตุจากการที่นักเรียนไทยส่วนหนึ่งต้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง หรือเกิดจากอิทธิพลทางการค้าขาย หรือการสื่อสารทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น และหลักฐานสำคัญสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากความนิยมของชนชั้นนำที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันค่อนข้างมากจากความตื่นตัวในการรับอารยธรรมตะวันตกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4-5 จึงปรากฎการใช้คำภาษาอังกฤษ อาทิ คำว่า "เปิ๊สก้าด-first class" "สเตแท่น-Station" "ตะแล่บแก๊บ-Telegraph" จนถึงคำว่า "โอเค-OK!" อย่างกว้างขวางในสังคมไทยมาโดยลำดับ</div><br /><div align="justify"><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> การใช้ศิลปะเพลงฉ่อย ลำตัดหรือเพลงพื้นเมืองอื่นๆ ลอยหน้า ลอยตา กรีดกราย จีบ ชม ด่า กระแหนะกระแหนทางการเมืองสามารถสร้างความครื้นเครงและแนวร่วมทางการเมืองได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> มูลนิธิสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและหม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล พระธิดา จัดพิมพ์(2533, หน้า2)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> สะกดตามต้นฉบับ<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref4" name="_ftn4">[4]</a>พระยาวิเชียรคีรี(ชม ณ สงขลา)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref5" name="_ftn5">[5]</a> ตีพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงจรูญ ผดุงวิทยาเสริมและนางสาวจรวยรส พลางกูร ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม. วันอาทิตย์ที่28 เมษายน พ.ศ. 2528<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref6" name="_ftn6">[6]</a> ตามต้นฉบับ<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref7" name="_ftn7">[7]</a> พระยาผดุงวิทยาเสริม(กำจัด พลางกูร). แบบหัดอ่าน ก ข ก กา. ตีพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงจรูญ ผดุงวิทยาเสริมและนางสาวจรวยรส พลางกูร ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม. วันอาทิตย์ที่28 เมษายน พ.ศ. 2528, หน้า 25-26</div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-52086562188384251052010-10-05T21:34:00.000-07:002010-12-01T22:06:31.192-08:00หลักฐานที่น่าสนใจจากการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรค์<span style="font-size:130%;">หลักฐานที่น่าสนใจจากการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี<br /></span><span style="font-size:130%;">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร </span><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;"><em>ในปีงบประมาณ 2540 บริษัทมรดกโลก จำกัด ได้รับว่าจ้างจากสำนักโบราณคดีที่ 1 (พระนครศรีอยุธยา: ขณะนั้น) ให้ดำเนินการขุดแต่งเพื่อการออกแบบบูรณะพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี การดำเนินการแล้วเสร็จลงด้วยดีตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาการจ้างเหมา ต่อมาในปีพ.ศ.2545 ผู้เขียนซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นนักโบราณคดีผู้ควบคุมการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ในฝ่ายของผู้รับจ้างก็ได้รับเชิญจากสถาบันราชภัฏเทพสตรี ลพบุรี ให้ไปบรรยายเรื่องตามหัวข้อที่ระบุไว้ข้างต้น</em></span> <em>จึงเห็นควรที่จะถ่ายทอดเนื้อหาดังกล่าวแก่สาธารณะเพื่อประโยชน์ทางวิชาการต่อไป รายละเอียดการอ้างอิงศึกษาเพิ่มเติมและตรวจสอบได้จากรายงานการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ที่สำนักศิลปากร อ.เมือง จ.ลพบุรี</em></div><div align="justify"><em></em></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5545658848444375826" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 254px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi218HMW-FZHTaSQ093wdf6bILenbkA2RtiaE5G1ZCKwsPCv3iVVWC7S-DYDUOBuDQ6MFlbJ6l1Cd8DXM2xbDC4f3Utu6tKfCspZPbywsGZw1ryGuAVWiDuMymkNOtQji5IpxfXsXx-7adx/s320/louvo1764.jpg" border="0" />แผนผังเมืองละโว้( Plan du Palais de Louvo) เขียนโดย แบลแล็ง(Bellin) ค.ศ. 1764 (ขอขอบคุณแผนผังประกอบบทความจาก <a href="http://antiquemapsasia-meyerprints.blogspot.com/2009_02_01_archive.html">http://antiquemapsasia-meyerprints.blogspot.com/2009_02_01_archive.html</a> เป็นอย่างยิ่ง- Merci beaucoup pour le Plan du Palais de Louvo)<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5542965452363829394" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 258px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBwXTWnaVy7GB4RuCv6Qn9eRciDAK4NshBm37fV2Qp5GzBRwJBgR1tv6JIrKHdpE-4lCCwRALC3eqzcaFbYMhP9mHz_239fe6TagxrFUWLY9nY_b-bTq7Av7Gmny4-dcvzR_761CRtzKeH/s320/scan0022.jpg" border="0" /> <span style="font-size:130%;">ภาพร่างรูปด้าน(สันนิษฐาน)ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์(ขอขอบคุณกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม)</span><br /><span style="font-size:180%;"></span><br /><span style="font-size:180%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5542965102125702562" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 282px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXnFuSVUAW0Cm_Ak0A6BFBjGE36AcApQ4zQCBlxSoTa78ak6Lcgo4XebbcXpFpPyswfA4N3IPPzRI7ifdq6wJqckYZeYRPj6-RzF8Pi3u2BS5N903tcnG6SH3Lb7iygV4kJ2qZSdV_SeL6/s320/scan0029.jpg" border="0" /></span><br /><span style="font-size:180%;"><span style="font-size:100%;">แผนผังพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ภายหลังการขุดแต่ง</span></span><br /><span style="font-size:130%;">สภาพรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ภายหลังการขุดแต่ง</span><br /><span style="font-size:130%;">-เชิงรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์</span><br /><br /><div align="justify">การขุดลอกมูลดินและเศษอิฐหักออกจากพื้นที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางด้านเหนือ ระยะห่างจากรากฐานพระที่นั่งประมาณ 5 เมตร พบพื้นลานพระราชฐานอยู่ลึกลงไปจากผิวดิน ประมาณ 30-40 เซนติเมตร พื้นที่ดังกล่าวถูกปูด้วยอิฐ ขนาด 28 x 14x 5 เซนติเมตร เหนืออิฐขึ้นไปจะมีพื้นปูนขาวเทราดทับอีกชั้นหนึ่งหรือไม่นั้น น่าสงสัยไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การพบชิ้นส่วนของแผ่นกระเบื้องอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดประมาณ 30 x 30 x 3 เซนติเมตร ปริมาณเล็กน้อยที่หลุม 9N 7W ทำให้นึกเปรียบเทียบถึงพื้นที่ระเบียงคตหรือพื้นลานประทักษิณที่วัดบางแห่งในเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งนิยมทำพื้นอิฐเหนือชั้นดินอัดก่อนจะปูด้วยแผ่นกระเบื้องอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใกล้เคียงกันอีกครั้งหนึ่ง แผ่นกระเบื้องอิฐชนิดนี้มีความแข็งแกร่ง ทนทาน และสวยงามมาก หากเคยถูกนำมาปูเรียงเป็นพื้นลานพระราชฐานในพระราชวังแห่งนี้มาก่อนก็น่าจะหลงเหลือร่องรอยหลักฐานมากกว่านี้ หรือ มิฉะนั้นก็อาจถูกรื้อไปใช้ประโยชน์จนหมดสิ้นแล้วก็ได้</div><br /><div align="justify">เชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางด้านตะวันออก ถูกออกแบบให้เป็นถนนพื้นอิฐ เทปูนขาวซึ่งมีส่วนผสมของหินอ่อนขนาดต่างๆกัน (ตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-2.5 เซนติเมตร) ถนนสายนี้เริ่มต้นจากแนวประตูกำแพงด้านเหนือ ผ่านหน้าพระที่นั่งไปสู่ประตูพระราชฐานทางได้ โดยมีจุดหักเลี้ยวไปทางตะวันออกที่กึ่งกลางรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นทางสามแพร่งมุ่งสู่ประตูพระราชฐานทางตะวันออก</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">ถนนดังกล่าว กว้างประมาณ 4 เมตร ด้านตะวันออกถูกขุดเป็นรางระบายน้ำ แล้วทำแนวอิฐเตี้ยๆยกขึ้นเป็นขอบถนน ส่วนด้านตะวันตกมีแต่ขอบถนนเพียงอย่างเดียว </div><br /><div align="justify">มีข้อถกเถียงพิจารณากันพอสมควรว่า พื้นถนนสายนี้เป็นของเดิมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา หรือจะถูกบูรณะขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากมีมูลดินทับถมเพียงบางๆ และใช้อิฐไม่สมบูรณ์มาปูเรียงแลแนวถนนลักษณะดังกล่าวมีร่องรอยอยู่ทั่วไปภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ข้อเสนอที่เห็นว่าแนวดังกล่าวน่าจะเป็นถนนของเดิมในสมัยอยุธยาพิจารณาจากส่วนผสมของปูนนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับพื้นปูนบนระเบียงพระที่นั่งและปูนสอกันซึมที่อ่างเก็บน้ำในพระราชฐานชั้นนอก</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">ที่หลุม 4N 1W (ด้านในของมุขที่ยื่นออกมาทางตะวันออก) พบแผ่นหินชนวนขนาดประมาณ 30x50x5 เซนติเมตร วางเป็นแนวจากตะวันตกไปตะวันออกอยู่ใต้พื้นถนน ปิดบนท่อน้ำดินเผาอีกครั้งหนึ่ง เข้าใจว่าด้านเหนือของมุขก็น่าจะมีแนวดังกล่าวเช่นกัน </div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">บริเวณเชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ด้านใต้พบว่า พื้นพระราชฐานด้านนี้มีลักษณะเป็นลาน เทด้วยปูนผสมทรายหยาบและหินอ่อนก้อนเล็กๆ พื้นบางส่วนมีอิฐทรงปริมาตรปูทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่าจะสัมพันธ์กับรากฐานอาคารอย่างไร เนื่องจากมีสภาพไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก </div><div align="justify"> </div><div align="justify">เมื่อทดลองขุดลอกมูลดินต่อเนื่องไปทางใต้ กว้าง 50 เซนติเมตร ห่างออกมาจากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ประมาณ 10 เมตร (ตรงกับพื้นที่หลุมทดสอบชั้นดินทางโบราณคดี 1S 3W) พบว่ายังคงมีพื้นที่ปูนเทกว้างต่อออกไปประมาณ 10 เมตร แล้วจึงสิ้นสุดลงที่แนวชั้นอิฐกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร </div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">หากพิจารณาจากหลักฐาน Plan du Palais de Louvo แล้ว แนวอิฐชุดนี้น่าจะเป็นรากฐานของกำแพงล้อมพระราชอุทยานขนาดเล็กด้านเหนือและใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระราชอุทยานดังกล่าวคงจะมีลักษณะเป็นสวนย่อมๆมีพื้นลาดพระบาทเทปูน สำหรับเสด็จฯลงสำราญพระราชหฤทัยเมื่อทรงปลูกพรรณไม้หอมพันธุ์หายากด้วยพระองค์เอง จากบันทึกของแชร์แวสประตูทางเข้าพระราชอุทยานทั้งสองฟากนั้น ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเยื้องกับประตูและบันไดของปีกพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางเหนือและใต้เล็กน้อย</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">ในพื้นที่หลุม 3N 4W พบอ่างน้ำรูปสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 1x1 เมตร ขอบกรุอิฐ พื้นปูนอิฐฉาบปูนกันซึมแน่นหนา พบท่อดินเผาเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ที่ขอบอ่างด้านใต้ท่อดังกล่าวนี้อาจเป็นท่อส่งน้ำจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ต่อเข้าไปยังพระราชอุทยานเล็กด้านใต้ ด้านตะวันตกของอ่างมีหลุมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยอิฐตั้ง ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร แต่อาจจะลึกมากกว่านี้ก็ได้ (มีดินทับถมอยู่ข้างในช่องเล็กยากต่อการขุดติดตามร่องรอย) </div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">ส่วนด้านเหนือบริเวณฐานระเบียงมีหลักฐานของการเซาะอิฐเป็นร่องกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 100 เซนติเมตร มุ่งตรงไปยังแผ่นหินชนวนกรุขอบลำราง แผ่นหินชนวนนี้เซาะด้านบนเป็นร่องรูปครึ่งวงกลม ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง (ครึ่งวงกลม) ประมาณ 2.5 เซนติเมตร เช่นเดียวกับเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อน้ำดินเผาด้านล่าง หลักฐานนี้อาจเป็นร่องรอยแนวของท่อโลหะสำริดที่ใช้ส่งน้ำจากลำรางไปยังอ่างน้ำและพระราชอุทยานใต้ </div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">ด้านตะวันตกของอ่างดังกล่าว เป็นบันไดอิฐขนาดประมาณ 60x100 เซนติเมตร รับกับบันไดด้านเหนือของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ซึ่งมีแผ่นหินแอนดีไซต์ปูอยู่บนขั้นบันได (8N 4W) บันไดด้านใต้นี้แต่เดิมก็น่าจะมีแผ่นหินแอนดีไซต์ปูทับอยู่ข้างบนเช่นกัน</div><br /><div align="justify"></div><span style="font-size:130%;">-เขามอและหลักฐานระบบการทดน้ำ-จ่ายน้ำ</span><br /><div align="justify">เมื่อการขุดแต่งพื้นที่รอบๆเชิงเขามอ ทางเหนือของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ซึ่งบันทึกของนิโคลาส แชร์แวส ระบุว่าเป็นสระน้ำลักษณะคล้ายถ้ำเล็กๆเสร็จสิ้นลง ได้พบแนวท่อน้ำดินเผาที่เชิงเขามอด้านเหนือ 2 แนว ทำมุมเฉียงกัน ท่อน้ำดังกล่าวมีต้นทางมาจากด้านเหนือ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทดน้ำเข้ามาใช้ภายในพระที่นั่ง สุทธาสวรรย์ ท่อน้ำทั้งสองแนวถูกฝังอยู่ใต้ดินมีอิฐตะแคง แท่งศิลาแลงและพื้นปูนลานพระราชฐานปูทับตามลำดับอย่างแน่นหนามั่นคง</div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524788029458543266" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 269px; CURSOR: hand; HEIGHT: 179px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAsFK-FAipP8hsuOAcNLSlxOcr-fWbjtaZnyMQ5RyLiwdNvdnmcuJ0QPBu8DLimhCspgK4GRLRTs0k3lJ21YYKN6uenk-INb81ug6nEBneG5Omqij50yJKBf8nKnEESin-Q76XjTWT5gRg/s320/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87.jpg" border="0" /><br /><p align="justify">ฐานโดยรอบรูปครึ่งวงกลมทางด้านเหนือเชิงเขามอ มีร่องรอยของการฝังท่อน้ำดินเผาปิดทับด้วยแผ่นอิฐปูนอน ท่อดินเผาดังกล่าว อาจเป็นเพียงท่อระบายน้ำออกจากจุดใดจุดหนึ่งของระเบียงหรือสระน้ำด้านใต้ของเขามอ ขณะที่ฝั่งทางใต้ของเชิงเขามอซึ่งอยู่บนระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ขุดพบลานอิฐขนาด 1.60x2.90 เมตร มีลำรางขนาดประมาณ 30 เซนติเมตรล้อมทั้งสี่ด้าน ที่มุมลำรางมีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40-50 เซนติเมตร รวม 4 หลุม หลักฐานที่พบนี้เป็นร่องรอยของสระน้ำหรืออ่างน้ำที่มีลักษณะคล้ายถ้ำเล็กๆ ในบันทึกของนิโคลาส แชร์แวส<br /></p><div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524787747756921010" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 269px; CURSOR: hand; HEIGHT: 191px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgFJrFlsaJIs5kPLbqTF6ZlMSZgHdae0kO4IxQVqMmZqgiAKinDfPURzH4ZiR2v1QEtifKPYSaKiPIKJ1gD-LeiENOmcmUftLOR3DifoRh-QlgKbDvmVX6vNZRjllygLQd91QeD5xwC4tEL/s320/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%95.jpg" border="0" /></div><div align="justify">หลุมทั้งสี่มุมของสระแห่งนี้ ก็น่าจะเป็นร่องรอยของหลุมเสากระโจมตามระบุในเอกสารเช่นกัน ใต้ช่องโค้งมุมแหลมด้านเหนือของสระน้ำหรืออ่างน้ำนี้ มีบ่อรูปรีหรือรูปกระเพาะหรือกะเปาะ มุมทางใต้ของบ่อทำเป็นรูปเหลี่ยมหรือมุขยื่นออกมา บ่อนี้ลึกประมาณ 70-80 เซนติเมตร ความกว้างใกล้เคียงกัน ด้านบนซ้ายและขวาเป็นท่อส่งน้ำให้เกิดการไหลเวียนขนาดต่างกัน บ่อและท่อดินเผานี้ยาปูนแน่นหนา</div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">-การค้นพบสระน้ำ(อ่างน้ำใหญ่)</span><br />การขุดแต่งที่บริเวณหลุม 2N 5W, 2N 6W, 3N 5W, 3N 6W อันเป็นที่ตั้งขององค์ประกอบสถาปัตยกรรม ซึ่งจะเรียกในชั้นต้นตรงนี้ว่า “ฐานน้ำพุ” ทางด้านของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ นักโบราณคดีได้พบร่องรอยของสระน้ำหรือแอ่งน้ำ ขนาดประมาณ 2.90 x 2.90 เมตร มีลำรางล้อมทั้ง 4 ด้าน และที่มุมลำรางก็มีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 เซนติเมตร อยู่ทั้งสี่มุมด้วย ตรงจุดกึ่งกลางของสระหรือแอ่งน้ำ มีท่อโลหะสำริด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร วางแนวทะลุถึงระดับพื้นพระราชอุทยาน ซึ่งแต่เดิมเข้าใจว่า สระน้ำนี้เป็นร่องรอยของฐานน้ำพุ แต่เมื่อตรวจสอบจากหลักฐานของแชร์แวสโดยยึดจากการอ้างถึงสระน้ำด้านเหนือที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ และการยึดหลักความลงตัวขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมแล้ว สิ่งที่เรียกว่าฐานน้ำพุทางด้านใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั้น น่าจะเป็นสระน้ำหรืออ่างน้ำอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีหลุมเสากระโจมเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งด้วย<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524788440379418322" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 272px; CURSOR: hand; HEIGHT: 188px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgumfKuCaOo3wxcyK07BQrze5rAkKBfhE3jZquRcj_fJCODRdRWrkQwQyn7v_C1rjIzCKrHT_KEJiTSSJTjGyTMv-G3eLmO4PdjbzYg25D1Wz5012lDu_AVqRGz40-IyPzvrS0rykx192dh/s320/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87.jpg" border="0" /></div><br /><div align="justify">ส่วนท่อสำริดซึ่งวางเป็นแนวฉากกับพื้นสระน้ำนั้น ถูกตั้งข้อสงสัยว่า จะถูกวางใต้พื้นดินมาจากท่อน้ำดินเผาเชิงเขามอด้านเหนือขณะสร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยอีกอีกประการหนึ่งว่า ร่องรอยของสระน้ำทั้งด้านเหนือและด้านใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ที่ขุดพบ เป็นเพียงสระที่มีขนาดเล็กๆเท่านั้น (สระเหนือ 1.60 x 2.90 เมตร สระใต้ 2.90 x 2.90 เมตร) ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวของแชร์แวสที่ระบุว่า </div><br /><div align="justify">“ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำใหญ่สี่สระบรรจุน้ำบริสุทธิ์ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน ภายใต้กระโจมซึ่งคลุมกั้น”</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า สิ่งที่แชร์แวสระบุถึง คือ Les Bassins ซึ่งแม้จะแปลได้ทั้ง “สระน้ำ” หรือ “อ่างน้ำ” แต่โดยเจตนารมณ์แท้จริงแล้ว เขาต้องการจะกล่าวถึงอ่างน้ำขนาดใหญ่มากกว่า และหลักฐานที่ขุดพบก็สนับสนุนความคิดนี้ยิ่งกว่าอื่นใด</div><div align="justify"> </div><div align="justify">ด้วยเหตุนี้เพื่อให้การเรียกองค์ประกอบทางสภาปัตยกรรมดังกล่าว มีความเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลักฐานและสภาพความเป็นจริง ในชั้นนี้นักโบราณคดีจะเรียก “สระน้ำ” ทั้งสี่แห่งว่า “อ่างน้ำ” ต่อไป</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">การขุดค้นพื้นที่บริเวณหลุม 5N 2W ได้พบร่องรอยของลานอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ประมาณ 2.90 หรือ 3.00 x 2.90 หรือ 3.00 เมตร มีลำรางล้อมและมีหลุมเสากระโจมทั้งสี่มุมเช่นกัน ตรงกลางมีรูเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ลักษณะเป็นท่อสำริด ซึ่งทดสอบความลึกได้ใกล้เคียงกับท่อสำริดในอ่างน้ำด้านใต้ สิ่งที่พบนี้คงจะเป็นอย่างอื่นไปเสียไม่ได้ นอกจากอ่างน้ำของมุขด้านตะวันออกตามหลักฐานในบันทึกที่นิโคลาส แชร์แวสระบุไว้ ด้วยเหตุผลจากลักษณะและความคล้ายคลึงกันของหลักฐาน</div><br /><div align="justify">การขุดพบอ่างน้ำจำนวน 3 สระ ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ในจุดที่รับกันขององค์ประกอบสถาปัตยกรรม คือ อ่างน้ำด้านเหนือคู่กับอ่างน้ำอ่างด้านใต้ และอ่างน้ำด้านตะวันออก เพราะฉะนั้นหากอาศัยหลักการเดียวกันอ่างน้ำแห่งที่ 4 ก็ควรจะอยู่ที่ชานระเบียงทางมุมทิศตะวันตกของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์(คือบริเวณของหลุม 5N 8W) แต่จากการสำรวจเบื้องต้นกลับไม่พบร่องรอยของอ่างน้ำ เมื่อตรวจสอบแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี ก็ได้พบจุดที่อยู่ห่างจากกำแพงคั่นพระราชฐานชั้นที่ 3 กับพระราชฐานฝ่ายใน ประมาณ 25 – 30 เมตร มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นอ่างน้ำแห่งที่ 4 แต่ก็ยังไม่ขอยืนยันมั่นใจเท่าใดนัก<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524788172463937106" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 268px; CURSOR: hand; HEIGHT: 187px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDldp2F83R7XQLLnju29LAxA22lK4Rnn9snKLTZpGE-r9lHHfHYgL4HT_cQrkhRT80OMmn9rGqKXmxFotn2tX3wwKUff-HujAt9wOfAsuhyphenhyphenhvmsW-1jpZQ0zcM3T6MmLQHSB4Nj6EMnyLP/s320/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C.jpg" border="0" /> มีข้อสังเกตประการหนึ่งว่า ขณะที่อ่างน้ำทิศตะวันออกและทิศใต้มีท่อน้ำสำริดเป็นองค์ประกอบสำคัญในการส่งผ่านน้ำมายังอ่างน้ำ ส่วนอ่างน้ำด้านตะวันออกเชิงเขามอมีท่อดินเผาขนาดใกล้เคียงกันเป็นตัวปล่อยน้ำออกมา การลดขนาดของท่อจ่ายน้ำให้เล็กลง ย่อมจะทำให้น้ำมีแรงดันเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะดันออกมาในแนวระนาบหรือดันขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ในขณะที่น้ำในอ่างด้านตะวันออกอาจถูกปล่อยออกมาในแนวระนาบเป็นสายธารไหลวนอยู่ภายในถ้ำเล็กใต้เขามอ น้ำบางส่วนอาจจะถึงถูกขึ้นไปบนเขามอด้วยอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วปล่อยให้ไหลลงมาเป็นน้ำตก ส่วนอ่างน้ำด้านตะวันออก ด้านใต้ และ อ่างน้ำด้านตะวันตกนั้น แรงดันของน้ำจะทำให้เกิดน้ำพุพุ่งกระจายขึ้นเป็นสาย หากมีวัตถุบังคับทิศทางอย่างถูกต้องถูกต้องเหมาะสมก็อาจจะทำให้กระแสน้ำที่พุงขึ้นกลายเป็นน้ำพุที่พร่างพรายสายน้ำออกไปรอบทิศอย่างงดงาม</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">คำให้การขุนหลวงหาวัด นอกจากจะกล่าวถึงการสร้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท (คือดุสิตสวรรย์ธัญมหาปราสาท) และพระที่นั่งสุธาสวรรย์ (สุทธาสวรรย์) แล้ว ยังกล่าวถึงน้ำพุอ่างแก้ว ซึ่งมี "น้ำดั้นน้ำกระดาษ" เป็นองค์ประกอบ</div><br /><div align="justify">น้ำพุและอ่างแก้วนั้นมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัว แต่คำว่า “น้ำดั้น” กับ “น้ำกระดาษ” ดูเหมือนว่าอาจจะเลือนหายจากสำนึกรับรู้ทางวัฒนธรรมและพจนานุกรมฉบับปัจจุบันไปแล้ว<br /></div><div align="justify">การอธิบายเพื่อทำความเข้าใจกับคำทั้งสองมิใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องอาศัยหลักการสังเกตและเชื่อมโยงหลักฐานทางโบราณคดีเข้าด้วยกันเหมาะสม</div><br /><div align="justify">คำว่า “น้ำดั้น” หากมิได้หมายถึง ระบบการทดน้ำจ่ายน้ำ (ดั้น = มุดดั้นไป, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, หน้า 298) ไปตามท่อน้ำดินเผา ก็น่าจะหมายถึงน้ำพุที่ “ดั้น” ขึ้นจากอ่างน้ำหรือสระน้ำ </div><br /><div align="justify">คำว่า “น้ำกระดาษ” นี้ ความจริงแล้วหลักฐานน่าจะบันทึกไว้ว่า “น้ำกระดาด” หรือ “น้ำดาด” มากกว่า เพราะอาจทำให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น หากเป็นเช่นนั้นแล้ว “น้ำกระดาษ” หรือ “น้ำกระดาด” หรือ “น้ำดาด” จะหมายถึงน้ำซึ่งไหลลงมาจากที่สูงได้หรือไม่ และที่สูงในความหมายที่เชื่อมโยงกับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มากที่สุดก็คือ เขามอ<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524787867348598466" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 264px; CURSOR: hand; HEIGHT: 185px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNR-h2s3vaqXv5r-IWfYygq0blPh4XQsHNhCaCiADFdZVq_c0l_dtTkq2X1JH4w3VPOvV6ZC3IqNVF9VlUkpHyDDeJydYAjVE4SdZ6GEOEkbc1yVWWfP30XwmzMr_dRfDikG-jKUqsHu1b/s320/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AD.jpg" border="0" /> </div><div align="justify">น่าเสียดายที่คำว่า “ดาด” นั้น พจนานุกรมอธิบายว่าเป็นคำกริยา เช่น เอาวัตถุเช่นผ้าปิด ขึงให้ทั่วตอนเบื้องบน เช่น ดาดเพดาน ดาดหลังคา เมื่อเป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า ไม่ชัน เช่น หลังคาดาด เป็นต้น และหากยึดตามตำราแล้วการอธิบายว่า “น้ำดาด” หมายถึง น้ำซึ่งตกลงมาจากที่สูง เช่น เขามอ คงจะไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน<br /><br /><span style="font-size:130%;">-หลักฐานในปีกอาคารเหนือ-ใต้<br /></span>เมื่อการขุดแต่งปีกอาคารด้านเหนือ(พระปรัศว์ขวา)และปีกอาคารด้านใต้(พระปรัศว์ซ้าย)แล้วเสร็จ ได้ค้นพบอ่างน้ำขนาดประมาณ 1.00X1.50 เมตร กรุด้วยหินอ่อนหนาประมาณ 4-5 เซนติเมตรทั้งสองด้าน </div><br /><div align="justify">อ่างหินอ่อนนี้มีลำรางส่งน้ำจ่ายน้ำ ซึ่งอาจโยงใยมาจากอ่างน้ำเชิงเขามอด้านเหนือก็ได้ เนื่องจากได้พบทั้งแนวท่อน้ำดินเผาและแนวลำรางเลาะมาตามกำแพงแก้วโดยตลอด (จะได้กล่าวถึงข้างหน้า)</div><br /><div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524788541560044706" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 271px; CURSOR: hand; HEIGHT: 184px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjciGNeOE4SMaIJuBaXJ1BoenGxv3fhdQJPjTC_bLhflAWG3jNVqJQ0DQLg4KFrt-ImDrH7KlzwWJ5pNM-ieeR_nsowxXkaDcyQf8_A0yYr9SlRjgKGGYSB6YGsmD0MPAYGFCC2Q0LWvr6S/s320/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%871.jpg" border="0" /> หลักฐานเอกสารหลายเล่ม อาทิ พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม ระบุถึงเทคนิคการเก็บกักน้ำในอ่างว่า ต้อง “กรุศิลายาปูนอันดี” (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 82, พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม,2537 หน้า 247 ) หรือ “ตรุศิลายาปูนเป็นอันดี” (พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับพระพนรัตน์, 2535,หน้า 214) การกรุศิลายาปูนนั้น อาจเป็นเทคนิคที่รู้จักกันดีของช่างไทย แต่การใช้หินอ่อนมาสร้างอ่างอาบน้ำ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก</div><br /><div align="justify">เอกสารสำคัญร่วมสมัย คือ จดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 ของบางหลวงกีย์ ตาชารต์ ระบุว่า โรงสวด Notre- Dame de Laurtte ในบ้านของคอนสแตนติน ฟอลคอน มีการนำหินอ่อน “มาใช้อย่างไม่อั้น” แต่หินอ่อนนั้นเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีค่าและมีราคาแพงมากในชมพูทวีป จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกัน การสร้างอ่างน้ำกรุหินอ่อนยาปูนกันซึมอย่างดีในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา </div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">เหตุใดนักโบราณคดีจึงมิได้ระบุว่าอ่างน้ำภายในพระปรัศว์ทั้งสองด้านเป็นอ่างน้ำจำนวน 2 ใน 4 อ่างที่แชร์แวสระบุ ในที่นี้ยังไม่สามารถหาคำตอบที่เหมาะสมมาอธิบายได้ ทั้งๆที่เป็นจุดที่ไม่ควรจะมองข้าม<br /></div><div align="justify">ทางด้านใต้ของพระปรัศว์ซ้ายมีบันไดปูด้วยแผ่นหินแอนดีไซต์รับกับบันไดด้านเหนือของพระปรัศว์ขวา ซึ่งดูเหมือนว่าแผ่นหินแอนดีไซต์บางชิ้นจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปจำนวนหนึ่งโดยรู้เท่าไม่ถึงการแล้วก่อนการขุดแต่ง </div><br /><div align="justify">นอกจากแผ่นหินแอนดีไซต์จะถูกนำมาปูที่ขั้นบันไดแล้ว ยังพบว่ามีร่องรอยการนำหินชนิดดังกล่าว มาปูบนพื้นด้านตะวันตกและด้านใต้ของพระปรัศว์ขวา รวม 4 จุด และปูบนพื้นด้านเหนือและตะวันตกของพระปรัศว์ซ้าย รวม 4จุดเช่นกัน แต่ร่องรอยของการปูหินบางจุดถูกรื้อไปจนหมดสิ้นแล้ว จุดดังกล่าว คือ ด้านเหนือพระปรัศว์ซ้าย(หลุม 3N 7W) ซึ่งได้พบร่องรอยของการถมทรายยึดและเศษกระเบื้องเคลือบมุงหลังคาแบบเหลืองจักรพรรดิถูกฝังไว้ด้านล่าง และในบริเวณดังกล่าวยังพบการทำฐานเขียงและลวดบัวคว่ำอย่างชัดเจนด้วย</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify"><span style="font-size:130%;">-สภาพระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์และหลักฐานที่เกี่ยวข้อง</span><br />การขุดแต่งระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทำให้ได้พบหลักฐานลำรางกว้างประมาณ 30-40 เซนติเมตร วางแนวเลาะกำแพงแก้วของพระที่นั่งทั้งสามด้าน (เหนือ, ตะวันออก, ใต้) ด้านนอกของลำรางจะมีท่อน้ำดินเผาถูกฝังโผล่ปลายท่อขึ้นมาให้เห็น และตลอดแนวลำรางจะมีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30-40 เซนติเมตร เรียงรายอยู่เป็นระยะๆ</div><br /><div align="justify">ในชั้นต้นนี้สันนิษฐานว่า ลำรางอาจเป็นช่องปล่อยให้น้ำไหลผ่านไปหล่อเลี้ยงอ่างน้ำในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แต่หลุมเสาที่อยู่ตามแนวลำรางนั้น หากเป็นหลุมเสากระโจมก็อาจจะทำให้การไหลเวียนของน้ำไม่สะดวกเท่าที่ควรและมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ เมื่อขุดแต่งบริเวณหลุม 3N 8W และ8N 8W เสร็จสิ้นลง ได้พบหลักฐานแผ่นอิฐปิดเหนือปากลำราง ซึ่งทำเป็นแนวต่อเนื่องมาจากด้านตะวันออก ลำรางที่ขุดพบนี้น่าจะสัมพันธ์กับท่อน้ำดินเผาทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ของรากฐานท้องพระโรง (หรือด้านใต้ของขวาและด้านเหนือของพระปรัศว์ซ้าย)</div><br /><div align="justify">ท่อน้ำดินเผาที่พบก็มีทั้งท่อน้ำทิ้งและท่อน้ำดี ท่อน้ำทิ้งทำหน้าที่ระบายน้ำฝนออกจากระเบียงพระที่นั่งลงสู่ลานด้านล่าง โดยโคนท่อและปลายท่อจะเป็นอิสระ ไม่เชื่อมกับท่ออื่น ส่วนท่อน้ำดีซึ่งพบด้านใต้ของพระปรัศว์ขวาและด้านเหนือของพระปรัศว์ซ้ายถูกฝังไว้อย่างมั่นคงใต้พื้นอิฐ มีข้องอและข้อต่อเป็นตัวบังคับทิศทางของท่อ สภาพของท่อทั้งสองด้านถูกฝังในช่องลักษณะคล้ายลำราง (ดูแผนผังหลังการขุดแต่ง) จึงอาจเป็นไปได้ว่าเดิมนั้น แนวลำรางทุกด้านของระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะมีท่อน้ำดินเผาฝังอยู่โดยตลอด เพื่อเป็นตัวจ่ายน้ำหล่อเลี้ยงอ่างน้ำทั้ง 4 แห่งของท้องพระโรง รวมไปถึงอ่างน้ำในพระปรัศว์ซ้าย-ขวาด้วย ท่อน้ำดินเผาเหล่านี้ได้รับน้ำมาจากแหล่งจ่ายน้ำเชิงเขามอ ซึ่งรับมาจากอ่างแก้วด้านตะวันออกของพระราชฐานชั้นนอก ส่วนท่อน้ำดินเผาทางด้านตะวันออกของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ อาจเป็นท่อส่งน้ำออกไปหล่อเลี้ยงพระราชอุทยานในพระราชฐานชั้นใน</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">พื้นระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ด้านเหนือบริเวณหลุม 7N 4W และใกล้เคียง มีหลักฐานการปูอิฐเฉียงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนพื้นอิฐด้านอื่นนั้นกลับปูขนานกับแนวรากฐานอาคารตามปกติ</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify">เมื่อขุดลอกลึกลงไปในพื้นและร่องเอ็นไปเพียงเล็กน้อย ก็พบทรายหยาบอันเป็นทรายอัดรับน้ำหนักและกันการทรุดพังของโครงสร้าง ในชั้นแรกนักโบราณคดีตั้งสมมติฐานว่า อาจเป็นแนวร่องวางท่อน้ำดินเผา </div><div align="justify"> </div><div align="justify">ทางด้านใต้ของอ่างน้ำด้านเหนือ และด้านเหนือของอ่างน้ำด้านใต้ตรงกับช่องประตูกลางท้องพระโรง (ด้านใต้เขามอ) พบแนวพื้นปูนขาวหนา 2 แนวคั่นด้วยร่องตื้นๆ แต่เดิมเข้าใจว่าเป็นทางน้ำที่สัมพันธ์กับอ่างน้ำทั้งสอง แต่เมื่อการขุดแต่งเสร็จสิ้นลงก็เห็นว่า แนวคิดดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลที่เหมาะสมรองรับ</div><br /><div align="justify"></div><div align="justify"><span style="font-size:130%;">-ท้องพระโรงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์</span></div><div align="justify">การขุดแต่งพื้นท้องพระโรง พบหลักฐานการปูพื้นอิฐขนาดเดียวกับอิฐที่ใช้ก่อองค์ประกอบส่วนอื่น และเมื่อได้ขุดตรวจชั้นดินในหลุม5N 4W อันเป็นแอ่งใหญ่ที่ถูกขุดเจาะเอาทรายอัดออกไป ได้พบว่าลึกลงไปพอสมควร ยังคงเป็นชั้นทรายอัดอยู่เช่นเดิม </div><br /><div align="justify"><span style="font-size:130%;">-สรุป</span></div><div align="justify">การพบหลักฐานร่องรอยขององค์ประกอบโบราณสถานภายหลังการขุดแต่ง นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อนโยบายและการวางแผนอนุรักษ์และพัฒนารากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ให้ดำรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ สถาปัตยกรรมและโบราณคดีต่อไปในอนาคต แม้การขุดแต่งนี้จะตอบคำถามของนักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้องได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาจมีหลักฐานบางอย่างหลุดรอดสายตาไปบ้าง และหลักฐานบางอย่างอาจยังคงถูกฝังไว้อยู่ใต้ฐานรากของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์และพื้นที่ใกล้เคียง (อาทิแนวท่อน้ำสำริดและแนวท่อน้ำดินเผา เป็นต้น) เนื่องจากการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2540 กำหนดเป้าหมายพื้นที่ขุดแต่งไว้เพียง 800 ตารางเมตรเศษ ขณะที่หลักฐานเอกสารในอดีตบันทึกขนาดดั้งเดิมของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์และหมู่ตำหนักบริวารขยายออกไปมากกว่า 1 เท่าตัว ดังนั้น เชื่อว่าในโอกาสที่เหมาะสมแล้วคงจะได้มีการดำเนินงานอนุรักษ์และพัฒนารากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์อย่างเต็มรูปแบบต่อไป<br /><span style="font-size:180%;"></span><br /><span style="font-size:180%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524788300770471250" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 265px; CURSOR: hand; HEIGHT: 175px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjHO2iDKacshjAWSqXzMUU1s9qIJRs0yrta0x3BOynauPUpWdY8vPojsdqoE4NR9YUH7u5gDr49OJohDrPL_sFgqYiUAD-R-8-GlhSgGXPvARzHZj0k8qh5mB1dNdjhWS4YS1FRHtyOkf4/s320/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C.jpg" border="0" /></span><br /><span style="font-size:130%;">โบราณวัตถุสำคัญบางส่วนที่พบจากการขุดแต่ง</span></div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5542965801982084274" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 120px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihyphenhyphenMF_J8BttiSzHD7qPQIMKMp5lxNK0NQJ6n7XPkgJdgQY6IQUrG9J7Fn_Lq7jAEhUPFh7DaeKEn0BLytKx96Koj5fWv7MovWR4x5Enr4-xBkaXU6RwbaSfiRWsWEmaoL1Rnpfzu1Woi9Q/s320/scan0024.jpg" border="0" /> ลายเส้นชิ้นส่วนกระเบื้องเชิงชายเคลือบสีเหลืองลายเทพนม<br /><div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5542966221525414546" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 141px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjI5Syue2HEd5cb0usB8g_JebfkvAEwFUFf0Z-rjApaPgA5HgMMEtrt1-eyk2SyE-iJ713vBjPVevc2DB5nuzS-AWwEBvt3_f_uymt_egP8roNI2o2S5XzPB1PNJcoqNiQlU6GsSUnzcgRY/s320/scan0023.jpg" border="0" /><br />ลายเส้นกระเบื้องเชิงชายลายกระจัง<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5542966645062861426" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 153px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioIobiN-cz9Af0bSvi5Fbb706wb1AsZpvRHpmCmHXNFtbCFADjgkc-XzlznlBGWU2DJWtjmoLsJ1uTsXvNs-OIsVzdj0FnrrckjYl-cqooBEt9KVydS2JH_fkD9boe9V5i1-hn5r-tQW4V/s320/scan0025.jpg" border="0" /><span style="font-size:130%;">แผ่นป้ายหินระบุข้อหาลักทรัพย์สิ่งของเมื่อพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ถูกแปลงเป็นเรือนจำสมัยรัชกาลที่4-5</span></div><br /><div><br /><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5544815390170482402" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 241px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgOsGsk4otxIRdqQ0sO-FvXbphORjZ3Bb_RZnUgN0ps58ScI_rXxW9LnM01LJHlrpukcVxD_JfHnDfG7vOk06dnbLhcZWIr1g0vqxN2lsZzqN0QL2G2YPda3vVLv7jLX03so7PwNcFj3W0/s320/%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259A.png" border="0" /></div></div></div>อ่างอาบน้ำสาธารณะแบบโรมัน (ขอขอบคุณข้อมูลจากwww.google.com) กรุขอบด้วยหินอ่อน<br /><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5544815324177991714" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 191px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhY7kwcAWrAhtg5tks8fKP4q8qTDdB0kT5ofuJ6vEKxdbCl2RgmOpCgmuxE4WWxcnx9aoVtvFqFZ5W2j1YV9m-IsKQidvBiF4_nfyt2YHo1reL1NISSQmiA2xSv9dkfacxBsrlh3jBRSeOk/s320/%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25991.png" border="0" /></p><p>ลักษณะหินที่กรุขอบบ่อและรางน้ำคล้ายที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์(ขอขอบคุณข้อมูลจากwww.google.com)<br /></p><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5544815184936649778" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 214px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJW_8_UcDSDTUySAsxox2E0osu8P5VbiZruaznvJuTdH_BVofYvoOzwlXFge5Pp5D5dNvyCDqxiWC2HCHWIeR1XohgikzVxmFJMIfPYS6iDi7kwwL4H5hJ7ev3jRt2FVXLh727z_ZSYHRJ/s320/%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599.png" border="0" />นอกจากนี้ยังปูพื้นด้วยแผ่นหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเช่นกัน(ขอขอบคุณข้อมูลจากwww.google.com)</p>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-40026223612677737162010-09-26T21:01:00.000-07:002010-11-17T03:50:32.494-08:00ประมวลการสอนและแผนการสอน วิชาประวัติศาสตร์ยุโรปร่วมสมัย<span style="font-size:130%;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5a1wbUHiAaponj3YNGKxC4JnTUEbLo2A2cVqh49qacVSlNU2wcV1P3Cjn_9uxI06iFBqA6vhgqPa4dRYRD9tPVsriAZsiPJbScxHYdHOjKY80nebVYnT-An-nVrx6Ump-L3xjDUbRPOAe/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%ADwestern+civilization.1amazon_+thank+you.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5521444712891209522" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 155px; CURSOR: hand; HEIGHT: 197px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5a1wbUHiAaponj3YNGKxC4JnTUEbLo2A2cVqh49qacVSlNU2wcV1P3Cjn_9uxI06iFBqA6vhgqPa4dRYRD9tPVsriAZsiPJbScxHYdHOjKY80nebVYnT-An-nVrx6Ump-L3xjDUbRPOAe/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%ADwestern+civilization.1amazon_+thank+you.jpg" border="0" /></a></span> <span style="font-size:130%;">รหัสวิชา …………. </span><br /><span style="font-size:130%;">ชื่อวิชา ประวัติศาสตร์ยุโรปร่วมสมัย</span><br />จำนวน 3 หน่วยกิต<br />รายวิชาสังกัดคณะ .................<br />ภาควิชา ประวัติศาสตร์<br />ภาคการศึกษา ……........<br />ปีการศึกษา....................<br /><span style="font-size:130%;">อาจารย์ผู้สอน</span> อาจารย์ พิทยะ ศรีวัฒนสาร<br /><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;">คำอธิบายรายวิชา</span><br />เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ตั้งแต่การสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน<br /><br /><span style="font-size:130%;">วัตถุประสงค์ของรายวิชา</span><br />1. ด้านคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้นิสิตเรียนรู้จิตสำนึกทางจริยธรรมร่วมสมัยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคที่ศึกษา<br />2.ด้านความรู้ เพื่อให้นิสิตสามารถอธิบายเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในยุโรปตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่2 (ค.ศ.1945)จนถึงปัจจุบัน ได้อย่างถูกต้องใกล้เคียงกับความจริงที่สุดด้วยกระบวนการทางประวัติศาสตร์<br />3.ด้านทักษะทางปัญญา เพื่อให้นิสิตสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ยุโรปร่วมสมัยและเชื่อมโยงกับภูมิหลังที่เป็นแรงผลักดันต่างๆในอดีตก่อนหน้าได้อย่างถูกต้อง รวมถึงสามารถคาดการณ์แนวโน้มต่างๆที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคได้อย่างแม่นยำภายใต้แนวคิดและหลักฐานทางประวัติศาสตร์<br />4.ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ เพื่อให้นิสิตมีโอกาสฝึกฝนทักษะในการทำงานกลุ่ม(Teamwork)และการแบ่งความรับผิดชอบในการทำงานระดับกลุ่ม(Team Working)และระดับปัจเจกบุคคล(Individual Responsibility)อย่างมีคุณภาพ<br />5.ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้นิสิตได้เพิ่มพูนทักษะการนำเสนอรายงานหน้าชั้นเรียนอันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสม ปลูกฝังและพัฒนาความรู้ ความสามารถในการเสนอตัวตนและผลงานสู่สาธารณชน โดยใช้องค์ประกอบเทคโนโลยีอย่างหลากหลาย อาทิ สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ เพาเวอร์ พอยท์(Power Points) ซีดี&ดีวิดี (CD&DVD)และโสตทัศนูปกรณ์อื่นที่รวบรวมและสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างทันสมัย<br /><br /><span style="font-size:130%;">การประเมินผลผู้เรียน<br /></span>1. การสร้าง KM Web Blog ของเนื้อหาประวัติศาสตร์ยุโรปร่วมสมัย10%<br />2. รายงานการค้นคว้าด้วยตนเองและการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 10 %<br />3. รายงานกลุ่มและการนำเสนอในรูปแบบที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 10 %<br />4. สอบกลางภาค 20 %<br />5. สอบปลายภาค 50 %<br />รวม 100 %<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่ 1</span><br /><span style="font-size:130%;">ปฐมนิเทศ( Orientation to the Contemporary History of Europe)<br /></span>-แนะนำรายวิชาและแหล่งข้อมูล<br />-แสดงความคิดเห็น เรื่อง ความหมายและขอบเขตของ “ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย”<br />- สอนเรื่องการสร้าง Web Blog เพื่อฝึกฝนการจัดการความรู้เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ยุโรปร่วมสมัยด้วยตนเองตลอดภาคการศึกษา<br />-มอบหมายให้นิสิตไปเลือกศึกษาและวิพากษ์ประเด็นที่น่าสนใจรายบุคคลจากสื่อ You tube<br />-ใช้สื่อ Power points<br />-แนะนำให้ใช้สื่อ You tube ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุโรปร่วมสมัย<br />-กิจกรรมละลายพฤติกรรม(Ice-breaking)<br />- แบ่งกลุ่มเพื่อทำรายงานประจำภาคเรียน<br />-มอบหมายให้นิสิตเตรียมตอบคำถามประเด็นเรื่อง Baby boom กับ Baby bust เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนและบันทึกผลการค้นคว้าลงใน Web Blog ส่วนตัว<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่ 2 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 1 โครงสร้างทางสังคมของยุโรปร่วมสมัย</span><br />1.1 แนวโน้มของประชากรในยุโรป(Population Trends in Europe)<br />1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างประชากรและอำนาจ(Population and Power)<br />1.3 การลดลงของอัตราการเกิดในยุโรป (The Baby Bust)ตั้งแต่ทศวรรษ1980s<br />1.4 สังคมเมือง(Urbanization)ในยุโรปคริสต์ศตวรรษที่20<br />1.5 การเปรียบเทียบสังคมเมืองในยุโรปกับภูมิภาคอื่น(Global Urbanization)<br />1.6 ความหลากหลายของสังคมเมืองในยุโรป(Variation of Urbanization within Europe)<br />1.7 การอพยพออกจากยุโรปและเข้าสู่ยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่20<br />-การอภิปรายและซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง The Baby boom กับThe Baby bust ก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลัก<br />-บรรยายด้วยสื่อ Power Points<br />-มอบหมายให้นิสิตเตรียมอภิปรายเรื่อง การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป(European Industrialization)และผลสืบเนื่อง<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่3 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 2 โครงสร้างทางเศรษฐกิจของยุโรปร่วมสมัย</span><br />2.1 การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมการเกษตร(The Persistence of Agricultural Civilization)<br />2.2 การคลี่คลายของเศรษฐกิจทางการเกษตร(The Gradual Decline of Agriculture)<br />2.3 ความสืบเนื่องของกระบวนการอุตสาหกรรม(Continuing of Industrialization)<br />2.4 การเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมของอังกฤษและเยอรมนี(Anglo-German Industrial Leadership)<br />2.5 ความก้าวหน้าและตกต่ำทางด้านอุตสาหกรรมของรัสเซีย(The Rise and Fall of Russian Industry)<br />2.6 ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาติและมาตรฐานการครองชีพ(Gross National Product and Standard of Living)<br />2.7 เศรษฐกิจยุโรปในบริบทโลก(Global Context)<br />-นิสิตอภิปรายเรื่อง European Industrialization และผลกระทบ ก่อนเข้าสู่บทเรียน<br />-บรรยายด้วยสื่อPower Points และนำเสนอสื่อ Youtube เรื่อง วิถีชีวิตในยุโรปต้นศตวรรษที่20<br />-มอบหมายให้นิสิตไปศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์และเปรียบเทียบคำสำคัญในประวัติศาสตร์ยุโรปร่วมสมัยด้วยตนเอง คนละ 5 คำ (10 คะแนน)<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่ 4 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 3 เศรษฐกิจยุโรปหลังยุคอุตสาหกรรม(The Postindustrial Economy)</span><br />3.1 เศรษฐกิจภาคบริการของยุโรป(The Service Economy; the Tertiary Economy)<br />3.2 การกำหนดกรอบโครงของเศรษฐกิจภาคบริการ(Defining Service Economy)<br />3.3 เจ้าหน้าที่ของรัฐและบริการสาธารณะ(Bureaucracy and Public Service)<br />3.4 เศรษฐกิจภาคบริการในต้นคริสต์ศตวรรษที่20(The Service Economy of the Early 20th Century)<br />3.5 การเติบโตของเศรษฐกิจภาคบริการหลังค.ศ.1945(Post-1945 Boom of Service Economy)<br />-บรรยายด้วยสื่อ Power Points<br />-สุ่มถามความก้าวหน้าในการศึกษาค้นคว้า, -ให้นักศึกษาเตรียมรวบรวมสรุปคำบรรยายทุกครั้งตลอดภาคการศึกษา เพื่อบันทึกลงใน Web Blogของตน โดยมีการเพิ่มภาพประกอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม<br />(10 คะแนน)<br />-ให้นิสิตเตรียมอภิปรายและแสดงความคิดเห็น ว่า การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและการเมืองของสตรีชาวยุโรป เริ่มต้นเมื่อใด<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่5 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 4 อายุ เพศสภาวะ และแรงงานในยุโรป(Age, Gender and the Labor Force)</span><br />4.1 อายุและอัตราการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ(Age and the Participation Rate)<br />4.2 สัปดาห์งานของชาวยุโรป(The Workweek)<br />4.3 การจ่ายค่าจ้างระหว่างวันหยุด(Paid Vacation)<br />4.4 การขยายตัวของการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ(Growth of the Participation Rate)<br />4.5 การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของผู้หญิง(Women in the Economy)<br />4.6 การเปลี่ยนแปลงบทบาทในการทำงานของผู้หญิง(The Changing Work Role of Women)<br />-การอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเรื่องการการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและการเมืองของสตรีชาวยุโรปเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด<br />-บรรยายด้วยสื่อPower Points, -ให้นิสิตเตรียมเลือกหัวข้อการทำรายงานกลุ่มประจำภาคเรียนตามความสนใจ เพื่อนำเสนอเค้าโครงเรื่อของงรายงานในสัปดาห์ที่ 5<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่ 6 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 5 ชีวิตประจำวันในยุโรป: การปฏิวัติแบบแผนการดำเนินชีวิต (Way of Life in Europe: The Vital Revolution after 1900)</span><br />5.1 การลดอัตราการตายของทารก(The Decline of Infant Mortality)<br />5.2 อัตราการมีอายุที่ยืนยาวขึ้น(The Improvement of Life Expectancy)<br />5.3 แบบแผนวงจรชีวิตในยุโรป(Pattern in Life Cycle in Europe )ตั้งแต่ค.ศ.1900<br />5.4 ช่วงวัยของการแต่งงาน การหย่าร้าง การลดอัตราการเกิด ขนาดของครอบครัว<br />5.5 การให้กำเนิดบุตรนอกสมรส(Illegitimacy Births)<br />5.6 การคุมกำเนิดและการต่อต้านการคุมกำเนิด (ยาคุมกำเนิด-Contraceptive, Vatican)<br />5.7 การทำแท้ง(การทำแท้งก่อนค.ศ.1945 การทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย การทำแท้งในยุโรปตะวันออก)<br />-บรรยายด้วยสื่อ Power Points<br />-เปิดโอกาสให้นิสิตซักถามในประเด็นที่มีข้อสงสัย<br />-นิสิตนำเสนอเค้าโครงเรื่องของรายงานกลุ่มประจำภาคการศึกษา<br />-มอบหมายให้นิสิตเตรียมอภิปรายกลุ่มเรื่อง “ความก้าวหน้าด้านต่างๆของยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2”<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่7 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 6 ความสืบเนื่องของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในคริสต์ศตวรรษที่20 (The Continuing Vital Revolution)</span><br />6.1 การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการผลิตทางการเกษตร(The Vital Revolution and Agriculture)<br />6.2 การผลิตธัญพืชของยุโรป(Grain Production)<br />6.3 เกษตรกรรมแบบก้าวหน้าของยุโรป(Agronomy and Mechanized Agriculture)<br />6.4 การเพิ่มขึ้นของอัตราการติดเชื้อ(Infectious Disease) และการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในยุโรป<br />(The persistence of contagious Disease)<br />6.5 ความก้าวหน้าของยารักษาโรคและ การเอาชนะโรคระบาด(The Conquest of Contagious Disease)และมหัศจรรย์แห่งยา(Miracle of Drugs)<br />-นิสิตแบ่งกลุ่มอภิปรายเรื่อง “ความก้าวหน้าด้านต่างๆของยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่2”<br />-บรรยายด้วยสื่อ Power Points<br />-มอบหมายให้นิสิตเตรียมแสดงความคิดเห็นเรื่อง “การอพยพออกของชาวยุโรปและการอพยพเข้าสู่ยุโรปของชาวต่างชาติในคริสต์ศตวรรษที่20” ในสัปดาห์ที่8<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่8 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่7 ยุโรประหว่างยุคสงครามเย็น ค.ศ. 1945-1977, 7.1 สภาพทั่วไปของยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2(ค.ศ. 1945-1949)</span><br />7.2 การอพยพในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่2(Postwar Population Migration)<br />7.3 ความขัดสนระหว่างทศวรรษ1940 และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ(The Austerity of the 1940s and the Economic Recovery) และแผนการมาร์แชล( The Marshall Plan)<br />7.4 ยุโรปตะวันออกกับการก่อตัวของสงครามเย็น (ค.ศ.1945-1949)และบทบาทของรัสเซีย<br />7.5 การยึดอำนาจของคอมมิวนิสต์ในเชคโกสโลวะเกีย(Communist Coup in Czechoslovakia)<br />สถานการณ์ในฮังการี โปแลนด์<br />7.6 การปิดล้อมกรุงเบอร์ลินของโซเวียต(The Berlin Airlift)และความหมายของ “ม่านเหล็ก” ( Iron Curtain)<br />-นิสิตแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง “การอพยพออกของชาวยุโรปและการอพยพเข้าสู่ยุโรปของชาวต่างชาติในคริสต์ศตวรรษที่20”<br />-บรรยายด้วยสื่อ Power Points<br />-นำเสนอสื่อ You tube เกี่ยวกับแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์<br />-การทบทวนประเด็นสำคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สัปดาห์ที่2-8 เพื่อเตรียมสอบกลางภาค<br />-ติดตามความก้าวหน้าของการจัดการความรู้ในWeb Blog ของนิสิต<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่ 9 </span><br /><span style="font-size:130%;">การติดตามความก้าวหน้าของ KM Web Blog ของนิสิต</span><br />-ตรวจแก้สำนวน การอ้างอิงแหล่งข้อมูลในKM Web Blog<br />-แนะนำแบบอย่างที่ดีของWeb Blog วิชาการ อาทิ www. ayutthayahistory research.Com, http://bidyarchar.blospot.com<br />-การซักถาม แสดงความคิดเห็น<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่ 10 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่ 8 สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของยุโรประหว่างสงครามเย็น</span><br />8.1 การฟื้นตัวของประเทศค่ายประชาธิปไตยในยุโรป<br />8.2 สหราชอาณาจักร: บทบาทของ Clement Atlee และกำเนิดของรัฐสวัสดิการ<br />8.3 ชาตินิยมในสหราชอาณาจักรและผลกระทบ<br />8.4 ชาตินิยมหลังสงครามโลกครั้งที่2 ในฝรั่งเศสและสิทธิสตรีในฝรั่งเศส<br />8.5 สาธารณรัฐที่ 4 แห่งฝรั่งเศสกับบทบาทของ Jean Monnet ในการวางแผนเศรษฐกิจ<br />8.6 สาธารณรัฐที่ 5(The Conservative Republic) ของฝรั่งเศสกับลัทธินิยมเดอโกลล์ (Gaullism)<br />-บรรยายด้วยสื่อ Power Points<br />-การซักถามและแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่เกี่ยวข้อง<br />-ติดตามความคืบหน้าของรายงานกลุ่มประจำภาคเรียน<br />-มอบหมายให้นิสิตเตรียมอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิดและผลงานของ Conrad Adenauer<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่ 11 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่9 การฟื้นตัวของเยอรมนีตะวันตกและการสิ้นสุดยุคอาณานิคมปลายยุคสงครามเย็น</span><br />9.1 กำเนิดของเยอรมนีตะวันออก(East Germany)<br />9.2 เยอรมนีตะวันตก(West Germany)กับบทบาทของ คอนราด อาเดนนาวเออร์ (Conrad Adenauer )และมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ (The Economy Miracle)<br />9.3 คุณลักษณะแบบเยอรมัน(German Model): ต้นแบบความสงบของปัญหาแรงงานและความมั่นคงทางการเมือง(Labor Peace and Political Stability)<br />9.4 สนธิสัญญาเยอรมัน-ฝรั่งเศสที่พระราชวังเอลิเซ (The Elysée Treaty1963)<br />9.5 ยุโรปกับการปลดปล่อยอาณานิคม (ค.ศ.1945-1975)<br />-การอภิปราย ซักถามและแสดงความคิดเห็นเรื่อง “แนวคิดและผลงานของ Conrad Adenauer<br />-บรรยายด้วยสื่อ Power Points<br />-ให้นิสิตเตรียมอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องกลาสนอสต์(Glasnost)และ เปเรสตรอยกา(Perestroika)<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่12 </span><br /><span style="font-size:130%;">บทที่10 ประวัติศาสตร์ยุโรปร่วมสมัย: ยุคสหภาพยุโรป(ค.ศ. 1975 ถึงปัจจุบัน)</span><br />10.1 ความก้าวหน้าของยุโรปและรัฐสวัสดิการตั้งแต่ค.ศ.1975-ปัจจุบัน<br />10.2 มาร์กาเรต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher)กับการปฏิวัติพรรคอนุรักษ์นิยม<br />10.3 ความไม่พอใจในยุโรปตะวันออกและการเคลื่อนไหวของสหภาพSolidarityในโปแลนด์<br />10.4 การปฏิวัติของกอร์บาชอฟ (Gorbachev) ในสหภาพโซเวียตและการล่มสลายของสหภาพโซเวียต(The Breakup of the Soviet Union, 1989-1991)<br />10.5 การสิ้นสุดสงครามเย็น(ค.ศ.1985-1989)<br />11.6 เฮลมุต โคห์ล(Helmut Kohl)กับการรวมประเทศเยอรมนี(ค.ศ.1989-1990)<br />10.7 สหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกตั้งแต่ ค.ศ.1975 - ปัจจุบันกับบทบาทในยุคโลกาภิวัตน์<br />-การอภิปราย ซักถามและแสดงความคิดเห็น เรื่อง กลาสนอสต์(Glasnost)และเปเรสตรอยกา(Perestroika)<br />-บรรยายเนื้อหาด้วยสื่อPower Points<br />-นำเสนอสื่อYou tubeเรื่องการทำลายกำแพงเบอร์ลิน<br />-การติดตามและตรวจสอบความสมบูรณ์ถูกต้องของ KM Web Blogของนิสิต<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่ 13 </span><br /><span style="font-size:130%;">นิสิตนำเสนอรายงานประจำภาคเรียน</span><br />-อาจารย์วิจารณ์และให้ข้อเสนอแนะหลังการนำเสนอรายงานของแต่ละกลุ่ม<br />-ให้นิสิตพิมพ์สำเนาของKM Web Blog ส่งเป็นหลักฐาน<br />สัปดาห์ที่14 นิสิตนำเสนอรายงานประจำภาคเรียน<br />-อาจารย์วิจารณ์และให้ข้อเสนอแนะหลังการนำเสนอรายงานของแต่ละกลุ่ม<br />-ให้นิสิตพิมพ์สำเนาของKM Web Blogส่งเป็นหลักฐาน<br /><br /><span style="font-size:130%;">สัปดาห์ที่15</span><br /><span style="font-size:130%;">สรุปบทเรียน</span><br />-นิสิตส่งสำเนารูปเล่มรายงานและบันทึกผลงานลงในWeb Blog ส่วนตัว<br />-แจ้งผลคะแนนเก็บ<br />-ตรวจสอบความสำเร็จในการจัดการความรู้ของนิสิต<br /><br /><span style="font-size:130%;">ตำราเรียนหลัก</span><br />Steven C. Hause and William Maltby, “Chapters 30-32” Western Civilization: A History of<br />European Society. 2nd Edition. Belmont: Thomson Wadworth, 2005.<br /><br /><span style="font-size:130%;">องค์ประกอบอื่นๆ</span><br />กอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียร (บรรณาธิการ) อารยธรรมตะวันตก ฉบับปรับปรุง.ภาควิชา<br />ประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: แสงรุ้งการพิมพ์, 2522.<br />ธนู แก้วโอภาส. ประวัติศาสตร์ยุโรป. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2544.<br />วิมลวรรณ ภัทโรดม. สหภาพยุโรปโฉมใหม่และ 25 ประเทศสมาชิก. ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่ง<br />จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ: บริษัท พี เพรส จำกัด,2549.<br />สุปราณี มุขวิชิต.ประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่ปี ค.ศ.1815-ปัจจุบัน เล่ม 2. (ฉบับปรับปรุง)<br />ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โอเดียน สโตร์,2541.<br />สุรเกียรติ เสถียรไทย (หัวหน้าโครงการวิจัย) รายงานการศึกษาวิจัยเรื่องโอกาสและ<br />ผลกระทบจากการรวมตัวเป็นยุโรปตลาดเดียวและความเปลี่ยนแปลงในยุโรป<br />ตะวันออกต่อประเทศไทยในด้านการลงทุน โดย ศูนย์วิจัยกฎหมายและการพัฒนา<br />คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />อัธยา โกมลกาญจน์. อารยธรรมตะวันตก.ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง.<br />กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2539.<br />เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา, สิริพรรณ นกสวน และพฤทธิสาณ ชุมพล, มรว.(บรรณาธิการ), คำและ<br />ความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550.<br />Abernethy, David B.. The Dynamics of Global Dominance : European Overseas<br />Empires,1415-1980. London and New Haven: Yale University Press ,2000.<br />Bartlett, Robert. The Making of Europe. Princeton University Press, Princeton, New Jersey,<br />1997.<br />Bulmer, Simon. Lequesne, Christian. The Member States of the European Union.<br />Oxford University press, New York, 2005.<br />Burns, Edward Mcnall. Western Civilization: Their History and Their Culture. W.W. Norton and Company Inc. New York, 1963.<br />Cook, Chris & Stevenson, John. 3rd edition. Modern European History 1763-1997,<br />Longman London and New York, 1998.<br />Garton Ash, Timothy. History of the Present : Essays, Sketches and Despatches<br />from Europe in the 1990s. Penquin books, 2000.<br />Hutchings, Graham. Modern China : A Guide to a Century of Change. Cambridge,<br />Massachusetts, Harvard University Press. 2001.<br />Judt, Tony . Postwar A History of Europe since 1945. The Penquin Press, New<br />York,2005.<br />Ohmae, Kenichi . The End of The Nation State : the Rise of Regional Economies.<br />New York,1995. England, The Penquin Books, 2000.<br />Veltmey, Henry. Globalization and Anti-globalization : Dynamics of Change in the<br />New World Order. Printed and bound by MPG Books Ltd., Bodmin, Cormwall<br />Reprinted 2005.<br />Youtube.com<br />Wikipedia.comพิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-29249046768902101532010-08-19T19:48:00.000-07:002010-11-26T01:36:47.625-08:00ปัจจัยแห่งความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของเมืองพระนครศรีอยุธยา<div align="justify"><span style="font-size:180%;">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</span><br /><span style="font-size:180%;"></span><br />ที่ราบภาคกลางของประเทศไทยมีพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในพื้นที่เกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาเองก็ปรากฏร่องรอยการแพร่กระจายของโบราณวัตถุและโบราณสถานที่สามารถกำหนดอายุได้ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๑๖–๑๗ เป็นต้นมา พระพุทธรูปพระประธานขนาดใหญ่ของวิหารหลวงวัดพนัญเชิงนอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาก็มีหลักฐานยืนยันว่า สถาปนาขึ้นเมื่อพ.ศ.๑๘๖๗ บ่งชี้ให้เห็นรากฐานของพัฒนาการทางสังคม การเมืองและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา จนถึงพ.ศ.๑๘๙๓ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาจึงบันทึกว่า<br /><br />“ศุภมัสดุ ศักราช๗๑๒ ปีขาล โทศก (พ.ศ.๑๘๙๓) วันศุกร์ขึ้น ๖ ค่ำเดือน ๕ เพลา<br />๓ นาฬิกา ๙ บาท สถาปนากรุงพระนครศรีอยุธยา ชีพ่อพราหมณ์ให้ฤกษ์ตั้งพิธีกลบ<br />บาตร ได้สังข์ทักษิณาวัฏใต้ต้นหมันใบหนึ่ง แล้วสร้างพระที่นั่งไพฑูรย์มหาปราสาทองค์หนึ่ง สร้างพระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาทองค์หนึ่ง สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์มหาปราสาทองค์หนึ่ง แล้วพระเจ้าอู่ทองเสด็จเข้ามาเสวยราชสมบัติ พระชนม์ได้ ๓๗ พรรษา ชีพ่อพราหมณ์ถวานพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว...”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a><br /><br />กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา วัฒนธรรมและวิทยาการนานถึง ๔๑๗ ปี มีราชวงศ์ต่างๆปกครองทั้งหมด ๕ ราชวงศ์ได้แก่ ราชวงศ์อู่ทอง (พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๕๒) ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (พ.ศ. ๑๙๕๒ -๒๑๑๒) ราชวงศ์สุโขทัย (พ.ศ. ๒๑๑๒–๒๑๗๒) ราชวงศ์ปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๒–๒๒๓๑)และราชวงศ์บ้านพลูหลวง(พ.ศ.๒๒๓๒– ๒๓๑๐)และมีพระมหากษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๓๔ พระองค์ ในปีพ.ศ.๒๓๑๐กรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าปิดล้อมโจมตีและเผาทำลายจนสูญสิ้นฐานะศูนย์กลางทางการเมืองการปกครองของสยามประเทศไปโดยสิ้นเชิง<br /><br />สภาพที่ตั้งอันอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และมีลำคลองสาขาหลายสายไหลเชื่อมกันทั้งในและนอกกำแพงเมือง เป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการอุปโภค บริโภค การคมนาคม การค้าขายและการเกษตรกรรม ทั้งยังใช้เป็นแนวป้องกันการรุกรานของข้าศึกศัตรูได้เป็นอย่างดี ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ(พ.ศ.๒๐๙๑–๒๑๑๑) มีการขยายกำแพงเมืองและขุดทางน้ำเชื่อมกันระหว่างแม่น้ำลพบุรีกับแม่น้ำป่าสักเพื่อดัดแปลงให้เป็นคูเมือง กรุงศรีอยุธยาจึงมีสภาพเป็นเกาะคล้ายสัณฐานของเรือสำเภา หลักฐานประวัติศาสตร์กล่าวถึงกำแพงเมืองพระนครศรีอยุธยามีความยาววัดรวมกันทั้งสิ้น ๑๒ กิโลเมตร ป้อมปราการ ประตูเมือง ถนนปูอิฐขนานไปกับลำคลองม มีสะพานอิฐ สะพานศิลาหรือสะพานไม้ทอดเชื่อม<a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> จึงได้รับการขนานนามจากพ่อค้าและนักเดินทางชาวตะวันตกว่า “เวนิสแห่งตะวันออก”<br /><br />ภายในตัวเมืองแบ่งเขตที่อยู่อาศัยออกเป็น เขตพระราชวังหลวงติดกำแพงเมืองด้านเหนือ เขตพระราชวังหน้าติดกำแพงเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เขตพระราชวังหลังติดกำแพงเมืองด้านตะวันตก และในกำแพงเมืองยังมีเขตที่อยู่อาศัยของเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ราษฎร พ่อค้าไทย จีน อินเดีย เปอร์เซีย ฯลฯ เป็นต้น มีที่อยู่อาศัยของชาวมอญ ลาว จีน ญวน ญี่ปุ่น โปรตุเกส อังกฤษ ฮอลันดา ฝรั่งเศส มักกะสัน(มากัสซาร์)และอื่นๆนอกกำแพงเมืองทางทิศใต้อย่างเป็นสัดส่วน ชาวจีนส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ในย่านวัดพนัญเชิงขึ้นไปจนถึงปากคลองวัดดุสิตและในเกาะเมืองด้านใต้ตรงข้ามวัดพนัญเชิงและย่านป้อมเพชร ชาวอินเดียอาศัยนอกเกาะเมืองด้านใต้ ชาวอังกฤษและฮอลันดาอาศัยอยู่บริเวณย่านด้านใต้ของวัดพนัญเชิงลงมา ชาวโปรตุเกสอยู่บริเวณตำบลบ้านดินด้านใต้วัดบางกระจะลงมา ชาวญี่ปุ่นตั้งค่ายอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเยื้องกับหมู่บ้านโปรตุเกส<br /><br />กรุงศรีอยุธยามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของพระราชอำนาจสูงสุด พื้นฐานของพระราชอำนาจนี้มาจากขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธปรากฏอยู่ในกฎมนเทียรบาล อันเป็นเครื่องมือกำหนดแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีต่อพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นสมมติเทพซึ่งจะต้องมีการประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก<br /><br />กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีศูนย์กลางทางการปกครองแวดล้อมด้วยเมืองเล็กโดยรอบปริมณฑลเรียกว่า “หัวเมืองชั้นใน” ถัดออกไป คือ เมืองลูกหลวงหรือเมืองหลานหลวงเรียกว่า “หัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร”และเมืองประเทศราช ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๑๙๙๑–๒๐๑)มีการปฏิรูปการปกครองและยกเลิกการแต่งตั้งพระราชวงศ์ไปปกครองหัวเมืองสำคัญ(เมืองพระยามหานคร ) เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีอาณาเขตเพิ่มมาก จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเกิดปัญหาการสะสมกำลังพลเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์<br /><br />การปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีเหตุผลหลัก ๓ ประการ คือ การขยายอำนาจส่วนกลางออกควบคุมหัวเมืองต่างๆเพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การแบ่งแยกหน้าที่ของฝ่ายพลเรือนและทหารให้ชัดเจน และการถ่วงดุลย์อำนาจของขุนนางฝ่ายต่างๆมิให้มีโอกาสร่วมมือกันล้มราชบัลลังก์<a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a> จึงเกิดทำให้มีการกำหนดตำแหน่งสำคัญทางการเมือง คือ สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีผู้บังคับบัญชากรมกลาโหม สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดีผู้บังคับบัญชากรมมหาดไทยดูแลกำกับขุนนางและไพร่ฝ่ายพลเรือนทั้งในราชธานีและหัวเมืองต่างๆทั่วราชอาณาจักร รวมทั้งกรมจตุสดมภ์ทั้ง ๔ ได้แก่ เสนาบดีเวียง วัง คลังและนาอันเป็นหัวใจของการปกครองแบบจตุสดมภ์ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn4" name="_ftnref4">[4]</a><br /><br />สังคมอยุธยาเป็นสังคมของชนชั้น แบ่งเป็นชนชั้นผู้ปกครอง ชนชั้นที่อยู่ใต้ปกครอง และพระสงฆ์ ชนชั้นผู้ปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนางและข้าราชการ ส่วนชนชั้นที่อยู่ใต้ปกครอง ได้แก่ ไพร่และทาส สำหรับพระสงฆ์นั้นเป็นชนชั้นพิเศษที่แยกออกมาจากชนชั้นปกครองและชนชั้นที่ถูกปกครอง<br /><br />พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์กล่าวว่า การจัดระบบควบคุมกำลังคนหรือระบบไพร่นี้เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่๒ กล่าวคือ<br />“ศักราช ๘๘๐ ขาลศก(พ.ศ.๒๐๖๑) ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดี สร้างพระศรีสรรเพชญ์<br />เสวยราชสมบัติ แรกตำราพิชัยสงครามและแรก(ทำสารบาญ)ชี พระราชสัมฤทธิ์ทุกเมือง“<a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn5" name="_ftnref5">[5]</a><br /><br />ระบบไพร่แม้จะเป็นรูปแบบการควบคุมกำลังคนที่มีประสิทธิภาพและสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาหลายร้อยปี แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหานานาต่างๆ อาทิ ปัญหาไพร่หนีนาย มูลนายกดขี่ไพร่ ไพร่หลวงหนีงานหนักแล้วบวชเป็นพระ ไพร่หลวงติดสินบนมูลนายเพื่อให้รับตนเป็นไพร่สม มูลนายส้องสุมไพร่สมเพื่อชิงอำนาจทางการเมือง ทางการจึงออกกฎหมายห้ามมูลนายใช้งานไพร่หลวงดุจทาส กฎหมายห้ามเบียดบังไพร่หลวงเป็นไพร่สม การออกระเบียบให้ตรวจนับจำนวนไพร่ในสังกัดให้ถูกต้องตามบัญชีหางว่าว เป็นต้น<br /><br />กรุงศรีอยุธยามีการติดต่อค้าขายทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตทางเกษตรกรรม รวมถึงสินค้าประเภทของป่า และเป็นแหล่งระบายสินค้าทั้งสินค้าเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับ ผ้าและของฟุ่มเฟือยจากจีน อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกและยุโรป ฯลฯ สินค้าจากต่างประเทศมักมีราคาแพง ลูกค้าจึงเป็นชนชั้นปกครองและคหบดี<br /><br />ระยะแรกการค้าขายในกรุงศรีอยุธยาเป็นแบบเสรี เมื่อการค้ากับตะวันตกขยายตัวมากขึ้น จึงมีการตั้งกรมพระคลังสินค้า เพื่อดำเนินการผูกขาดทางการค้า ควบคุมสินค้าเข้าและสินค้าออก รวมทั้งกำหนดราคาสินค้าทุกชนิดด้วย สินค้าออกสำคัญ ได้แก่ ข้าว หมาก พลู ฝ้าย มะพร้าว กระวาน กานพลู พริกไท น้ำตาล เกลือ สินค้าป่าที่สำคัญคือ ไม้ กฤษณา อำพัน ฝาง งาช้าง หรดาล นอระมาด ช้าง ม้า นกยูง นกแก้วห้าสี แร่ทองคำ เงิน พลอย เครื่องสังคโลกและเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น สินค้าเข้าสำคัญ ได้แก่ ผ้า แพรพรรณ เครื่องถ้วยจีน เครื่องถ้วยญี่ปุ่น มีด ดาบ หอก เกราะ ทองแดง สารส้ม และเครื่องรัก เป็นต้น <a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn6" name="_ftnref6">[6]</a><br /><br />การเข้ามาของชาวต่างชาติทั้งจากเอเชียและยุโรปทำให้กรุงศรีอยุธยาสามารถเลือกสรร เรียนรู้และหล่อมหลอมศิลปวิทยาการจากต่างชาติ อาทิ การจ้างผู้เชี่ยวชาญการเดินเรือสำเภาชาวจีน การจ้างนักบัญชีและตัวแทนทางการค้าชาวอาหรับ การเรียนรู้ตำราพิชัยสงครามและวิทยาการปืนใหญ่จากชาวโปรตุเกส การรับรูปแบบศิลปวัฒนธรรม การเรียนรู้ภาษาโปรตุเกสเพื่อใช้เป็นภาษากลางในการติดต่อกับต่างชาคิ การจ้างชาวโปรตุเกสเป็นล่ามในราชสำนัก<a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn7" name="_ftnref7">[7]</a> เป็นต้น<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> กรมศิลปากร , พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพระราชหัตถเลขา, (กรุงเทพฯ: อมรการพิมพ์, ๒๕๑๖), ๑, ๑๑๑.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> จารุณี อินเฉิดฉาย “กรุงศรีอยุธยา, ” พัฒนาการอารยธรรมไทย , (กรุงเทพ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๓๖), ๒๐๕–๒๐๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล, เรื่องเดียวกัน, ๒๗๕–๒๗๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref4" name="_ftn4">[4]</a> เรื่องเดียวกัน, ๒๗๗–๒๗๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref5" name="_ftn5">[5]</a> กรมศิลปากร “พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์” คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัดและพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์, ๔๕๓.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref6" name="_ftn6">[6]</a> จารุณี อินเฉิดฉาย, เรื่องเดียวกัน , ๒๑๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref7" name="_ftn7">[7]</a> พิทยะ ศรีวัฒนสาร, “ชุมชนชาวโปรตุเกสในสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๐๕๙–๒๓๑๐“ ( วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑), ๑๓๘–๑๕๖, ๒๔๔–๒๖๐. และ ๒๖๑–๒๖๗.</div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-10886480139317625372010-07-29T03:18:00.004-07:002010-11-17T04:00:43.782-08:00วิพากษ์หนังสือโบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎี ของ ผศ ดร. สว่าง เลิศฤทธิ์โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร<br /><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">๑.มุมมองทั่วไปและเทียบเคียงวรรณกรรม(General views and related literatures)</span><br /><span style="font-size:130%;">๑.๑เสียงจากคนนอกวงการ: มโนทัศน์ของคำว่า “โบราณคดี”</span><br />มโนทัศน์ คือ แบบจำลองหรือผังความคิดดั้งเดิมในมันสมองของมนุษย์อันเกิดการเรียนรู้ ประสบการณ์หรือความรู้สึกนึกคิด สำหรับคนทั่วไปแล้ว เมื่อถูกถามว่าโบราณคดีคืออะไร คำตอบที่ได้รับค่อนข้างห้วนๆ ขาดช่วงและไม่ต่อเนื่องกันทางความคิด อาทิ นางสุมณี ศาตะโยธิน อายุ ๖๕ ปี การศึกษาระดับประถมต้น อาชีพแม่บ้านเกษียณอายุ มีอาการยิ้มอายๆและอึกอักๆก่อนที่จะใช้ความพยายามตอบคำถามของผู้วิพากษ์ว่า “นึกถึงของเก่าของแก่ โบร่ำโบราณ”<br /><br />เมื่อถามพนักงานขายกาแฟเอกเปรสโซหน้าศูนย์สารสนเทศและหอสมุดมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ว่า โบราณคดี คือ อะไร พนักงานคนดังกล่าวอ้ำๆอึ้งๆอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า หมายถึง “ของโบราณโบราณ”<br />ในคำถามเดียวกัน ครูช่วยสอนวิชาห้องทดลองวิชาวิศวกรรมศาสตร์คำตอบว่า น่าจะหมายถึง “บ้านเชียง ..ความเก่าแก่ …พระราชวังและตำนาน…”<br /><br />เมื่อถามนักศึกษาหญิงคนหนึ่งหน้าลิฟต์ของอาคาร๖ ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ก็ได้รับคำตอบห้วนๆเช่นกันว่า โบราณคดีหมายถึง “วัตถุโบราณ สิ่งของโบราณ”<br />เพื่อตรวจสอบว่าในกลุ่มของผู้ที่ได้รับการศึกษาระดับปริญญาตรี-โท-เอกสาขาวิชาต่างๆมีมโนทัศน์อย่างไรเกี่ยวกับคำว่า โบราณคดี ก็ได้รับคำตอบค่อนข้างชัดเจนขึ้น ดังนี้<br /><br />ดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาการท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม เคนต์ ประเทศอังกฤษผู้หนึ่ง อธิบายมโนทัศน์ต่อคำว่า “โบราณคดี” ว่า “นึกถึง antiques (โบราณวัตถุ)และการขุดค้นที่แสดงให้เห็นวิถีชีวิตของคนในอดีต”<br /><br />ศุภมิตร เอกวรรณัง มหาบัณฑิตสาขาวิชาภูมิศาสตร์กล่าวถึงโบราณคดีว่า “เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณสถาน”<br /><br />กรกิต ชุ่มกรานต์ มหาบัณฑิตสาขาวิชาประวัติศาสตร์ตอบว่า “เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว โบราณคดีแตกต่างจากประวัติศาสตร์ตรงที่ประวัติศาสตร์ศึกษาเรื่องราวจากเอกสาร โบราณคดีศึกษาเรื่องราวจากวัตถุ โดยจะแบ่งออกเป็นโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์โบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ทั้งสองสาขาวิชาต่างก็มีส่วนเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน”<br /><br />ซึ่งเป็นที่น่าคิดว่า ไม่มีผู้ใดนึกถึงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง “The Mummy” “The Mummy Return” หรือภาพยนตร์อันเป็นตำนานแห่งการผจญภัยของ “Indiana Jones” ดังเช่นที่ไบรอัน เอ็ม. ฟาแกน(Brian M. Fagan)ได้เปรียบเปรยไว้ในหนังสือชื่อ “Archaeology : A Brief Introduction” (Eighth Edition)แม้แต่คนเดียว<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a><br /><br />อย่างไรก็ดี จากการประมวลความหมายของคำว่า “โบราณคดี”แบบคร่าวๆดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ผู้คนนอกวงการโบราณคดีแต่ละระดับความรู้ แต่ละยุคสมัย แต่ละวัย และแต่ละสถานภาพ ต่างก็มีมโนทัศน์ต่อคำว่า “โบราณคดี” แตกต่างกันออกไป ทว่าสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเกือบทั้งหมดมีความเข้าใจร่วมกันคือ คำว่า “ของโบราณ” เป็นคำสำคัญ(key word) ของคำว่า“โบราณคดี”<br /><br />๑.๒ มโนทัศน์ของคนในแวดวงโบราณคดี<br />การอธิบายความหมายของคำว่า“โบราณคดี”ให้กระจ่าง ถูกต้องครบถ้วนในแบบที่จะไม่ถูกท้วงติงว่า “เข้าใจผิดๆถูกๆ”นั้น อาจจำเป็นต้องลำดับคำกล่าวของนักวิชาการบางท่านมาอธิบายเปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดความชัดเจน ดังนี้<br /><br />ตามโบราณราชประเพณี วิชาโบราณคดีเป็นวิชาหนึ่งในศิลปศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์จะต้องทรงได้รับการศึกษา ผู้รู้ในระยะแรกๆของการบุกเบิกค้นคว้าทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี อาทิ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรัสถึงพระนิพนธ์เรื่องนิทานโบราณคดีว่า “เป็นเรื่องจริงที่ได้รู้เห็นมิได้คิดประดิษฐ์ขึ้น แต่เป็นเรื่องเกร็ดนอกพงศาวดาร จึงเรียกว่านิทานโบราณคดี”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> โบราณคดีในมโนทัศน์นี้ จึงเป็นเรื่องราวจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง สังคม วัฒนธรรม ประเพณีและศิลปกรรมแขนงต่างๆ<br /><br />ระยะต่อมา นิยามของโบราณคดีในมโนทัศน์ของคน“ใน”แวดวงวิชาการโบราณคดี จะปรุงแต่งออกมาในเชิงที่เกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ในอดีต สังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่และหลักฐานที่ถูกค้นพบอย่างเป็นกระบวนการ เพื่อให้เกิด “ความน่าเชื่อถือ” หรือ“ความเป็นวิทยาศาสตร์”<br /><br />จากการสัมภาษณ์ผู้มีความรู้ทางด้านวิชาโบราณคดีบางคน อาทิ ธนกฤต ลออสุวรรณ บัณฑิตและมหาบัณฑิตสาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายว่า “โบราณคดีเป็นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์สมัยโบราณทุกด้านไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งจะต้องมีการอ้างอิงหลักฐานอย่างเป็นรูปธรรมและสัมพันธ์กับสาขาอื่นๆ ทั้งประวัติศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และที่น่าสนใจคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียกผู้ที่ศึกษาเรื่องราวในพระราชพงศาวดารว่า นักเรียนโบราณคดี”<br /><br />“โบราณคดี”คำเดียวกันนี้“จะหมื่นบ๊อง(bong)” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a>(นามแฝง)ได้ร่วมตอบกระทู้ในเว็บไซต์วิชาการดอทคอม เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๗ เวลา ๒๑:๒๔:๒๕ น. สอดคล้องกับทัศนะของ ธนกฤตว่า “โบราณคดี คือ วิชาว่าด้วยการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในอดีต โดยอาศัยหลักฐานร่องรอยที่กาลเวลาเหลือทิ้งไว้ โดยเฉพาะสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น โบราณสถาน ศิลปกรรม ซากสิ่งมีชีวิตรวมทั้งซากมนุษย์ เครื่องมือเครื่องใช้ อักษรหนังสือและอื่นๆ กระทั่งก้อนขี้และอีกมากมาย ทั้งหลายทั้งมวลนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของขยะที่อดีตได้เหลือทิ้งไว้ให้” การตอบกระทู้แบบง่ายๆได้ใจความของ “จะหมื่นboNg” สะท้อนให้เห็นว่าเขาน่าจะมีพื้นฐานความรู้ทางโบราณคดีอีกผู้หนึ่งด้วยเช่นกัน แม้ว่าอันที่จริงแล้ว หาก “ก้อนขี้” ไม่ถูกฝังอยู่ในสภาพของ “fossil”ก็ยากที่จะเหลือมาถึงมือของ “จะหมื่นboNg”<br /><br />เจน แมคอินทอช(Jane McIntosh)ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการในการบุกเบิกทำงานของนักโบราณคดีแต่ละยุค ตั้งแต่สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการจนถึงยุคปัจจุบัน อ้างคำกล่าวของวิลเลียม แคมเดน(William Camden, ชาวอังกฤษ ค.ศ.๑๕๕๑–๑๖๒๓)ว่า “การศึกษาเรื่องราวสมัยโบราณ(Antiquiy-โบราณวิทยา) เปรียบเสมือนอาหารทิพย์อันเหมาะสำหรับคนซื่อสัตย์และมีเกียรติ” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn4" name="_ftnref4">[4]</a> และชี้ว่าโบราณคดีมีลักษณะของการศึกษาแบบเบ็ดเสร็จ(total study)ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์สิ่งของทุกอย่างที่เหลือจากอดีต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตขึ้นอีกครั้งหนึ่งเท่าที่จะสามารถทำได้ แม้ว่าหลายคนจะเข้าใจว่าโบราณคดีหมายถึงการขุดค้น แต่การขุดค้นที่ว่านี้ก็เป็นเพียงกระบวนการอย่างหนึ่งของกระบวนการหลายๆอย่างทางโบราณคดีเท่านั้นเอง<a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn5" name="_ftnref5">[5]</a><br /><br />ในทัศนะของไบรอัน เอ็ม. ฟากัน(Brian M. Fagan) โบราณคดีเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับอดีตของมนุษย์และพฤติกรรมของมนุษย์สมัยโบราณอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ของโบราณคดีเป็นส่วนหนึ่งของวิชามานุษยวิทยา(Fagan, p.4)<br /><br /><span style="font-size:130%;">๑.๓ ทบทวนวรรณกรรม(reviewed literatures)</span><br />สำหรับนักโบราณคดีชาวไทยแล้ว การนำแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีมาประยุกต์ใช้ในการทำวิจัยเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างจะยังไม่เห็นชัดเจน นักวิชาการที่ศึกษาทางด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา นับเป็นผู้รู้กลุ่มแรกๆที่ให้ความสนใจต่อการนำทฤษฎีมาเป็นแบบจำลองในการอธิบายเรื่องราวทางวิชาการอย่างโดดเด่น<br /><br />อมรา พงศาพิชญ์เป็นนักวิชาการอีกคนหนึ่งที่พยายามอธิบายให้เห็นพัฒนาการของทฤษฎีในการอธิบายองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๓๓ ดังปรากฏในงานเขียนเรื่อง “วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพันธุ์: วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษยวิทยา” โดยเฉพาะในปีพ.ศ.๒๕๔๓ งานเขียนเรื่อง “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn6" name="_ftnref6">[6]</a> ของเธอตอนหนึ่งได้อธิบายถึงทฤษฎีการแพร่กระจายวัฒนธรรมจากศูนย์กลางของรัฐด้วยการยกตัวอย่างที่โดดเด่นในงานของนักวิชาการสำคัญ ได้แก่ ธิดา สาระยา เรื่อง (ศรี)ทวารวดี งานของศรีศักร วัลลิโภดม เรื่อง “แอ่งอารยธรรมอีสาน”กับ “สยามประเทศ” และงานเขียนของสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา เรื่อง “น้ำ: บ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมไทย”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn7" name="_ftnref7">[7]</a><br /><br />งานวิจัยเรื่องวัฒนธรรมหมู่บ้านไทยของฉัตรทิพย์ นาถสุภาและพรพิไล เลิศวิชา อธิบายลักษณะทางวัฒนธรรมของหมู่บ้านไทย ๔ ภาคอย่างกลมกลืน ภายใต้การอ้างอิงหลักฐานพื้นเมืองและมานุษยวิทยา เพื่ออธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยไร้กลิ่นอายของทฤษฎีตะวันตก เว้นแต่เมื่อต้องการเชื่อมโยงคำอธิบาย จึงมีวิธีการนำเสนอที่อาจจับคู่เทียบได้กับแนวคิดของทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม ในกรณีที่อธิบายถึงการผสมผสานความเชื่อล้านนาดั้งเดิมของศาสนาพุทธจากอินเดีย และการนับถือพระธาตุประจำดอยซึ่งพัฒนามาจากความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุในอินเดีย<a title="" style="mso-footnote-id: ftn8" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn8" name="_ftnref8">[8]</a> เป็นต้น จึงนับเป็นพัฒนาการอีกรูปแบบหนึ่งในการนำเสนอทางวิชาการของนักวิชาการท่านนี้ แม้จะยังคงการนำทฤษฎีมาร์กซิสม์มาประยุกต์ใช้ ดังปรากฏในปาฐกถาเรื่อง “จากประวัติศาสตร์หมู่บ้านสู่ทฤษฎีสองระบบ” อันเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์หมู่บ้านไทย<a title="" style="mso-footnote-id: ftn9" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn9" name="_ftnref9">[9]</a><br /><br />ผลงานวิจัยของนักวิชาการชาวไทยที่นำเอาทฤษฎีทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมของนักวิชาการตะวันตกมาปรับใช้อย่างชัดแจ้ง ปรากฏอยู่ในรายงานวิจัยเรื่อง “วิธีคิดของคนไทย: พิธีกรรม : ‘ข่วงฝีฟ้อน’ ของ ‘ลาวข้าวเจ้า’ จังหวัดนครราชสีมา” โดยสุริยา สมุทรคุปต์และคณะแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ งานวิจัยชิ้นนี้พยายามที่จะอธิบายความหมายของคำว่า “วิธีคิด” ให้ชัดเจน ด้วยการลำดับแนวคิดของนักวิชาการทั้งชาวต่างประเทศตั้งแต่โคลด เลวี-เสตราส์(Claude Levi-Strauss) วิคเตอร์เทอร์เนอร์และแมรี ดักลาส(Victor Turner and Mary Douglas) มิเชล ฟูโกลท์(Michel Foucault) และแนวคิดของนักวิชาการชาวไทยตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ หลวงวิจิตรวาทการ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ พระเทพเวที(ประยุทธ์ ปยุตโต) จนถึงแนวคิดแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน นับเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำทฤษฎีทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมมาใช้ในการศึกษาชุมชนในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา<a title="" style="mso-footnote-id: ftn10" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn10" name="_ftnref10">[10]</a> ซึ่งก็เป็นที่น่าสังเกตอยู่ไม่น้อยเช่นกันเกี่ยวกับความเหมาะสมของการนำแนวคิดแบบตะวันตกภายใต้วิธีการศึกษาแบบข้ามวัฒนธรรม(cross- cultural discipline)มาประยุกต์ใช้และเปรียบเทียบ เพื่อที่จะอธิบายวิธีคิดของชาวนาไทยในเขตพื้นที่ดังกล่าว<br /><br />งานค้นคว้าวิจัยชิ้นหนึ่งของศาสตราจารย์ ชาร์ลส์ ไฮแอม(Charles Higham) แห่งมหาวิทยาลัยโอทาโกและดร.รัชนี ทศรัตน์แห่งกรมศิลปากรเรื่อง “Prehistoric Thailand: From Settlement to Sukhothai” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn11" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn11" name="_ftnref11">[11]</a> เสนอเรื่องราวพัฒนาการของอารยธรรมในดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยสุโขทัย โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งอาศัยกรอบแนวคิดและทฤษฎีการแพร่กระจายของวัฒนธรรม(cultural diffusionism) โดยมีกระบวนการแลกเปลี่ยนค้าขายและการเผยแพร่ศาสนา และทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม(structural functionalism)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn12" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn12" name="_ftnref12">[12]</a> เป็นองค์ประกอบในการอธิบาย<br /><br />ทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมนี้ แพร่หลายมากในสหรัฐอเมริกาโดยการริเริ่มของฟรอนซ์ โบแอส(Franz Boas)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn13" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn13" name="_ftnref13">[13]</a> ส่วนทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยมเป็นแนวคิดที่ริเริ่มสร้างสรรค์โดยอัลเฟรด อาร์. แรดคลิฟบราวน์(Alfred R. Radcliffe-Brown)ชาวอังกฤษเมื่อต้นศตวรรษที่๒๐ น่าเสียดายว่าไฮแอมและรัชนี ทศรัตน์มิได้บ่งชี้ชัดเจนว่า คำอธิบายในงานดังกล่าวอาศัยแนวคิดในทฤษฎีใด<br /><br />ตัวอย่างเนื้อหาการประยุกต์ใช้ทฤษฎีในงานค้นคว้าของไฮแอมและรัชนี ทศรัตน์ศึกษาได้จากข้อเสนอที่ระบุว่า รากฐานอารยธรรมในดินแดนประเทศไทยก่อตัวมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ การติดต่อกับสังคมต่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อารยธรรมดังกล่าวมีความก้าวหน้า แหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่สมัยเหล็กในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า สมาชิกของชุมชนมีฐานะมั่งคั่งจากหลักฐานสิ่งของที่ถูกฝังอยู่กับโครงกระดูกในหลุมศพ คนพื้นเมืองเหล่านี้เป็นคู่ค้าของพ่อค้าชาวอินเดีย ซึ่งนำสินค้านานาชนิดเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวอินเดียรู้จักเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะที่เป็น “สุวรรณภูมิ(The Land of Gold)” สินค้าที่พ่อค้าอินเดียนำเข้ามาคือ เครื่องประดับจาก หินอะเกต เครื่องประดับจากหินคาร์เนเลียนและเครื่องประดับจากแก้ว ส่วนสินค้าที่พ่อค้าอินเดียนำกลับไป คือ เครื่องเทศ เครื่องมือเครื่องใช้จากโลหะสำริดและทองคำ พ่อค้าอินเดียยังให้โอกาสผู้นำท้องถิ่นกว้านซื้อสินค้ามีค่าใหม่ๆ ทำให้ผลผลิตของสินค้าพื้นเมืองมีช่องทางในการระบายออกไป <a title="" style="mso-footnote-id: ftn14" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn14" name="_ftnref14">[14]</a><br /><br />คำอธิบายของไฮแอมและรัชนี ทศรัตน์ระบุว่า การขยายอิทธิพลลงใต้ของราชวงศ์ฮั่นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่๔ (๑๐๐ B.C.) ทำให้จีนเพิ่มความสนใจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะต้องการรวบรวมสินค้าแปลกๆ อาทิ นอแรดและขนนกเท่านั้น หากแต่ยังต้องการขยายจักรวรรดิและอำนาจทางการเมืองของตนด้วย<br /><br />ไฮแอม และรัชนี ทศรัตน์มองว่า การค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับพ่อค้าต่างชาติเป็นปัจจัยสู่การมีอารยธรรมโดยอัตโนมัติเป็นข้อเสนอที่ยังไม่มีข้อยุติ เพราะก่อนหน้านี้ดินแดนประเทศไทยในอดีตอาจมีโครงสร้างทางสังคมที่ละเอียดอ่อน และมีกรอบที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว การที่ผู้นำพื้นเมืองจะยกสถานะของตนให้สูงขึ้น ก็เป็นเงื่อนไขสนับสนุนให้เกิดอารยธรรมเช่นกัน<br /><br />การที่ชาวอินเดียนำความเชื่อทางศาสนาพุทธ พราหมณ์ และความเชื่อเรื่องฐานะความเป็นเทพของปัจเจกบุคคลเข้ามา ความศรัทธาที่มีต่อพระศิวะจึงอาจส่งผลให้ “เจ้าเหนือหัว” มีฐานะประดุจเทพเจ้า ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลีจึงถูกนำมาใช้เพื่อสื่อความหมายที่ยากจะเข้าใจ เพื่อครอบงำความนับถือและความเกรงขามท่ามกลางผู้ไม่รู้หนังสือ และศาสนาสถานที่ก่อสร้างด้วยหินและอิฐซึ่งเริ่มแพร่กระจายทั่วไป เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงลัทธิการบวงสรวงในศาสนาพราหมณ์รูปแบบใหม่ อันนำมาสู่การอภิเษกศิวลึงค์หิน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจรัฐและผู้ปกครองรัฐ และเป็นศูนย์รวมการประกอบพิธีกรรมที่เข้ามาใหม่และทรงอำนาจ<br /><br />ไฮแอมและรัชนี ทศรัตน์เห็นว่า เสียงสวดมนต์ของบรรดานักบวชในวิหารเทพเจ้าเป็นเสมือนเครื่องป้องกันรัฐและผู้นำ โดยมีชาวนาจากฐานล่างสุดของโครงสร้างสังคมรูปปิรามิดเป็นกลไกในการผลิตอาหารและปรนนิบัติเทวาลัยรองรับความเชื่อใหม่ที่เข้ามา<br /><br />การนำแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีมาปรับใช้ในงานวิจัยจริงๆของนักโบราณคดีเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงในบทความนี้ งานวิจัยเรื่อง “โบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน” ซึ่งดร.รัศมี ชูทรงเดช <a title="" style="mso-footnote-id: ftn15" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn15" name="_ftnref15">[15]</a> เป็นหัวหน้าโครงการจึงเหมาะที่สุดในการนำมากล่าวถึง<br />นอกจากการนำแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีมาประยุกต์ใช้ในการทำวิจัยจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยชัดเจนดังได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ดร.รัศมี ชูทรงเดชยังชี้ว่า นักโบราณคดีไทยไม่เคยสร้างและพัฒนาทฤษฎีทางโบราณคดีมาก่อน ดังนั้นในบทที่ ๒ ว่าด้วยกรอบความคิดในการทำงานวิจัย จึงระบุว่า “การพัฒนาทฤษฎีเป็นความจำเป็นและมีความสำคัญต่อการสร้าง ‘พลังทางปัญญา’ ในสังคมวิชาการของประเทศไทยโดยรวม เพื่อที่เราสามารถทะลายกำแพงของการใช้พื้นฐานแนวคิดของทฤษฎีจากนักวิชาการตะวันตกในการอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างไรก็ดีขณะที่เรายังไม่มีกระบวนสร้างทฤษฎีโดยนักวิชาการไทย ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ฐานความคิดของตะวันตกเป็นแนวทางไปก่อน โดยเฉพาะกระบวนการสร้างและแสวงหาความรู้” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn16" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn16" name="_ftnref16">[16]</a><br /><br />โครงการวิจัยเรื่อง “โบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน” มีลักษณะเป็นโครงการวิจัยแนวมานุษยวิทยาโบราณคดี ดังนั้นแนวคิดหลักที่เป็นพื้นฐานในการวิจัยคือ การศึกษาวิวัฒนาการวัฒนธรรม(cultural evolution) ซึ่งหมายถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น โดยอ้างอิงจากแนวคิดของเซอร์วิส(Service: 1973) และแนวคิดนิเวศวัฒนธรรม(cultural ecology) ซึ่งเน้นศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมจากการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม(Steward: 1973)<br /><br />โครงการวิจัยข้างต้น มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรม และเพื่อจัดหมวดหมู่ของหลักฐานโบราณคดีจากการสำรวจและขุดค้นทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค โดยใช้วิธีการศึกษาแบบเปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรม(cross-cultural analysis) ทั้งด้านโบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยา เพื่ออธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ อาทิ สภาพอากาศ การเพิ่มประชากร เทคโนโลยีการผลิต เป็นต้น <a title="" style="mso-footnote-id: ftn17" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn17" name="_ftnref17">[17]</a><br /><br />ดร. รัศมี ชูทรงเดชใช้นิยามเกี่ยวกับระดับสังคมที่เสนอโดย อัลมัน เซอร์วิส(Alman Service) อัลเลน จอห์นสัน(Allen Johnson)และทิโมธี เอิร์ล (Timorty Earle) เป็นแนวทางเบื้องต้นในการอธิบายลักษณะสังคมในอดีต ทั้งๆที่ทราบดีว่ากรอบคิดดังกล่าวถูกนักโบราณคดีสำนักคิดหลังกระบวนการ(post-processual)และสำนักคิดหลังสมัยใหม่(post-modern) วิจารณ์ว่าเป็นการมองสังคมแบบแช่แข็งเป็นเส้นตรงและหยุดนิ่ง จากคำอธิบายที่ว่าสังคมเริ่มมีวิวัฒนาการจากกลุ่มชน (band) ชนเผ่า(tribe) แว่นแคว้น(chiefdom) และรัฐ(state)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn18" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn18" name="_ftnref18">[18]</a><br /><br />ดร.รัศมี ชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติมว่า การที่นำทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมมาใช้ในงานวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยในการการจัดหมวดหมู่และทำความเข้าใจหลักฐานโบราณคดีที่พบในอำเภอปางมะผ้า เนื่องจากต้องการสร้างบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบปรากฏการณ์และหลักฐานโบราณคดีในพื้นที่วิจัย โดยมิได้มองว่าวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมของมนุษย์เป็นกระบวนการที่มึลักษณะเป็นเส้นตรงที่ผ่านขั้นตอนความเจริญที่เหมือนกัน แต่สนใจอธิบายพลวัติทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่นในแต่ละช่วงเวลา ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่พร้อมกันหรือไม่พร้อมกันก็ได้ รวมถึงเงื่อนไขซึ่งทำให้วัฒนธรรมมีการปรับตัวที่เหมือนหรือแตกต่างกัน โดยยกตัวอย่างรูปแบบของหัวโลงศพไม้ที่เหมือนหรือต่างกันในเขตอำเภอปางมะผ้าว่า มีนัยสำคัญอย่างไรภายในสังคมของคนบนพื้นที่สูงเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว <a title="" style="mso-footnote-id: ftn19" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn19" name="_ftnref19">[19]</a> เป็นต้น<br /><br />นอกเหนือจากทฤษฎีวิวัฒนาการวัฒนธรรมและทฤษฎีนิเวศวัฒนธรรมแล้ว เมื่อกล่าวถึงสมมติฐานในงานวิจัย ดร.รัศมีระบุถึงทฤษฎีการปรับตัวของคนในสภาวะแวดล้อม ๓ เงื่อนไข ดังนี้<br />๑.การเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตจากการหาอาหารตามธรรมชาติมาเป็นการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ พัฒนามาจากการปรับตัวในพื้นที่ชายขอบที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์(marginal environments)<br />๒.การเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตจากการหาอาหารตามธรรมชาติเป็นการเพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์ พัฒนาขึ้นมาจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ(resource abundance)<br />๓.ถ้าสภาพแวดล้อมในสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย-โฮโลซีนตอนต้นในพื้นที่สูงของอำเภอปางมะผ้าคล้ายคลึงกับปัจจุบัน ข้อมูลสภาพแวดล้อมปัจจุบันก็สามารถถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการสร้างทฤษฎีเรื่องการปรับตัวของคนกับสภาพแวดล้อมในอดีตในพื้นที่วิจัยได้ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn20" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn20" name="_ftnref20">[20]</a><br /><br />ดังนั้นจากแนวคิด ทฤษฎี วัตถุประสงค์และสมมติฐานที่นำเสนอในกรอบความคิดของดร.รัศมี ผู้วิพากษ์เชื่อว่า น่าจะทำให้สามารถสร้างคำอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ อาทิ สภาพอากาศ การเพิ่มประชากร เทคโนโลยีการผลิตได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม<br /><br />นอกจากตัวอย่างการนำทฤษฎีของนักวิชาการตะวันตกมาปรับใช้ของนักวิชาการอื่นๆแล้ว ก่อนที่จะวิพากษ์หนังสือโบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎีอย่างจริงจัง การกล่าวถึงวิธีคิดในการศึกษาวิชาโบราณคดีผ่านกรอบคิดและทฤษฎีแบบตะวันตกของผู้เขียนก็น่าจับตามองไม่น้อย<br /><br />ผู้เขียนเคยบรรยายว่า นักโบราณคดีชาวตะวันตกบางคนเสนอว่า ในกลุ่มชนบางแห่งมีความเชื่อเชิงสัญลักษณ์ว่า ภาชนะดินเผามีอวัยวะต่างๆเปรียบได้กับอวัยวะของคน ได้แก่ ตัว ขา หู ก้น ฯลฯ แต่ผู้วิพากษ์ไม่เห็นด้วย เนื่องจากมนุษย์มิได้ผูกพันมากมายกับ “หม้อ” “ไห” “เครื่องใช้”ต่างในชีวิตประจำวันถึงขนาดนั้น จนถึงกับถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ต้องอธิบายเชื่อมโยงและบ่งชี้ให้เห็นนัยะทางวัฒนธรรมที่แฝงอยู่<br /><br />ผู้วิพากษ์กลับคิดว่า ข้าวของและเครื่องใช้อื่นๆจำนวนไม่น้อยในสังคมโบราณทั้งที่ใช้ในพิธีกรรมและนอกพิธีกรรมต่างก็มีส่วนประกอบที่เทียบเคียงได้กับอวัยวะของมนุษย์ อาทิ ขา หู ตัว ก้น ฯลฯ ทั้งสิ้น ได้แก่ เครื่องใช้ประเภท เตา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น ส่วนพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ตามความเชื่อก็มีนัยะปรากฏชัดเจนแล้วในวัตถุทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับลัทธิความเชื่อ เช่น ในตัวอย่างหยาบๆที่นึกขึ้นมาได้ตอนนี้ คือ กลองมโหระทึก บั้งไฟ รูปวีนัส เดอ วิลเลนดอล์ฟ(Venus de Villendolf) โยนี ลึงค์ เป็นต้น<br /><br />แบบเสนองานวิจัยซึ่งดร.สว่าง เลิศฤทธิ์เป็นหัวหน้าโครงการเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๓ เรื่อง “พัฒนาการของความซับซ้อนทางสังคมและการเมืองจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในเขตที่ราบลุ่มทางตะวันตกของภาคกลาง” ผู้วิจัยระบุว่า การศึกษาทางโบราณคดีเกี่ยวกับลักษณะทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองในสังคมที่เริ่มซับซ้อน(early complex societies)ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทย เคยมีผู้ศึกษาไว้แล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ Wales(1969) ภาควิชาโบราณคดี(๒๕๒๓) ผาสุข อินทราวุธ(๒๕๒๖) Glover(1989) สุรพล นาถะพินธุ(๒๕๓๘) Mudar(1993, 1999) ฯลฯ ผลการศึกษาของนักวิชาการเหล่านี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการของสังคมยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์(๕๐๐ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ.๕๐๐)จากการดำรงชีพด้วยการเก็บของป่า ล่าสัตว์เพาะปลูกพืชบางชนิด และติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชน มาเป็นการเพาะปลูกข้าวเป็นหลัก โดยชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายเป็นชุมชนขนาดเล็กกระจายอยู่ในเชตพื้นที่ป่าหรือที่ราบเชิงเขา ครั้นถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ตอนต้นมีการเคลื่อนย้ายชุมชนเข้าไปอยู่ริมแม่น้ำในที่ราบลุ่มเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ ๑๐–๓๐ เมตร ซึ่งมีพื้นที่เหมาะสำหรับการเกษตรกรรม ลักษณะชุมชนเป็นแบบมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ผู้วิจัยอ้างข้อเสนอของดร.ธิดา สาระยาว่า ชุมชนเหล่านี้มีการจัดลำดับชนชั้นทางการปกครองในลักษณะที่ซับซ้อนมากขึ้น<br /><br />ประเด็นที่ผู้วิจัยตั้งคำถาม คือ การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในช่วงเวลาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์เกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างไรและผลที่ตามมาคืออะไร นอกจากนี้ผู้วิจัยเสนอว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความซับซ้อนทางสังคมและการเมือง ได้แก่ การเพิ่มของประชากร การขยายพื้นที่ของชุมชนและเครือข่าย ลักษณะโครงสร้างทางการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ รูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบเมืองศูนย์กลางและบริวาร ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การควบคุมผลผลิตทางเศรษฐกิจหรือการค้า และการแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนหรือภูมิภาค เป็นต้น<br /><br />แบบเสนอโครงการวิจัยนี้ มีการนำเสนอสมมติฐานและปัญหาในการวิจัยน่าสนใจ ๔ ประการ<a title="" style="mso-footnote-id: ftn21" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn21" name="_ftnref21">[21]</a> ประการที่๑ คือ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายมีหลักฐานบ่งชี้ถึงความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นในสังคม อาทิ ของหายากและมีคุณค่าสูง ได้แก่ ลูกปัด กำไลสำริด ต่างหูและภาชนะดินเผาบางประเภท ประการที่๒ คือ การควบคุมผลผลิตส่วนเกินและการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจอาจบ่งชี้ถึงความซับซ้อนทางสังคมโดยชนชั้นผู้นำ การศึกษาการจัดระเบียบการผลิตภาชนะดินเผา(ceramic production organization) ๓ ปัจจัย ได้แก่ ขนาด ความหลากหลายและการทำให้เป็นมาตรฐาน จะสามารถบอกได้ว่าการผลิตนั้นควบคุมโดยชนชั้นผู้นำหรือเป็นกิจกรรมในครัวเรือน แต่เสียดายที่ปราศจากกรอบโครงทฤษฎีทางโบราณคดีที่ชัดเจน ประการที่๓ คือ การเปลี่ยนแปลงแบบแผนการบริโภคสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของการผลิตภาชนะดินเผาและกิจกรรมอื่นๆ อาทิ กิจกรรมที่สัมพันธ์กับการรักษาสถานภาพของชนชั้นผู้นำหรือกิจกรรมประจำปีของชุมชน ได้แก่ การจัดงานเลี้ยง โดยสามารถอธิบายได้จากการวิเคราะห์ขนาด ความหลากหลายและการทำให้เป็นมาตรฐานของภาชนะดินเผา ประการที่๔ แหล่งโบราณคดีแต่ละแห่งมีความเก่าแก่ไม่เท่ากัน หากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองได้ชัดเจนก็สามารถลำดับความเก่าแก่ของหลักฐานและแหล่งโบราณคดีได้อย่างเป็นระบบและถูกต้อง<br /><br />น่าเสียดายที่ในแบบเสนอโครงการวิจัยนี้ยังไม่เห็นพัฒนาการเด่นชัดในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางโบราณคดี และเป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งๆที่ยังมิได้ระบุว่าจะเลือกแหล่งโบราณคดีแห่งใดเป็นสถานที่ขุดค้น การตั้งประเด็นในการอธิบาย“พัฒนาการของความซับซ้อนทางสังคมและการเมืองจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในเขตที่ราบลุ่มทางตะวันตกของภาคกลาง” โดยเน้นการจัดระเบียบการผลิตภาชนะดินเผา การเปลี่ยนแปลงแบบแผนการบริโภคและการจัดลำดับอายุสมัยของแหล่งโบราณคดีและชุดหลักฐาน จะสามารถตอบคำถามที่ตั้งไว้ได้มากน้อยเพียงใด หากปราศจากกรอบโครงทางทฤษฎีเมื่อเทียบกับการศึกษาหัวข้อเดียวกันในสมัยประวัติศาสตร์ซึ่งเต็มไปด้วยหลักฐานเอกสาร<br /><br />บทความของมิเชลล์ เฮกมอน (Michelle Hegmon) เรื่อง “Setting Theoretical Egos Aside: Issues and Theory in North American Archaeology.” ตีพิมพ์ในวารสาร The American Antiquity 68(2), 2003 กล่าวโดยรวมว่าทฤษฎีในวิชาโบราณคดีของอเมริกาเหนือ มีลักษณะมุ่งสร้างความชัดเจนของประเด็นคำถามต่างๆทางการวิจัย มากกว่าจะชี้ชัดหรือถกเถียงเกี่ยวกับฐานะตัวตน(position)ของทฤษฎี เฮกมอนไม่ปฏิเสธว่าทฤษฎีบางอย่างก็มีแนวคิดชัดเจน เช่น ทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการ(Evolutionary Ecology) ทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม(Behavioral Archaeology)และทฤษฎีโบราณคดีวิวัฒนาการสำนักดาร์วิน (Darwinian Archaeology) นักโบราณคดีส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือเรียกทฤษฎีเหล่านี้ว่า “กลุ่มแนวคิดแบบ processual - plus” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn22" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn22" name="_ftnref22">[22]</a> และยังมีกลุ่มทฤษฎีที่สนใจเรื่องเพศสภาวะ(Gender) ทฤษฎีผู้กระทำ(Agency/ practice) ทฤษฎีสัญลักษณ์และความหมาย(Symbols and meaning) ทฤษฎีวัฒนธรรมทางวัตถุ(Material culture)และทฤษฎีที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของชาวพื้นเมือง(Native perspectives)ด้วย เธออธิบายว่า โบราณคดีเพศสภาวะ(Gender archaeology)ก็มีกระบวนทัศน์แบบเดียวกับแนวคิดแบบprocessual-plus ซึ่งมีความหลากหลายในการนำเสนอประเด็นธรรมดาๆทั่วไปให้น่าสนใจ และเชื่อว่าการเน้นทฤษฎีผู้กระทำ(agency/ practice)ถือเป็นพัฒนาการสำคัญ แม้ว่ามโนทัศน์(conceptions)เรื่องนี้มักจะถูกนำไปโยงกับปัจเจกชน(individuals)และแนวคิดเกี่ยวกับแรงจูงใจ(motivation)แบบตะวันตกก็ตาม ที่สำคัญก็คือนักโบราณคดีส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือ รวมทั้งพวกที่ยึดทฤษฎีหลังกระบวนการ(post processual) มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มทันสมัย(modern)มิใช่กลุ่มหลังทันสมัย(Postmodern) ซึ่งการขาดกระบวนการถกเถียงทางทฤษฎีนี้ แม้จะก่อให้เกิดความหลากหลายและการพูดคุยที่ชัดเจน แต่ก็อาจทำให้ทฤษฎีทางโบราณคดีในอเมริกาเหนือขาดความรอบคอบอย่างเพียงพอ และอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อแนวทางของทฤษฎีแบบPost modernism ก็ได้ </div><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">๒.วิพากษ์ภายนอก(External Critique) </span><br />การวิพากษ์ภายนอก หมายถึง การสำรวจคุณค่าของเอกสารโบราณ ศิลาจารึก วรรณคดี บทความ หนังสือ ตำรา หรือวิทยานิพนธ์ภายใต้การตั้งคำถามว่า เอกสารชิ้นนี้ผู้แต่งเป็นใคร แต่งขึ้นเมื่อใด ภูมิหลังผู้แต่งเป็นอย่างไร แต่งขึ้นเพื่ออะไร เนื้อหาโดยรวมเป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น ซึ่งในที่นี้ผู้วิพากษ์จะวิพากษ์ภายนอกหนังสือเล่มนี้ในประเด็นต่างๆ ได้แก่ การตีพิมพ์ ภูมิหลังและความสนใจทางวิชาการ แรงผลักดัน และองค์ประกอบด้านเนื้อหา ดังต่อไปนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">๒.๑การตีพิมพ์<br /></span>หนังสือโบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎีของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สว่าง เลิศฤทธิ์ เป็นเอกสารวิชาการลำดับที่๔๐ ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร พิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๗ จำนวน ๓.๐๐๐ เล่ม เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดี ผู้เขียนระบุว่าได้พยายามจัดลำดับให้อยู่ตามช่วงเวลาของพัฒนาการทางแนวคิดเป็นหลัก ตั้งแต่กำเนิดของวิชาโบราณคดีจนถึงแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ซึ่งถูกนักโบราณคดีนำมาใช้ในการวิจัยทั้งในอดีตและปัจจุบัน เน้นการ “นำเสนอเนื้อหาหลักของแนวคิดและทฤษฎีเป็นปฐม” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn23" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn23" name="_ftnref23">[23]</a> และกล่าวเสริมว่า “ในอนาคตคงจะมีแนวคิดและทฤษฎีใหม่ๆในวงวิชาการโบราณคดีเกิดขึ้นและพัฒนาต่อไปอีกอย่างไม่หยุดยั้ง”<br /><br /><span style="font-size:130%;">๒.๒ภูมิหลังและความสนใจทางวิชาการ</span><br />ผู้เขียนเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาโบราณคดี ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ.๒๕๒๘ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาวิชามานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน(Washington State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา<br /><br />ผู้เขียนมีงานเขียนทางวิชาการและบทความจำนวนมากตั้งแต่เมื่อยังศึกษาระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยศิลปากรจนถึงปัจจุบัน งานเขียนเหล่านี้ถูกตีพิมพ์ทั้งในหนังสือพิมพ์รายวัน วารสารระดับชาติและนานาชาติ อาทิ เมืองโบราณยะรัง(๒๕๓๑) เรื่องครั้งเก่าก่อน(๒๕๓๒) วิวัฒนาการของมนุษยชาติ(๒๕๔๖) เป็นต้น<br /><br />โดยพื้นฐานทางการศึกษานั้น ผู้เขียนเป็นนักเรียนสอบเทียบข้ามชั้นของโปรแกรมวิทย์-คณิต ไม่ใช่สายศิลป์-ภาษา มิฉะนั้นแล้วเชื่อว่าอาจจะได้เห็นหนังสืออ้างอิงภาษาต่างประเทศที่หลากหลายครบเครื่องมากกว่านี้ เพราะเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ในสายตาของรุ่นพี่แล้วผู้เขียนเป็นนักเรียนโบราณคดีที่มีความขยันขันแข็ง กระตือรือร้นทางด้านการเรียนและการฝึกฝนใช้ภาษาต่างประเทศยิ่งนักจนเป็นที่ร่ำลือ ดังนั้น ภาพความซื่อ อารมณ์ขันและการพูดจาโผงผาง เห็นได้จากการที่ผู้เขียนเคยเอ็ดตะโรเด็กๆที่เข้าไปเล่นซุกซนใกล้ๆหลุมขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีแห่งหนึ่งในภาคกลางว่า “ยาม่าเหล่น(อย่ามาเล่นวุ่นวายแถวๆนี้)” เมื่อไม่เชื่อฟังก็ดุทันทีอย่างไม่ไว้หน้าว่า “บักฮานิ(ไอ้ห่าเอ๊ย)” ส่งผลให้เด็กๆเหล่านั้นกระเจิดกระเจิงหายไปทันที <a title="" style="mso-footnote-id: ftn24" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn24" name="_ftnref24">[24]</a> ทั้งหลายนี้ติดตรึงในความทรงจำของ“คนในวงการ”ส่วนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันเมื่อจะสร้างงานเขียนหรือบทความ ผู้เขียนกลับแฝงความสุขุมนุ่มลึกและ“คมในฝัก”<br /><br />ครั้นมีสถานภาพเป็นอาจารย์ก็แสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะวิชาโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การวิเคราะห์เรื่องเครื่องมือหินและภาชนะดินเผา และการจัดการทรัพยากรทางโบราณคดี<a title="" style="mso-footnote-id: ftn25" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn25" name="_ftnref25">[25]</a> เป็นต้น<br /><br /><span style="font-size:130%;">๒.๓ แรงผลักดัน<br /></span>แรงผลักดันในการเขียนหนังสือเรื่องโบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎีของผู้เขียน คือ เพื่อใช้เป็นเอกสารคำสอนวิชาประวัติแนวคิดและทฤษฎีวิชาโบราณคดีสำหรับนักศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทของภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร<br /><br />ก่อนการปรับปรุงหลักสูตรของภาควิชาโบราณคดีในระยะ ๑๐ปีเศษที่ผ่านมา ความรู้เกี่ยวกับประวัติแนวคิดและทฤษฎีโบราณคดีปรากฏแทรกอยู่ในวิชาระเบียบวิธีการวิจัยทางโบราณคดี ตำราที่ใช้เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งสิ้น ดังนั้นอาจารย์ปฐมฤกษ์ เกตุทัต ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียและต่อมาได้โอนย้ายไปสอนที่คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาในรายวิชาแก่นักศึกษาเป็นภาษาไทย<br /><br />ผู้เขียนระบุว่า “ถึงเวลาจำเป็นต้องจัดพิมพ์เอกสารหรือตำราเบื้องต้นนี้เผยแพร่ในวงกว้าง เนื่องจากในวงการศึกษาทางโบราณคดีในประเทศไทยยังไม่เคยมีการเรียบเรียงแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาครอบคลุมมาก่อน”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn26" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn26" name="_ftnref26">[26]</a><br /><br />หลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้เขียนใช้ความวิริยะ อุตสาหะและความทุ่มเทอย่างสูงในการเรียบเรียง คือ การใช้หนังสืออ้างอิงภาษาไทย จำนวน ๑๑ เล่มและเอกสารตำราภาษาต่างประเทศอย่างมหาศาลถึง ๑๖๘ เล่ม ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงกล่าวในคำนำตอนหนึ่งว่า”วิชาโบราณคดีเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งที่มีผู้เข้าใจผิดๆถูกๆอยู่มาก”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn27" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn27" name="_ftnref27">[27]</a> “ หากมีตำราเกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีที่เป็นภาษาไทยเผยแพร่ ก็คงจะช่วยให้ความรู้ด้านโบราณคดีเป็นที่รู้จักในทางที่ถูกต้องมากขึ้นทั้งในหมู่นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn28" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn28" name="_ftnref28">[28]</a> เหตุนี้จึงมิอาจปฏิเสธถึงคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ได้เลย<br /><br />กระนั้นก็ตาม จากคำกล่าวข้างต้นของผู้เขียน ทำให้ผู้วิพากษ์อดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสังเกต ๓ ประการ ดังนี้ ประการแรก แท้ที่จริงแล้วโบราณคดีคืออะไร และก่อนหน้านี้ไม่เคยมีผู้ใดอธิบายความหมายของโบราณคดีไว้เลยหรือ ประการที่สอง คือ ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นมาว่า อะไรคือการเข้าใจโบราณคดีแบบผิดๆถูกๆ และมีความจำเป็นหรือไม่เพียงใดที่จะต้องอธิบายความหมายของ “โบราณคดี” ให้เหมือนกันราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกัน และประการสุดท้าย การอ้างอิงหนังสือภาษาอังกฤษมากมายเช่นนี้ อาจจะถูกมองได้ว่าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือโดยไม่จำเป็นได้หรือไม่<br /><br /><span style="font-size:130%;">๒.๔ องค์ประกอบด้านเนื้อหา</span><br />เนื้อหาของหนังสือ “โบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎี” แบ่งออกเป็น ๑๒ บท อย่างพอเพียงที่จะใช้ประกอบการบรรยายได้ครบ ๑ ภาคเรียน และหากมองอย่างผิวเผินจะเห็นว่า รูปแบบและเนื้อหาทุกอย่างดูสมบูรณ์อย่างไม่น่าจะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ใดๆได้เลย อีกทั้งยังมีการเพิ่มในส่วนของดัชนีทั้งภาษาไทย(ประมาณ ๕ หน้า)และภาษาอังกฤษ(ประมาณ ๒ หน้า) ซึ่งหนังสือวิชาการภาษาไทยทั่วไปไม่ค่อยนิยมทำ แต่หากได้ศึกษาโดยละเอียดแล้ว จะพบว่าการลำดับเนื้อในส่วนของสารบัญบางหัวข้อ ไม่ตรงกับหัวข้อที่ลำดับอยู่ในส่วนของเนื้อหา ซึ่งจะชี้ให้เห็นภาพรวม ดังนี้<br /><br />บทที่๑ บทนำ ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความหมายของวิชาโบราณคดี ประเภทของโบราณคดีและระเบียบวิธีการวิจัยทางโบราณคดี<br /><br />บทที่๒ ทฤษฎีทางโบราณคดี ประกอบด้วยความหมายของทฤษฎี แนวทางการศึกษาทางโบราณคดี ข้อมูลทางโบราณคดีและกระบวนทัศน์ทางโบราณคดี กล่าวคือ ชื่อหัวข้อเรื่องในสารบัญบางชื่อคลาดเคลื่อนไปจากชื่อในบทของเล่ม บางส่วนมีชื่อหัวข้อกลับไม่ตรงกับสารบัญ<br /><br />บทที่๓ ประวัติวิชาโบราณคดีโดยสังเขป ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติของวิชาโบราณคดีในยุโรป วิชาโบราณคดีในอเมริกา และเรื่องราวของวิชาโบราณคดี ณ จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ<br /><br />บทที่๔ โบราณคดีตามแนวคิดทฤษฎีประวัติวัฒนธรรม ประกอบด้วยเนื้อหาที่อธิบายถึงลักษณะสำคัญของทฤษฎีประวัติวัฒนธรรม และวิธีการศึกษาตามแนวทฤษฎีประวัติวัฒนธรรม<br /><br />บทที่๕ ทฤษฎีหน้าที่นิยมในวิชาโบราณคดี ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับปัญหาและที่มาของแนวคิดทฤษฎีหน้าที่นิยม(functionalism) พื้นฐานของแนวคิดทฤษฎีหน้าที่นิยม และวิธีวิทยาของงานโบราณคดีเชิงหน้าที่นิยม<br /><br />บทที่๖ ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมในวิชาโบราณคดี ประกอบด้วยเนื้อหาปฐมบทของแนวคิด ทฤษฎีวิวัฒนาการรุ่นแรกในงานมานุษยวิทยา-โบราณคดี และเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการใหม่<br /><br />บทที่๗ โบราณคดีใหม่ ประกอบด้วยหัวข้อที่อธิบายถึงการก่อตัวของแนวคิดโบราณคดีใหม่ บินฟอร์ด(Binford)กับโบราณคดีใหม่ ลักษณะสำคัญของโบราณคดีใหม่ และการวิจารณ์งานโบราณคดีใหม่ บทนี้ชื่อหัวข้อในสารบัญไม่ครบตามหัวข้อในเล่ม<br /><br />บทที่๘ ทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดี ประกอบด้วยหัวข้อที่อธิบายถึงลักษณะของหลักฐานโบราณคดีกับทฤษฎีระดับกลางของบินฟอร์ด หลักฐานทางโบราณคดีกับโบราณคดีพฤติกรรมของชิฟเฟอร์ และปัญหาของทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดี<br /><br />บทที่๙ โบราณคดีหลังกระบวนการ ประกอบด้วยหัวข้อเกี่ยวกับรากฐานของแนวคิด หัวข้อหลังกระบวนการกับโบราณคดี หัวข้อการถกเถียงระหว่างนักโบราณคดีหลังกระบวนการและกับนักโบราณคดีกระบวนการ และหัวข้อการโต้กลับของนักโบราณคดีกระบวนการ บทนี้ชื่อหัวข้อในสารบัญไม่ตรงกับหัวข้อเรื่องในเล่ม<br /><br />บทที่๑๐ เพศสถานะกับโบราณคดี ประกอบด้วยการกล่าวนำ จากนั้นจึงเป็นหัวข้อประเด็นหลักในการศึกษาเพศสถานะในงานโบราณคดี กับหัวข้อข้อถกเถียงและความเห็น<br /><br />บทที่๑๑ ทฤษฎีผู้กระทำในวิชาโบราณคดี ประกอบด้วยหัวข้อประวัติและพัฒนาการ หัวข้อตัวอย่างการประยุกต์ใช้ทฤษฎีผู้กระทำในงานโบราณคดี หัวข้อสรุปและทิศทางข้างหน้า ซึ่งในบทนี้ ชื่อหัวข้อในสารบัญไม่ครบตามหัวข้อในเล่ม<br /><br />บทที่๑๒ บทสรุป (จำนวน๔ หน้า)กล่าวถึงพัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดี ซึ่งมีพื้นฐานมาจากศาสตร์หลายสาขา ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมและปัจจัยด้านเวลา<br /><br />ผู้วิพากษ์ขอยกคำพังเพยโบราณมาเป็นคติในที่นี้คือ “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” เป็นคำพังเพยที่สามารถใช้ได้นิรันดร์ฉันใด ขอบเขตของหนังสือที่ยกมาข้างต้นพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ผู้เขียนจะตั้งใจเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้มากเพียงใด แต่จากกระบวนการตรวจสอบภายนอกข้างต้น ทำให้แลเห็นปัญหาด้านเทคนิคด้านการลำดับเนื้อหาเบื้องต้นว่า ส่วนของสารบัญมีการคลาดเคลื่อนกับหัวข้อในเล่มมากถึง ๔ บท คือ บทที่ ๒ บทที่๗ บทที่ ๙ และบทที่๑๑ หากเข้าสู่กระบวนการวิพากษ์และตรวจสอบภายในแล้ว อาจชี้ให้เห็นสาระบางอย่างที่น่าสนใจซึ่งบางท่านอาจมองข้ามก็ได้<br /><br /><span style="font-size:130%;">๓. การวิพากษ์ภายใน(Internal Critique)</span><br />การวิพากษ์ภายในมีหลากกลายรูปแบบขึ้นอยู่กับว่าเอกสารที่วิพากษ์นั้นเป็นศิลาจารึก เอกสารโบราณ วรรณกรรมโบราณ บทความ วิทยานิพนธ์ ตำรา หรือหนังสือทั่วไป กลยุทธ์ในการวิพากษ์ภายในอาจประกอบด้วยการตรวจสอบการใช้ถ้อยคำสำนวนทางภาษา การอ้างอิงหลักฐานทางวิชาการ ความน่าเชื่อถือของหลักฐาน ความน่าเชื่อถือของการตีความและการเสนอความคิดเห็นทางวิชาการ เป็นต้น<br /><br />การวิพากษ์ภายในครั้งนี้ ได้ตั้งประเด็นตรวจสอบเกี่ยวกับความหมายของโบราณคดี การใช้คำสำคัญ(key words) การถ่ายทอดแนวคิดและทฤษฎีเปรียบเทียบกับบทความของมิเชลล์ เฮกมอน และคุณค่าที่มีต่อการศึกษาวิชาโบราณคดีดังต่อไปนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">๓.๑ ความหมายของ “โบราณคดี”</span><br />ผู้เขียนนิยามความหมายของ “โบราณคดี” ว่า “วิชาโบราณคดี(Archaeology) มาจากศัพท์ภาษากรีก ‘archaeos’ ที่มีความหมายว่าเก่าแก่ และ ‘logos’ ซึ่งแปลว่า ‘วิชา’ หรือ ‘ความรู้’ ฉะนั้นโดยรากศัพท์แล้ว วิชาโบราณคดีเน้นที่ความเก่าแก่หรือประวัติความเป็นมาของสิ่งต่างๆ โดยจุดเริ่มต้นมาจากการศึกษาความเก่าแก่ของโลก และต่อมาเปลี่ยนเป็นการศึกษาความเก่าแก่ของมนุษยชาติ”<br /><br />คำอธิบายข้างต้นของผู้เขียน มิได้แตกต่างไปจากนิยาม “โบราณคดี” ในตำราของศาสตราจารย์ ปรีชา กาญจนาคม ผู้มีชีวิตและการทำงานประดุจ “ตำนาน” เล่มหนึ่งของวงการโบราณคดีไทยเท่าใดนัก แต่ที่น่าเสียดาย คือ ข้อความในย่อหน้าแรกของผู้เขียนมิได้ระบุว่า อ้างอิงมาจากนิยามของหนังสือเล่มใด จนกระทั่งในย่อหน้าที่ ๒ จึงได้พบการอ้างอิงงานเขียนของ Brian M. Fagan เรื่อง “In the Beginning: Introduction to Archaeology (6th edition, 1988 p.4)เมื่อจำเป็นที่จะต้องทำให้การกล่าวถึงนิยามของ“โบราณคดี”มีน้ำหนัก“แบบวิชาการ” ว่า<br /><br />“วิชาโบราณคดีดูเหมือนจะเริ่มต้นจากความรักสนุกกับการสะสมและ ‘ขุด’ หาของเก่า คนที่สะสมและขุดมักจะเป็นผู้ดี(nobility)และชนชั้นกลาง(bourgeoisie) ในคริสต์ศตวรรษที่๑๕ คนกลุ่มนี้เป็นเพียงอาสาสมัคร นักสะสม หรือนักโบราณคดีแฝง(pseudoarchaeology) มากกว่าจะเป็นนักโบราณคดี ตามแนวคิดปัจจุบัน จนกระทั่งถึงคริสตศตวรรษที่๑๘ ในช่วงยุคแสงสว่างทางปัญญา จึงมีการค้นคว้าหาความเก่าแก่ของโลกหรือความเป็นมาของโลกภายใต้กรอบที่เรียกว่า Antiquarianism ความพยายามในการศึกษาความเก่าแก่ของโลก มีส่วนทำให้หลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ (เช่น เครื่องมือหิน ชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์และเศษภาชนะดินเผา เป็นต้น) ถูกค้นพบและเปิดเผยมากขึ้น จนนำไปสู่การก่อร่างสร้างตัวของวิชาโบราณคดีในคริสต์ศตวรรษที่๑๙“<a title="" style="mso-footnote-id: ftn29" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn29" name="_ftnref29">[29]</a><br /><br />การนิยามความหมายของโบราณคดีในย่อหน้าที่๑–๒ของผู้เขียน แม้จะมีลักษณะเป็น“วิชาการ” แต่ก็อธิบายแบบกางตำรา พจนานุกรมหรือเอนไซโคลปิเดีย อันสมควรที่จะเรียกว่าเป็นนิยามแบบ “pseudologos” มากกว่า คือ ยกแม่น้ำทั้งห้ามา “อ้างว่าเป็นสาระ”<br /><br />ผู้วิพากษ์จะไม่ชื่นชมหากนักวิชาการท่านใดจะเผอเรอสบถ“ช่างแม่ง”บนเวทีสัมมนาอย่างอิสระโดยไม่สนใจว่าในเวทีนั้นมีผู้อาวุโสระดับ ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นครนั่งเป็นประธาน แม้ว่าท่านอาจจะไม่ถือสา และในที่นี้ผู้วิพากษ์มิได้เห็นด้วยที่ผู้เขียนกล่าวว่า ผู้ที่สนใจหรือศึกษาเรื่องราวของอดีตจากการสะสมและขุด “ของเก่า” เป็นเพียงอาสาสมัคร นักสะสมหรือนักโบราณคดีแฝง อันเป็นวิธีคิดที่อาจจะเกิดจากการใช้ปัจจัยภูมิหลังทางการศึกษาระดับปริญญาเอกจากต่างประเทศมาเป็นเครื่องชี้วัดความถูกต้องหรือน่าเชื่อถือ โดยมิได้คำนึงถึงเงื่อนไขแวดล้อมอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับอดีตมาร่วมพิจารณา<br /><br />ตรงกันข้ามผู้วิพากษ์เห็นว่า ผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณวัตถุและศิลปวัตถุอันเป็นตัวแทนของอดีตในยุคเริ่มแรกแห่งวิวัฒนาการของวิชาโบราณคดี เป็นกลุ่มชนชั้นสูงที่ได้รับการศึกษาวิชาการแขนงต่างๆมาเป็นอย่างดีเท่าที่ระบบการศึกษาสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการจะเอื้ออำนวยให้ พวกเขามีวิถีชีวิต ค่านิยม ขนบธรรมเนียมและประเพณีที่ใกล้ชิดกับเรื่องราวความเป็นไปทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม วรรณคดี ฯลฯ ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ(renaissance) อันเป็นยุคเริ่มต้นของการสนใจใฝ่รู้เรื่องราวและศิลปวิทยาการของโลกยุคคลาสสิคที่สูญหายไปในยุคกลาง พวกเขาจึงรู้จักซึมซาบลีลา ฝีมือ รสนิยม และเชิงช่างของปราชญ์สาขาต่างๆแห่งยุคร่วมสมัยจากการศึกษา วิเคราะห์ ตีความ จดจารบันทึก และถ่ายทอดเรื่องราวที่เกี่ยวกับงานศิลปะหรือโบราณวัตถุหรือมรดกทางอารยธรรมอื่นๆจากโลกยุคคลาสสิคเอาไว้อย่างถูกต้อง โดยที่ไม่จำเป็นต้องได้ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบางแห่ง<br /><br />ความเห็นของผู้วิพากษ์สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเจน แมคอินทอช(Jane McIntosh)ที่ระบุว่า “In all ages and all countries, people have been fascinated by their past”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn30" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn30" name="_ftnref30">[30]</a> ซึ่งตรงนี้แหละที่จะทำให้เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มนุษย์รู้จักและมีโอกาสเรียนรู้ผลงานของปราชญ์สาขาต่างๆในอดีตอย่างมากมาย<br /><br />สำนึกแห่งการเรียนรู้ของคนในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการจึงเป็นสิ่งที่ Charles E. Orser, Jr. เรียกว่า “ผู้รู้แห่งยุค(learned man of the time) ” ซึ่งมักจะ “สนใจเกี่ยวกับความเป็นมาของตน(wondered about their origins)”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn31" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn31" name="_ftnref31">[31]</a> ผู้วิพากษ์จึงเห็นว่า การทำงานของนักสะสมศิลปวัตถุในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เป็นสิ่งที่สมควรจะได้รับการยกย่องในฐานะที่เป็นนักโบราณคดียุคบุกเบิกเช่นเดียวกับการยกย่องแพทย์ นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ ฯลฯ ที่ได้รับการยกย่องชื่นชมเป็นอย่างสูงในช่วงเวลาเดียวกัน มากกว่าจะถูกทักท้วงว่าเป็นเพียงมือสมัครเล่นหรือพวกชอบอ้างตนเป็น “นักโบราณคดี” เท่านั้น<br /><br />สิ่งที่มิอาจมองข้าม คือ ความหมายของ “archaeos” และ “logos” อันเป็นรากศัพท์ดั้งเดิมภาษาละตินของ “archaeology” นั้น มีความหมายไม่แตกต่างไปจากมโนทัศน์ของชาวบ้านทั่วไปอย่างนางสุมณี ศาตะโยธินที่มีต่อคำว่า “โบราณคดี”เลยแม้แต่น้อย<br /><br />ในทัศนะของนักวิชาการชาวยุโรปเอง คำว่า “โบราณคดี” ก็ยังเป็นที่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากทัศนะของชาวอเมริกัน ซึ่งอธิบายว่าโบราณคดีเป็นเพียงสาขาเล็กๆของวิชา “มานุษยวิทยา” อีกทั้งผู้เขียนเองก็ยอมรับว่า “นิยามของโบราณคดีเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn32" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn32" name="_ftnref32">[32]</a> ดังนั้น ผู้วิพากษ์จึงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้เขียนที่มุ่งจะกำหนดขอบเขตนิยามของคำว่า “โบราณคดี”ให้เป็นแบบเคร่งครัดตายตัว โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยวิวัฒนาการของบริบททางวัฒนธรรม เหตุนี้การที่จะมีผู้ให้ความหมายของคำว่า “โบราณคดี” แตกต่างออกไปจากนิยามของผู้เขียนบ้าง ก็ไม่น่าจะก่อให้เกิดความแปรปรวนเสียหายต่อการศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษยชาติแต่อย่างใด และที่สำคัญที่สุด คือ นิยามของโบราณคดีนั้น แท้ที่จริงแล้วอาจมิได้เปลี่ยนแปลงไปตาม “เวลา” ที่คนสมมติขึ้นมา หากแต่เปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขการอธิบายของ “คน” “คำ” วัฒนธรรม และ “วิทยาการ”มากกว่าสิ่งอื่นใด<br /><br />ปัญหาน่าห่วงมากกว่ากรณีข้างต้นอยู่ที่ประเด็นซึ่งผู้เขียนระบุว่า “…ภารกิจหลักของโบราณคดีไม่ว่าในยุคสมัยใด ก็คือการค้นหาหรือถอดรหัสความหมายจากวัตถุหรือสิ่งของโดยการใช้แนวคิด ทฤษฎี วิทยาการ เทคนิควิธีและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ…”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn33" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn33" name="_ftnref33">[33]</a><br /><br />กล่าวคือ จากหลักฐานที่ปรากฏนั้น “การถอดรหัส” ความหมายวัตถุสิ่งของโดยใช้ “แนวคิด ทฤษฎี วิทยาการ เทคนิควิธีและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ” หรือแม้แต่การประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วินมาใช้ในวิชาโบราณคดีนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในอเมริกาเหนือเมื่อไม่นานมานี้เอง<a title="" style="mso-footnote-id: ftn34" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn34" name="_ftnref34">[34]</a> และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน โครงการต่างๆ ตามรอบปีงบประมาณด้านการศึกษาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของส่วนราชการไทยบางแห่ง แทบจะไม่พบการใช้ทฤษฎีมาเป็นเครื่องมือในการ “ถอดรหัสอดีต” ดังกล่าวเลยก็ว่าได้<br /><br /><span style="font-size:130%;">๓.๒ การใช้คำสำคัญ(Key words)<br /></span>เซอร์ ฟรานซิส เบคอน(Sir Francis Bacon ค.ศ.๑๕๖๑–๑๖๒๖) นักปรัชญาชาวอังกฤษกล่าวว่า “ความรู้ คือ อำนาจ(Knowledge is power) ”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn35" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn35" name="_ftnref35">[35]</a> ดังนั้น นักวิชาการทุกสาขาวิชาชีพจึงเปรียบเสมือนผู้มีอำนาจชี้นำสังคมตามศาสตร์ของตน และจากผลงานทางวิชาการจำนวนมากของผู้เขียน จึงอาจยอมรับได้โดยดุษณีว่า ผู้เขียนเป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่งซึ่งมีความรู้และความสามารถในการสื่อสารถ่ายทอดความรู้ ความคิดและความเห็นทางวิชาการแบบอย่างลึกซึ้ง สอดคล้องกับคำกล่าวของศาสตราจารย์ ดร. เสมอชัย พูลสุวรรณในคำนิยมของหนังสือโบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎี ที่ว่า “..หนังสือเล่มนี้ได้แนะนำส่วนที่ควรทราบไว้ได้ครอบคลุมดีแล้ว และด้วยภาษาที่อ่านเข้าใจค่อนข้างง่าย…” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn36" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn36" name="_ftnref36">[36]</a><br /><br />ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้วิพากษ์เห็นว่า ในบางโอกาสการใช้คำสำคัญ(key word)บางคำของผู้เขียน แม้จะสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของคำนั้นได้ ทว่าภาษาไทยแม้จะเป็นภาษาสัญลักษณ์ที่มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความก้าวหน้าของวิทยาการ แต่ก็เป็นภาษาที่มีอัตลักษณ์ จารีตและขนบการใช้ที่ควรยึดถือร่วมกันระดับหนึ่ง อาจเทียบได้กับจารีตในการทำวิจัยของชุมชนนักวิชาการ อาทิ แบบแผนการอ้างอิงหลักฐานเอกสารและตำรา เป็นต้น<br /><br />ผู้วิพากษ์จะพยายามเสนอความคิดเห็นต่อข้อมูลบางอย่างอันอาจก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้คำสำคัญบางคำในหนังสือ “โบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎี” ตามลำดับนอกเหนือจากที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ดังนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">-บทที่๑ บทนำ</span><br />คำสำคัญคำแรกที่ผู้วิพากษ์ชอบใจในหนังสือเล่มนี้คือคำว่า “ยุคแสงสว่างทางปัญญา” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Enlightenment Era” นักวิชาการสาขาประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งเคยเรียกกันมานานว่า “ยุคแห่งภูมิธรรม” เพราะจัดเป็นยุคเริ่มต้นของโลกสมัยใหม่ในปัจจุบัน นักวิชาการสมัยใหม่บางท่านก็เรียกว่ายุคแสงสว่างหรือยุคแสงสว่างทางปัญญา<br /><br />ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์กล่าวว่า หากจะเรียกให้ตรงตัวจริงๆก็น่าจะเรียกว่า “ยุคส่องแสง” ไปเลย หากใช้จริงๆคำดังกล่าวก็คงจะสื่อความหมายได้น้อยกว่าคำเดิม(ยุคภูมิธรรมหรือยุคแสงสว่างทางปัญญา) ประเด็นก็คือ การที่ผู้เขียนมีความโน้มเอียงในการเลือกใช้ชื่อยุค “Enlightenment” ว่า “ยุคแสงสว่างทางปัญญา” แทนที่จะเรียกว่า “ยุคภูมิธรรม” อาจเป็นเพราะชื่อยุคดังกล่าวตรงกับชื่อของผู้เขียนก็ได้<br /><br />การใช้คำสำคัญบางคำของผู้เขียนบางครั้งก็“รวบรัดตัดความ” คล้ายลักษณะนิสัยบางอย่าง จนอาจกลายเป็นจุดอ่อนของหนังสือ อาทิ ในการอธิบายคำว่า “ประวัติวัฒนธรรม” ผู้เขียนระบุว่า “…แต่ละสมัยมีลักษณะทางวัฒนธรรมแตกต่างกัน กล่าวโดยสรุปก็คือ ประวัติวัฒนธรรมจะถูกสร้างขึ้นมาโดยการนำลำดับทางวัฒนธรรม(sequence)จากแหล่งโบราณคดีในพื้นที่เล็กๆหลายแห่งมารวมกันให้เห็นภาพรวมระดับภูมิภาคหรือใหญ่กว่านั้นก็ได้…”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn37" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn37" name="_ftnref37">[37]</a><br /><br />ประเด็น คือ การใช้คำสำคัญว่า “ลำดับทางวัฒนธรรม” ผู้เขียนวงเล็บเพียงคำว่า“sequence” เท่านั้น โดยอาจมีเจตนาละคำว่า “culture”เอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ทั้งๆที่เมื่อคำนึงถึงการใช้ “คำ” ไม่ให้มีลักษณะแบบ “ผิดๆถูกๆ”อย่างคำว่า “โบราณคดี”ที่ผู้เขียนเคยท้วงติงเองนั้น โดยสาระที่แท้จริงคำว่า “sequence”เป็นคำนามที่มีความหมายว่า “แห่งการลำดับชั้น, การต่อท้าย, ลำดับชุดของสิ่งของ ความคิดหรือเหตุการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นตามลำดับของสิ่งอื่นหรือเหตุการณ์อื่น” ด้วยเหตุนี้หากประสงค์จะกล่าวถึงลำดับทางวัฒนธรรมแล้ว ก็ควรจะใช้ว่า “culture sequence” หรือ “cultural sequence” ให้ชัดเจน “ถูกต้องรัดกุม”<br /><br />อย่างไรก็ดี เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เขียน กรณีดังกล่าวอาจเป็นข้อผิดพลาดเชิงการเรียงพิมพ์ เนื่องจากในกรณีที่ใกล้เคียงกันนี้ ปรากฏว่าในหน้า ๕๙และ หน้า ๖๖ ก็มีคำว่า“ลำดับสมัยวัฒนธรรม(cultural sequence)” อยู่ด้วยเช่นกัน<br /><br />นอกจากนี้เมื่อแรกเห็นคำว่า “artifacts” ในหน้า ๕ ผู้วิพากษ์ก็มิได้ติดอกติดใจกับคำแปลดังกล่าวที่ว่า “โบราณวัตถุ” เพราะถือว่าพอรับได้ ทั้งๆที่ในใจอยากจะเห็นคำแปล “artifacts”ว่า “หลักฐานโบราณคดี” มากกว่า แต่เมื่อพบวลีว่า “artifacts never lie” ในหน้า ๙ และผู้เขียนแปลวลีดังกล่าวว่า “โบราณวัตถุไม่เคยโกหก” ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้วิพากษ์ไม่คล้อยตามไปด้วยกับการแปลวลีข้างต้น แต่หากแปลว่า “หลักฐานโบราณคดีไม่เคยโกหก หรือ หลักฐานโบราณคดีไม่มีลวง” น่าจะทำให้วลีข้างต้นนี้มีความสละสลวยมากกว่าเป็นไหนๆ<br /><br />ผู้เขียนกล่าวว่า “วัฒนธรรมมีลักษณะพลวัติไม่หยุดนิ่ง (dynamic)”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn38" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn38" name="_ftnref38">[38]</a> คำว่า “dynamic”แปลว่า “พลังที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว” อันมีความหมายตรงกับคำว่า “พลวัติ” อยู่แล้ว ประโยคดังกล่าวจึงเป็นการใช้คำแบบซ้อนความโดยไม่จำเป็น<br /><br />ในการอธิบายความหมายของโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์(Prehistoric Archaeology) ผู้เขียนกล่าวถึงสาขาย่อยของวิชามานุษยวิทยาวิชาหนึ่ง คือ วิชา palaeoanthropology และอธิบายว่าเป็นวิชาที่ “ศึกษาวิวัฒนาการมนุษย์ ซึ่งเน้นการวิเคราะห์ซากบรรพชีวินเกี่ยวกับบรรพบุรุษของมนุษย์ เพื่อทำความเข้าใจกำเนิดและวิวัฒนาการทางกายภาพ และพฤติกรรมของมนุษย์เป็นหลัก”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn39" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn39" name="_ftnref39">[39]</a> น่าเสียดายที่ผู้เขียนมิได้แปลชื่อวิชานี้ ทั้งๆที่สามารถแปลได้อย่างเหมาะสมว่า “วิชาโบราณมานุษยวิทยา” ซึ่งอาจเทียบได้กับคำว่า “archaeometallurgy” ซึ่งผู้เขียนถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยอย่างงดงามว่า “โบราณโลหะวิทยา”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn40" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn40" name="_ftnref40">[40]</a><br /><br />เมื่อเห็นคำว่า “โบราณคดีเชิงชาติพันธุ์ “ ในหน้า๑๑ ผู้วิพากษ์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำเดียวกันนี้ที่เคยมีผู้แปลไว้อย่างเหมาะสมมาก่อนนานแล้วว่า “ชาติพันุธ์โบราณคดี” หรือ“ชาติพันธุวิทยาโบราณคดี” ซึ่งมีความหมายเดียวกัน<br /><br />ผู้เขียนกล่าวถึงการตั้งบริษัทเอกชน(contract company)เข้ามาทำงานทางด้านโบราณคดี <a title="" style="mso-footnote-id: ftn41" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn41" name="_ftnref41">[41]</a> อันที่จริงผู้เขียนน่าจะใช้เรียกคำดังกล่าวว่า “บริษัทรับเหมาเอกชน”ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่กลับยังเรียกคำๆนี้ทับศัพท์ ทั้งๆที่ในบริบทของชุมชนโบราณคดีไทยปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วเกือบสองทศวรรษตั้งแต่ยุคที่นายนิคม มูสิกะคามะ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองโบราณคดี<br /><br /><span style="font-size:130%;">-บทที่๒ ทฤษฎีทางโบราณคดี<br /></span>ผู้เขียนอธิบายความหมายของ“theory”แบบกว้างๆตามนิยามของวิลเลียม ดี.ลีป (William D. Lipe)ว่าหมายถึง ความคิด(ideas)หรือมโนทัศน์(concepts)ที่ช่วยให้มนุษย์มองโลกอย่างเข้าใจและมีเหตุผล<a title="" style="mso-footnote-id: ftn42" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn42" name="_ftnref42">[42]</a> ซึ่งค่อนข้างสั้นและคลุมเครือ และเป็นที่น่าเสียดายว่าข้อความดังกล่าวนี้ ดูผิวเผินแล้วมีลักษณะราวกับจะอ้างมาจากสมุดจดคำบรรยาย “เอกสารส่วนตัว” เมื่อลงทะเบียนเรียนวิชามานุษยวิทยาเบื้องต้น “Introductory Lecture Notes, Anthropology 4302 530” เมื่อปีค.ศ.๑๙๙๙ โดยการขออนุญาตเป็นการส่วนตัว ทั้งนี้ผู้เขียนอ้างอิงเนื้อหาจากเอกสารนี้อย่างน้อย ๓ ครั้งด้วยกัน <a title="" style="mso-footnote-id: ftn43" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn43" name="_ftnref43">[43]</a> ซึ่งข้อสังเกตนี้อาจจะไม่จริงก็ได้<br /><br />เหตุที่ต้องวิพากษ์ประเด็นนี้ก็คือ ในระดับมืออาชีพแล้ว การอ้างอิงเอกสารที่ยังไม่ตีพิมพ์เป็นสิ่งไม่ควรปฏิบัติ เนื่องจากผู้อ่านไม่สามารถจะติดตามอ่านหรือตรวจสอบในภายหลังได้หากเกิดข้อสงสัยที่อาจจะตามมา<br /><br />นอกจากนี้ การอธิบายนิยาม “ทฤษฎี” ของวิลเลียม ดี.ลีป ยังมิอาจเทียบได้กับคำอธิบายนิยามของ “theory” ใน Edictionary.com ซึ่งประกอบด้วยนิยามที่ชัดเจนและกระชับถึง ๗ ความหมาย เช่น “ทฤษฎี” หมายถึง กลุ่มของถ้อยคำ(statement)หรือ หลักการ(principles)ที่สามารถนำมาใช้ในการอธิบายความจริงหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะความจริงหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ถูกทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า หรือได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและสามารถนำไปใช้ในการทำนายเกี่ยวกับความจริงหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ ฯลฯ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn44" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn44" name="_ftnref44">[44]</a><br /><br />แต่ครั้นผู้เขียนอ้างความเห็นของแม็กกีและวอร์มเกี่ยวกับความหมายของทฤษฎีเพิ่มเติมว่า ทฤษฎีเป็นเครื่องมือช่วยสร้างความหมายแก่ข้อมูลหรืออย่างน้อยก็เป็นกรอบแนวคิดว่าควรจะเก็บข้อมูลประเภทใดและอย่างไร<a title="" style="mso-footnote-id: ftn45" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn45" name="_ftnref45">[45]</a> และอธิบายเพิ่มเติมว่า ในวิชาโบราณคดีทฤษฎีมีความสำคัญในฐานะที่เป็น “ข้อความเสนอ(prepositions)” หรือ “หลักการ(principles)บางอย่าง” ซึ่งยังไม่ถูกทดสอบหรือพิสูจน์ หรือสามารถทดสอบได้ด้วยกระบวนการที่เป็นวิทยาศาสตร์<a title="" style="mso-footnote-id: ftn46" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn46" name="_ftnref46">[46]</a> คำอธิบายในบริบทนี้จึงเข้าใจได้มากกว่าการอ้างนิยาม “ทฤษฎี” ตามทัศนะของวิลเลียม ดี. ลีป ดังกล่าวไปแล้วข้างต้น<br /><br />สำหรับผู้วิพากษ์แล้ว ค่อนข้างจะพึงพอใจต่อนิยามและคุณค่าของในทัศนะของ เฮกมอน ที่เสนอว่า ทฤษฎีเป็นกรอบความคิดหลักที่ช่วยให้นักวิจัยหรือคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นเข้าใจเรื่องราวเฉพาะกรณีหรือเรื่องต่างๆรอบตัว เมื่อเผชิญกับแรงกระตุ้นแบบไม่สิ้นสุดและมีข้อมูลเพียงเล็กน้อย ทฤษฎีก็สามารถจะช่วยให้มุ่งความสนใจไปที่ข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจปฏิสัมพันธ์และทำให้สามารถแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นความรู้ได้<br /><br />นอกจากนี้ทฤษฎียังเป็นเครื่องมือบ่งชี้ ประทับตราและอธิบายเรื่องราวของสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดี ทฤษฎีจึงมีฐานะเป็นกรอบที่ต้องปฏิบัติตามเช่นเดียวกับภาษา วัฒนธรรมและสิ่งต่างๆทั้งหลายที่มนุษย์ส่วนใหญ่ใช้เป็นหน้าต่างเปิดสู่โลก เฮกมอนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า การที่จะเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้อย่างชัดเจนอาจทำให้ละเลยสิ่งอื่นๆและมิได้มองโลกอย่างที่ควรเป็น แต่กลับมองตามกรอบโครงความคิดที่สอดคล้องกับทฤษฎีของตน<a title="" style="mso-footnote-id: ftn47" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn47" name="_ftnref47">[47]</a><br /><br />คำว่า “งานที่เป็นการทดลอง”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn48" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn48" name="_ftnref48">[48]</a> วงเล็บในภาษาอังกฤษว่า “experimental archaeology” เป็นศัพท์อีกคำหนึ่งที่อาจบ่งชี้ให้เห็นอุปนิสัยแบบ“รัวและรวบ”ของผู้เขียน ซึ่งเป็นคนคิดไว พูดไว อันที่จริงผู้เขียนควรจะแปลศัพท์วลีนี้ให้ชัดเจนไปเลยก็ได้ว่า “งานโบราณคดีที่เป็นการทดลอง”<br /><br />เมื่อกล่าวถึง “theoretical orientation” ผู้เขียนระบุว่าเป็น “แนวทางทฤษฎี”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn49" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn49" name="_ftnref49">[49]</a> โดยมิได้รักษาความหมายดั้งเดิมในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึง “การสร้างความเข้าใจอย่างแจ่มชัดทางด้านทฤษฎี”<br /><br />เมื่อผู้เขียนกล่าวถึงนักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งซึ่งให้ความสนใจกับความคิด ระบบสัญลักษณ์และโครงสร้างทางจิตใจของมนุษย์ในฐานะที่เป็นแรงผลักดันสำคัญเบื้องหลังพฤติกรรมมนุษย์ ผู้เขียนเรียกนักโบราณคดีกลุ่มนี้ว่า “นักศึกษาความคิด(Ideationist)” ซึ่งเชื่อว่า ความเข้าใจวัฒนธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่ามนุษย์คิดอะไร จึงต้องพยายาม “ถอดรหัสมโนทัศน์(cognitive code)ของเขาให้ได้”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn50" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn50" name="_ftnref50">[50]</a> ในทางปรัชญาแล้วคำว่า “cognitive code” น่าจะเกี่ยวข้องกับการเข้าถึงกระบวนการบูรณาการทางความคิดของมนุษย์ตั้งแต่ความระมัดระวัง ความคิด ความรู้ การเรียนรู้ไปจนถึงการตัดสินใจ ซึ่งโดยภาพรวมแล้วหมายถึงการสำนึกรู้(cognition) ซึ่งจะลึกซึ้งมากกว่าการอธิบายเพียงว่าเป็นการ “ถอดรหัสมโนทัศน์” ซึ่งน่าจะตรงกับภาษาอังกฤษว่า “conception code”<br /><br />การวงเล็บภาษาอังกฤษมากมายในหนังสือเล่มนี้ มีคุณค่าในแง่การเปิดโลกทางภาษาแก่ผู้อ่าน แม้บางคำ อาทิ “guess(การเดา การทำนาย)” อาจจะถูกมองว่า ไม่เห็นน่าจะต้องพิมพ์ใส่ในวงเล็บ แต่เมื่ออยู่คู่กับคำว่า ‘speculation(การคาดเดา การพยากรณ์อย่างมีหลักการ)” กลับทำให้บริบททางความคิดที่นำเสนอมีความน่าสนใจขึ้นมา<a title="" style="mso-footnote-id: ftn51" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn51" name="_ftnref51">[51]</a><br /><br /><span style="font-size:130%;">-บทที่๓ ประวัติวิชาโบราณคดีโดยสังเขป</span><br />การค้นคว้าเกี่ยวกับความเป็นมาของมนุษย์ในโลกใหม่ เริ่มต้นเมื่อคนผิวขาวเดินทางไปพบคนพื้นเมืองซึ่งมีหน้าตาแตกต่างไปจากตน จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า “Who are the Indians?” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn52" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn52" name="_ftnref52">[52]</a> ประโยคคำถามนี้ผู้เขียนแปลแบบเก็บความเช่นเดิมว่า “คนพวกนี้เป็นใคร” โดยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า “คนพวกนี้” คือ “ชาวอินเดียน” การแปลลักษณะนี้จะปรากฏบ่อยมาก แม้เมื่อ กล่าวถึงนักวิชาการทั้งหลายแบบ “armchair scholars” ผู้เขียนก็ยังอดมิได้ที่จะเรียกแบบเสียดว่าเป็นพวก “นั่งในห้องแล้วนึกเอาเอง”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn53" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn53" name="_ftnref53">[53]</a> ซึ่งเห็นได้ชัดว่า คำว่า”pseudoarchaeology” ก็ดี คำว่า“armchair scholars”ก็ดี ล้วนเป็นคำพูดที่มาจาก “ขี้ปากฝรั่ง”แท้ๆ และหากจะมองด้วยความเป็นธรรมแล้ว การทำงานวิจัยทางวิชาการมีทั้งแบบ “documentary research” และ “field research” ซึ่งผู้วิพากษ์ก็นับถือกระบวนการทำงานทั้งสองพวกอย่างไม่น้อยหน้ากว่ากันสักเท่าใด จึงขอเรียกกลุ่ม armchair scholars” ว่าเป็นพวกนักวิจัยเชิงเอกสารมากกว่าจะชี้หน้าว่า “เป็นพวกนั่งเทียน” และในอดีตพวก “armchair scholars” ก็เคยสร้างความกระจ่างให้เกิดขึ้นในการอธิบายเรื่องราวทางโบราณคดีมาเป็นระยะๆ<br /><br />ผู้วิพากษ์อดจะคิดอย่างสนุกๆไม่ได้ว่า การเรียกชื่อสกุลของ“Frederic W. Putnam”นักโบราณคดีชาวอเมริกันคนหนึ่งในยุคบุกเบิกว่า “พุทนัม”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn54" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn54" name="_ftnref54">[54]</a>ของผู้เขียน ฟังกี่ครั้งๆก็มีสำเนียงคล้ายชื่อของชาวศรีลังกามากกว่าจะเป็นชื่อของชาวอเมริกัน<br /><br /><span style="font-size:130%;">-บทที่๔ โบราณคดีตามแนวคิดทฤษฎีประวัติวัฒนธรรม</span><br /><br />เมื่อผู้เขียนกล่าวถึงวิธีการศึกษาการแพร่กระจาย(diffusion approach) ซึ่งเป็นทฤษฎีทางมานุษยวิทยาอีกสำนักคิดหนึ่ง มีนักวิชาการเด่นๆ ได้แก่ ฟรีดิช ราทเซล(Friedrich Ratzele) และฟรานซ์ โบแอส(Franz Boas) นักวิชาการกลุ่มนี้ไม่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน พวกเขาพยายามค้นหา“cultural traits”หรือที่ผู้เขียนเรียกในภาษาไทยว่า “รูปแบบของลักษณะบางอย่างของวัฒนธรรม” ซึ่งอาจสืบทอดมาถึงกลุ่มชนรุ่นหลังตามแนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการ แต่ไม่พบ พวกเขาเชื่อว่าวัฒนธรรมแต่ละวัฒนธรรมมีลักษณะเฉพาะ และวัฒนธรรมหลักๆมีจุดเริ่มต้นที่ใดที่หนึ่งแล้วแพร่กระจายไปยังที่อื่น โดยจะผ่านการอพยพเคลื่อนย้ายของประชากร หรือผ่านการแพร่กระจายทางความคิดก็ได้<a title="" style="mso-footnote-id: ftn55" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn55" name="_ftnref55">[55]</a> ผู้วิพากษ์เห็นว่า “cultural traits” น่าจะแปลให้กระชับว่า“ลักษณะทางวัฒนธรรม” มากกว่า<br /><br />การรักษาความหมายของคำสำคัญเป็นหน้าที่ของนักวิชาการ เมื่อผู้เขียนกล่าวว่า “วัฒนธรรมนั้นมีความต่อเนื่องจากอดีตจนปัจจุบัน” แล้ววงเล็บต่อท้ายว่า (cultural continuity) <a title="" style="mso-footnote-id: ftn56" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn56" name="_ftnref56">[56]</a> ทั้งนี้หากไม่คิดมากก็จะไม่ติดใจอะไร แต่ผู้วิพากษ์อดจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เมื่อเห็นว่า ผู้เขียนแปลความหมายแบบขยายความเกินคำ<br /><br />การวิพากษ์ประเด็นเรื่องการใช้คำสำคัญ(key words)ในบทที่๕ ทฤษฎีหน้าที่นิยมในวิชาโบราณคดี บทที่๖ ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมในวิชาโบราณคดี บทที่๗ โบราณคดีใหม่ บทที่๘ ทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดี บทที่๙ โบราณคดีหลังกระบวนการ บทที่๑๐ เพศสถานะกับโบราณคดี และบทที่๑๑ ทฤษฎีผู้กระทำในวิชาโบราณคดีนั้น ผู้เขียนจะขอไม่กล่าวถึงอีก เพราะคงจะมีลักษณะไม่แตกต่างจากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเท่าใดนัก<br /><br /><span style="font-size:130%;">-บทที่๑๒ บทสรุป</span><br />ในบทสรุปนี้ผู้วิพากษ์จะไม่กล่าวถึงการใช้คำสำคัญ หากแต่จะชี้ว่าสำหรับมือสมัครเล่นแล้วการเขียนบทสรุปเปรียบเสมือนยาขมหม้อใหญ่ที่จำต้องฝืนกินเพื่อรักษาโรค และจะไม่กินก็ไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้วิพากษ์เห็นว่า บทสรุปที่ดีจะต้องมีการลำดับเนื้อความทั้งหมด พร้อมด้วยข้อเสนอแนะต่อเรื่องนั้นๆให้จบภายใน ๓–๑๐ หน้าเป็นอย่างน้อยตามความเหมาะสม เพื่อทบทวนประเด็นสำคัญและจุดประกายความคิดแก่ผู้อ่าน<br /><br />ในบทสรุปของหนังสือเรื่อง “โบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎี”นี้ ผู้เขียนอ้างความเห็นของนักวิชาการชาวตะวันตกบางคน เช่น Brian M. Fagan, Green and Doershuk, Newmann and Sanford etc. มาเป็นข้อตอกย้ำทางแนวคิด อาทิ อ้างความเห็นของ Brian M. Fagan ตอนหนึ่งว่า ความหลากหลายของทฤษฎีอาจเกิดจากความแตกต่างของวิธีคิดและความพยายามในการพิสูจน์แนวคิดใหม่ๆ และการเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อภาพสังคมและวัฒนธรรมในอดีตให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยยังคงรักษาวัตถุประสงค์หลักคือ ๔ ประการ ได้แก่ การศึกษาและอธิบายหลักฐานโบราณคดีทั้งในด้านเวลาและสถานที่ การสร้างภาพชีวิตของมนุษย์ในอดีต การศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และการเข้าใจร่องรอยที่เปรียบเสมือนบันทึกทางโบราณคดีหรือความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของมนุษย์กับวัฒนธรรมทางวัตถุ<a title="" style="mso-footnote-id: ftn57" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn57" name="_ftnref57">[57]</a><br /><br />แนวคิดของนักวิชาการดังกล่าวที่ยกมาเป็นคำอธิบายที่น่าสนใจ แต่บทสรุปควรจะเป็นพื้นที่ ซึ่งผู้เขียนต้องสรุปด้วยตนเองมากกว่า ประเด็นที่ต้องการจะชี้ให้เห็นก็คือ แม้ข้อความที่ยกมาอ้างอิงจะเลิศลอยเพียงใดก็ตาม แต่เมื่ออยู่ในบทสรุปแล้ว ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องอ้างแหล่งที่มาเลยแม้แต่น้อย เพราะกระบวนการอ้างอิงควรจะจบลงอย่างสิ้นเชิงแล้วก่อนที่ผู้เขียนจะ “จั่ว” หัวเรื่องว่าเป็น “บทสรุป”<br /><br /><span style="font-size:130%;">๓.๓ การถ่ายทอดแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีเปรียบเทียบกับบทความของมิเชลล์ เฮกมอน<br /></span>หนังสือเล่มนี้เป็นกระแสทางวิชาการโบราณคดีที่น่าท้าทายชิ้นหนึ่ง และมิอาจปฏิเสธจุดแข็งในเนื้อหาที่ผู้เขียนลำดับให้เห็นเกี่ยวกับทฤษฎีทางโบราณคดีอย่างเป็นกระบวนการได้ กล่าวคือ ภายใต้การอ้างอิงงานเขียนของโจน อาร์.แมคกีและริชาร์ด แอล. วอร์มส์(Jon R. McGee and Richard L. Warms)และนักวิชาการบางท่าน ผู้เขียนจำแนกทฤษฎีทางโบราณคดีออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ ระดับกลางและระดับสูง ทฤษฎีระดับต่ำ(low - level theory) หมายถึง การตั้งข้อสังเกตที่ได้จากการทำงานโดยตรงในภาคสนาม ทฤษฎีระดับกลาง (middle – level theory) หมายถึง การเชื่อมโยงสมมติฐานเฉพาะเรื่องเข้ากับทฤษฎี หรือการอธิบายกฎ(แนวคิด)ทั่วไปเกี่ยวกับระบบสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์เข้ากับหลักฐานทางโบราณคดี หรือการพยายามเชื่อมโยงข้อมูลจากทฤษฎีระดับล่างเข้ากับสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต .และทฤษฎีระดับสูง (high – level theory) หรือทฤษฎีทั่วไป(general theory) หมายถึง การเสนอกรอบแนวความคิด(framwork) ที่เป็นแนวทางในการอธิบายสังคมมนุษย์โดยรวม อาทิ การปรับตัวของมนุษย์ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งด้านวัฒนธรรมหรือด้านชีววิทยา.<a title="" style="mso-footnote-id: ftn58" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn58" name="_ftnref58">[58]</a><br /><br />ผู้เขียนชี้ว่า ทฤษฎีทางโบราณคดีอาจศึกษาได้หลายแง่มุม แต่ก็เว้นที่จะกล่าวถึงคำว่า “epistimological framework” เมื่อระบุว่า “หนังสือเล่มนี้จะมองแนวคิดทฤษฎีทางโบราณคดีหลายแง่มุม ตั้งแต่ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีในกรอบของการค้นหาหรืออธิบายสิ่งที่เรารู้ (ว่าเรารู้ได้อย่างไร) (epistimological framework) และการวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎี”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn59" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn59" name="_ftnref59">[59]</a><br /><br />คำว่า“epistimological framework”หรือ “กรอบคิดหรือขอบเขตทางด้านญาณวิทยา” นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางมาแล้วไม่น้อยกว่านับสิบปี<a title="" style="mso-footnote-id: ftn60" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn60" name="_ftnref60">[60]</a> น่าเสียดายที่ผู้เขียนมิได้กล่าวถึงให้ชัดเจนกว่านี้<br /><br />ผู้เขียนอธิบายถึงทฤษฎีสำคัญๆทางโบราณคดีจำนวน ๘ ทฤษฎีเป็นอย่างน้อย ได้แก่ ทฤษฎีประวัติวัฒนธรรม ทฤษฎีหน้าที่นิยมในวิชาโบราณคดี ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม โบราณคดีใหม่ ทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดี ทฤษฎีโบราณคดีหลังกระบวนการ เพศสถานะกับโบราณคดี<a title="" style="mso-footnote-id: ftn61" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn61" name="_ftnref61">[61]</a> การวิพากษ์การถ่ายทอดแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีของผู้เขียนในส่วนนี้ ผู้วิพากษ์ขอนำประเด็นจากบทความของมิเชลล์ เฮกมอน (Michelle Hegmon)นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร The American Antiquity เมื่อ ค.ศ.๒๐๐๓ มาเป็นเครื่องมือ<br /><br />มิเชลล์ เฮกมอนชี้ว่า ทฤษฎีทางโบราณคดีของอเมริกาเหนือ มีลักษณะมุ่งสร้างความชัดเจนของประเด็นคำถามต่างๆทางการวิจัย มากกว่าจะชี้ชัดหรือถกเถียงเกี่ยวกับฐานะตัวตน(position)ของทฤษฎี เธอไม่ปฏิเสธว่าทฤษฎีบางอย่างก็มีแนวคิดชัดเจน เช่น ทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการ(Evolutionary Ecology) ทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม(Behavioral Archaeology)และทฤษฎีโบราณคดีวิวัฒนาการสำนักดาร์วิน (Darwinian Archaeology) ซึ่งนักโบราณคดีส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือเรียกทฤษฎีเหล่านี้ว่า“กลุ่มแนวคิดแบบ processual - plus” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn62" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn62" name="_ftnref62">[62]</a> นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีเพศสภาวะ(Gender) ทฤษฎีผู้กระทำ(Agency/ practice) ทฤษฎีสัญลักษณ์และความหมาย(Symbols and meaning) ทฤษฎีวัฒนธรรมทางวัตถุ(Material culture) และทฤษฎีที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของชาวพื้นเมือง(Native perspectives)ด้วย<br /><br /><span style="font-size:130%;">เปรียบเทียบการอธิบายแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีของผู้เขียนและเฮกมอน</span><br /><br /><span style="font-size:130%;">ผู้เขียน(พ.ย.๒๕๔๗)</span><br />๑.ทฤษฎีประวัติวัฒนธรรม<br />๒.ทฤษฎีหน้าที่นิยมในวิชาโบราณคดี<br />๓.ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม<br />๔.โบราณคดีใหม่<br />๕.ทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดี<br />๖.ทฤษฎีโบราณคดีหลังกระบวนการ<br />๗.เพศสถานะกับโบราณคดี<br />๘.ทฤษฎีผู้กระทำในวิชาโบราณคดี<br />๙………………………………………….<br /><br /><span style="font-size:130%;">Michelle Hegmon(2003)</span><br />๑.ทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการ(Evolutionary Ecology)<br />๒.ทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม(Behavioral Archaeology)<br />๓.ทฤษฎีโบราณคดีวิวัฒนาการสำนักดาร์วิน (Darwinian Archaeology)<br />๔.ทฤษฎีสัญลักษณ์และความหมาย(Symbols and meaning)<br />๕.ทฤษฎีวัฒนธรรมทางวัตถุ(Material culture)<br />๖.ทฤษฎีที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของชาวพื้นเมือง(Native perspectives)<br />๗.ทฤษฎีเพศสภาวะ(Gender)<br />๘.ทฤษฎีผู้กระทำ(Agency/ practice)<br />๙.ทฤษฎีกระบวนการพิเศษ(processual plus)<br />ขณะที่เฮกมอนมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความชัดเจนของประเด็นคำถามต่างๆทางการวิจัยมากกว่าจะชี้ชัดหรือถกเถียงเกี่ยวกับฐานะตัวตน(position)ของทฤษฎี แต่ผู้วิพากษ์มีวัตถุประสงค์ในระดับที่ต่ำกว่า คือ เพื่อชี้ให้เห็นแนวโน้มอันอาจจะเกิดขึ้นจากการทำความเข้าใจกับเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไปดังนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">ทฤษฎีประวัติวัฒนธรรม<br /></span>เฮกมอนมิได้กล่าวถึงแนวคิดเกี่ยวกับประวัติวัฒนธรรม แต่ก่อนจะกล่าวถึงแนวคิดนี้ ผู้วิพากษ์มีข้อสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า เหตุใดผู้เขียนจึงแปลคำ“culture history” ว่า “ประวัติวัฒนธรรม” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn63" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn63" name="_ftnref63">[63]</a> ทั้งๆที่มีคำว่า “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม”ใช้ทั่วไปแล้ว<br /><br />เหตุที่ตั้งข้อสังเกตเช่นนั้นก็เพราะผู้วิพากษ์เห็นว่า นักวิชาการทุกสาขาวิชาชีพต่างก็มี “อัตตะ-ego” ลึกเร้นแฝงอยู่ในความรู้สึกอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ในทัศนะของผู้วิพากษ์อัตตะมิเพียงไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ มิหนำซ้ำยังทำให้นักวิชาการมีความมั่นใจและภาคภูมิใจในวิชาชีพหรือ “field”ทางวิชาการของตนอีกด้วย ซึ่งถือเป็น “อัตตะ” ฝ่ายดี แต่“อัตตะ”อีกส่วนหนึ่ง เป็นธรรมชาติฝ่ายต่ำที่มีกิเลสหรือโมหะแห่งความลุ่มหลงในวิชาชีพปนเปื้อนยากจะสลัดให้หลุดพ้น ซึ่งมนุษย์ก็มีกันอยู่ถ้วนทั่วทุกตัวคน<br /><br />มิเชล เฮกมอน (Michelle Hegmon) ได้ตีแผ่ให้เห็น “ego” ของนักโบราณคดีอย่างตรงไปตรงมา<a title="" style="mso-footnote-id: ftn64" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn64" name="_ftnref64">[64]</a> ผู้วิพากษ์เห็นว่าเธอคงไม่รอฟังถ้อยแถลงออกตัวของนักวิชาการคนใดในทำนองว่า “ข้าพเจ้าเป็นนักวิชาการที่เปิดกว้างทางความคิดมากที่สุด” หรือ “ข้าพเจ้าพร้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นทุกเรื่อง” หรือ “ข้าพเจ้าไม่มีอัตตะ” เป็นต้น<br /><br />ในทัศนะของผู้วิพากษ์ หาก “social history” แปลว่า “ประวัติศาสตร์สังคม”แล้ว คำว่า “culture history” ก็มิควรจะแปลเป็นอื่นได้นอกจากคำว่า “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม” และการที่ผู้เขียนแปลคำดังกล่าวว่า “ประวัติวัฒนธรรม” จึงดูราวกับว่า มิได้ใส่ใจต่อความภาคภูมิใจในวิชาชีพของนักวิชาการสาขาอื่น<br /><br />นอกจากนี้หลักการของวิชาโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ การเน้นศึกษาวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในแง่มุมต่างๆ ข้อสังเกตประการต่อมา คือ การใช้คำว่า “culture history” ในการศึกษาวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์นั้นจะมีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด เนื่องจากการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์มีขอบเขตชัดเจนว่า เป็นการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในสมัยที่มีตัวอักษรใช้แล้ว การนำคำว่า “culture history” มาใช้ในบริบทของการศึกษาเรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์จึงเป็นคำถามที่พึงใคร่ครวญ ในกรณีนี้ผู้วิพากษ์นึกถึงคำว่า “prehistoric culture” ซึ่งอาจถูกนำมาใช้แทนได้อย่างความเหมาะสม<br /><br />ผู้เขียนระบุว่าประวัติวัฒนธรรม(culture history) “ดูเหมือนจะเป็นแนวทางศึกษา (approach)หรือวิธีการทำงานโบราณคดีมากกว่าจะเป็นทฤษฎี” โดยเน้นที่การสร้างหรือจัดลำดับวัฒนธรรมของมนุษย์ตามเวลาหรือความเก่าแก่ แนวคิดหรือกระบวนทัศน์เกี่ยวกับประวัติวัฒนธรรมมีมานานพอๆกับประวัติวิชาโบราณคดี และนักโบราณคดีหลายคนกล่าวว่าประวัติวัฒนธรรมเป็นกระบวนทัศน์หลักแรกสุดของวิชาโบราณคดี<a title="" style="mso-footnote-id: ftn65" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn65" name="_ftnref65">[65]</a><br /><br />การนำเสนอของผู้เขียนมีข้อขัดแย้งอยู่ในตัวเองจากความพยายามที่จะชี้ให้เห็นถึงความชัดเจนของวิธีคิดนี้ กล่าวคือ จากย่อหน้าข้างต้นผู้เขียนระบุว่า “แนวคิดหรือกระบวนทัศน์เกี่ยวกับประวัติวัฒนธรรมมีมานานพอๆกับประวัติวิชาโบราณคดีและนักโบราณคดีหลายคนกล่าวว่าประวัติวัฒนธรรมเป็นกระบวนทัศน์หลักแรกสุดของวิชาโบราณคดี”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn66" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn66" name="_ftnref66">[66]</a> ในย่อหน้าต่อมาได้ขยายความว่า “ประวัติวัฒนธรรมเป็นกระบวนทัศน์ที่ก่อตัวและเป็นที่สนใจในหมู่นักโบราณคดีในราวสองทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่๒๐และเสื่อมความนิยมในราวทศวรรษที่๑๙๖๐“<a title="" style="mso-footnote-id: ftn67" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn67" name="_ftnref67">[67]</a><br /><br />หากคำกล่าวนำของผู้เขียนยุติลงเพียงแค่นั้น ก็จะไม่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงใดๆ แต่เมื่อผู้เขียนกล่าวเสริมว่า “ …แต่ผู้เขียนเห็นว่าแนวคิดเกี่ยวกับประวัติวัฒนธรรมมีความเป็นมาเก่าแก่กว่านั้น อย่างน้อยก็ตั้งแต่ประธานาธิบดีโทมัส เจฟเฟอร์สันขุดเนินดินในเขตที่ดินของเขาในปี๑๗๘๔..”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn68" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn68" name="_ftnref68">[68]</a><br /><br />ผู้วิพากษ์เห็นว่าเจฟเฟอร์สันเพียงแต่ “รายงาน(บันทึก)” ให้เห็นถึงลักษณะการทับถมของชั้นดินเท่านั้น มิได้ลำดับให้เห็นแนวคิดเกี่ยวกับการเน้นหรือสร้างกระบวนทัศน์เพื่อจัดลำดับวัฒนธรรมของมนุษย์ตามเวลาหรือความเก่าแก่แต่อย่างใด การที่ผู้เขียนระบุว่า การขุดค้นของเจฟเฟอร์สันเป็นการขุดค้นตามชั้นดินครั้งแรกในโลกใหม่นั้น น่าจะเป็นเกียรติยศสูงสุดเพียงพออยู่แล้ว ส่วนการจัดลำดับยุคสมัยทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ได้แก่ ยุคหิน ยุคสำริดและยุคเหล็กเมื่อประมาณค.ศ.๑๘๑๖ ควรจะเป็นการริเริ่มอย่างแท้จริงของคริสเตียน ทอมเซน ทั้งนี้ผู้เขียนเองก็ระบุอยู่แล้วว่า การกล่าวถึงการลำดับในบันทึกของเจฟเฟอร์สันไม่ค่อยจะชัดเจนนัก<a title="" style="mso-footnote-id: ftn69" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn69" name="_ftnref69">[69]</a><br /><br />ผู้เขียนกล่าวถึงวิธีการศึกษาแบบประวัติวัฒนธรรม ๔ ประการ ตั้งแต่หน้า๖๒ถึงหน้า๘๑ ได้แก่ การศึกษาการแพร่กระจาย(diffusionism approach) การสืบย้อนประวัติสายตรง(direct historical approach) วิธีการตรวจสอบด้วยชั้นดิน(stratigraphic approach)และวิธีการจัดจำแนกรูปแบบ(typological and classificatory approach) และสรุปว่า แม้“แนวคิดทฤษฎีประวัติวัฒนธรรม” จะได้รับความนิยมมากระหว่างค.ศ.๑๙๑๐–๑๙๔๐ แต่ก็ไม่เคยหายไปจากงานโบราณคดี อีกทั้งยังมีความจำเป็นเบื้องต้นต่อการศึกษาวิจัยทางโบราณคดีด้วยในฐานะ “กระดูกสันหลังของวิชาโบราณคดี”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn70" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn70" name="_ftnref70">[70]</a><br /><br />ผู้วิพากษ์มีความโน้มเอียงที่ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับการอธิบายของฟาแกน(Brian M. Fagan)เมื่อกล่าวถึงการแพร่กระจาย(diffusion)ในฐานะของทฤษฎี(Diffusionism)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn71" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn71" name="_ftnref71">[71]</a> ซึ่งนักโบราณคดีใช้อย่างแพร่หลายและเป็นเอกเทศ เช่นเดียวกับการถูกนำไปใช้ในงานมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา มากกว่าจะกล่าวถึงในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนทัศน์แบบประวัติวัฒนธรรม เนื่องจากทฤษฎีการแพร่กระจายวางอยู่บนภาพรวมที่เกี่ยวกับการอธิบายถึงแนวคิดเรื่องการค้า การอพยพ การติดต่อทางวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งการออกเดินทางเพื่อการสำรวจ(exploration)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn72" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn72" name="_ftnref72">[72]</a> เป็นต้น<br /><br /><span style="font-size:130%;">ทฤษฎีหน้าที่นิยมในวิชาโบราณคดี ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมในวิชาโบราณคดีและทฤษฎีระดับกลางในวิชาโบราณคดี</span><br /><br />ในขณะที่ผู้เขียนอธิบายถึงความเป็นมา ความหมายและขอบเขตของทฤษฎีหน้าที่นิยมในวิชาโบราณคดี ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมในวิชาโบราณคดีและทฤษฎีระดับกลางในวิชาโบราณคดีแบบแยกส่วนอย่างชัดเจน แต่ในบทความของเฮกมอนได้กล่าวแบบรวมๆ เมื่อผู้วิพากษ์เลือกที่จะนำเนื้อหาในบทความของเฮกมอนมาเป็นเครื่องมือทางวิชาการ จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงทฤษฎีทั้งสามในที่เดียวกันด้วย<br /><br />ทฤษฎีหน้าที่นิยมในวิชาโบราณคดี ผู้เขียนลำดับเรื่องราวให้ทราบว่า ทฤษฎีนี้เกิดจากวิจารณ์งานโบราณคดีตามแนวคิดแบบประวัติวัฒนธรรมของเทเลอร์(Walter W. Taylor)ว่า เน้นการพรรณนาและสร้างลำดับอายุสมัยวัฒนธรรมมากเกินไปจนคล้ายจะเป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งจริงๆแล้วผู้วิพากษ์ก็เห็นด้วยว่าไม่น่าจะผิดนัก เนื่องจากเป็นกระแสวิชาการที่ดำรงอยู่ขณะนั้น เทเลอร์เสนอว่าในฐานะที่โบราณคดีเป็นส่วนหนึ่งของมานุษยวิทยา จึงควรศึกษาวัฒนธรรมในลักษณะเปรียบเทียบทั้งแบบหยุดนิ่งและเป็นพลวัติ ทั้งในแง่ของรูปแบบ หน้าที่และพัฒนาการอย่างเป็นองค์รวม<a title="" style="mso-footnote-id: ftn73" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn73" name="_ftnref73">[73]</a> ผู้เขียนระบุเสริมว่ามีนักโบราณคดีหลายคนกล่าวสอดคล้องกับเทเลอร์ อาทิ มาลินอฟสกี(Bronislaw Malinowski) ซึ่งเน้นทฤษฎีหน้าที่นิยมเชิงจิตวิทยาเน้นการอธิบายครอบคลุมไปถึงปัจเจกบุคคล และอัลเฟรด แรดคลิฟฟ์-บราวน์(Alfred R. Radcliffe-Brown) ซึ่งประยุกต์ทฤษฎีโครงสร้างนิยมของเอมิล เดอร์ไฮม์(Émile Durkheim, 1858-1917: อ่านแบบฝรั่งเศสว่า เอมิล ดูร์ไคหม์)นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสในการเสนอทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่นิยม(structural functionalism)<br /><br />ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่นิยม(structural functionalism)เน้นว่า สังคมมนุษย์มีโครงสร้างหน้าที่หลายส่วน และแต่ละส่วนก็ทำงานสอดประสานกับส่วนอื่นๆเพื่อรักษาสมดุลหรือเสถียรภาพของสังคมให้ราบรื่น<a title="" style="mso-footnote-id: ftn74" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn74" name="_ftnref74">[74]</a><br />ผู้เขียนอ้างแนวคิดของแรดคลิฟฟ์ –บราวน์ที่ว่า สังคมมนุษย์มีลักษณะคล้ายคลึงกับสังคมสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตทั่วไป คือ มีโครงสร้างทางสังคมซึ่งประกอบด้วยการทำหน้าที่ที่สัมพันธ์กัน นักมานุษยวิทยาจึงควรพยายามค้นหาส่วนประกอบต่างๆที่รวมกันขึ้นเป็นโครงสร้างของสังคม เพื่อตรวจสอบว่าส่วนประกอบนั้นมีบทบาทหน้าที่อย่างไรในแต่ละสังคมหรือมีส่วนจรรโลงสังคมอย่างไร เขาเชื่อว่าสังคมมนุษย์มีโครงสร้างที่สังเกตได้ มิได้มีลักษณะแบบนามธรรมเหมือนวัฒนธรรม แนวคิดของแรดคลิฟฟ์ บราวน์ได้รับความนิยมระหว่าง ค.ศ.๑๙๓๐–๑๙๖๐<a title="" style="mso-footnote-id: ftn75" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn75" name="_ftnref75">[75]</a><br /><br />ผู้เขียนชี้ว่า นักโบราณคดี อาทิ แซลมอน(Merrillee Salmon)นำแนวคิดเชิงทฤษฎีหน้าที่นิยมมาใช้ในการอธิบายหลักฐานโบราณคดี และเปลี่ยนมุมมองในการศึกษาโบราณวัตถุ จากการมองว่า โบราณวัตถุเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์แต่ละยุค มาเป็นการพิจารณาว่า โบราณวัตถุมีฐานะเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ หรือเป็นหลักฐานในการอธิบายวัฒนธรรมในอดีตของมนุษย์ ดังนั้นการศึกษาทางโบราณคดีตามแนวคิดทฤษฎีหน้าที่นิยมจึงมุ่งศึกษาโบราณวัตถุในฐานะที่เป็นสื่อบอกพฤติกรรมของมนุษย์ และศึกษารูปแบบการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในลักษณะที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเพื่ออธิบายให้เห็นพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งนิยมกันมากตั้งแต่ทศวรรษ๑๙๔๐–๑๙๖๐ และนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน<a title="" style="mso-footnote-id: ftn76" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn76" name="_ftnref76">[76]</a><br /><br />ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมในวิชาโบราณคดี ผู้เขียนเกริ่นถึงความเป็นมาว่า มีรากฐานต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ สมัยการออกเดินทางสำรวจดินแดนและสมัยล่าอาณานิคมของชาวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่๑๕–๑๖ การค้นพบดินแดนและคนพื้นเมืองทำให้นักสำรวจและนักคิดสนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมและกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในดินแดนอื่นๆของโลก <a title="" style="mso-footnote-id: ftn77" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn77" name="_ftnref77">[77]</a><br /><br />ผู้เขียนกล่าวว่า ในคริสต์ศตวรรษที่๑๙ นักวิชาการชาวอังกฤษสองคน คือ เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์(Herbert Spencer)และชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charles Darwin) สนใจศึกษาประเด็นดังกล่าวอย่างจริงจัง สเปนเซอร์เสนอความคิดว่าสังคมมนุษย์ในโลกมีการเปลี่ยนแปลงจากสภาพความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายไปสู่ลักษณะที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น และเรียกแนวคิดนี้ว่า “universal evolution” เขาชี้ว่าสังคมอารยะมีศีลธรรมจรรยามากกว่าสังคมป่าเถื่อน ทฤษฎีของสเปนเซอร์เน้นวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม ขณะที่ทฤษฎีของดาร์วินเน้นวิวัฒนาการทางชีววิทยา<a title="" style="mso-footnote-id: ftn78" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn78" name="_ftnref78">[78]</a><br /><br />ผู้วิพากษ์ขอสลับเนื้อหาในส่วนของทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดีมากล่าวถึงก่อนแนวคิดโบราณคดีใหม่ เพื่อจะทำให้สามารถนำเนื้อหาในบทความของเฮกมอนมาตรวจสอบได้ง่ายยิ่งขึ้น<br /><br />ทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดี ผู้เขียนนำข้อมูลจากราบบ์และกูดเยียร์(Mark L. Raab and Albert C. Goodyear)ในบทความชื่อ “Middle-Range Thoery in Archaeology: A Critical Review of Origins and Applications” มาอธิบายว่า ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาในทศวรรษ๑๙๔๐ โดยนักสังคมวิทยาชื่อโรเบิร์ต มอร์ตัน(Robert K. Morton) เพื่ออธิบายลักษณะหรือพฤติกรรมทางสังคมที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมให้เห็นจริงและสามารถทดสอบได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ จากนั้นกลุ่มนักวิชาการที่เรียกตนเองว่า “นักโบราณคดีใหม่หรือนักโบราณคดีกระบวนการ” จึงนำมาประยุกต์ใช้ในงานโบราณคดีประมาณทศวรรษ๑๙๗๐<a title="" style="mso-footnote-id: ftn79" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn79" name="_ftnref79">[79]</a> นอกจากนี้ผู้เขียนยังอภิปรายเกี่ยวกับ “cultural traits” ซึ่งยังไม่ชัดเจนนักเมื่อเทียบกับคำอธิบายอย่างเกาะติดจริงจังของเฮกมอน<a title="" style="mso-footnote-id: ftn80" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn80" name="_ftnref80">[80]</a><br /><br />ผู้เขียนกล่าวว่า ทฤษฎีระดับกลางเกิดจากความพยายามของนักโบราณคดีกลุ่มนี้ในการเชื่อมโยงข้อมูลจากทฤษฎีระดับล่าง(low level theory)เข้ากับสมมติฐานหรือมโนทัศน์เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต โดยพวกเขาเห็นว่าการมองหลักฐานทางโบราณคดีตามแนวทฤษฎีระดับล่างมีลักษณะหยุดนิ่ง อาทิ การอธิบายโบราณวัตถุได้เพียงแค่ว่า เป็นอะไร อายุเท่าไร มีกี่รูปแบบ เป็นต้น นักโบราณคดีควรยกระดับการตีความหลักฐานโบราณคดีด้วยการอธิบายให้เห็นพลวัติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต ทฤษฎีนี้เปรียบเสมือนพื้นที่ระหว่างหลักฐานโบราณคดีที่มีลักษณะหยุดนิ่งกับพติกรมของมนุษย์ซึ่งมีลักษณะเคลื่อนไหว เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “bridging theory” หรือ “middle range theory(MRT)”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn81" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn81" name="_ftnref81">[81]</a> ผู้เขียนกล่าวว่าในแง่วิธีวิทยาการศึกษาทางโบราณคดีตามแนวทฤษฎีระดับกลางเน้นกระบวนการศึกษาที่เป็นระบบ สามารถทดสอบได้(replicability)และอธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลเช่นเดียวกับการทดลองวิทยาศาสตร์ และวิธีการที่นิยมใช้กันคือ โบราณคดีทดลองหรือที่ผู้เขียนเรียกสั้นๆว่า “การทดลอง(experimental archaeology) โบราณคดีเชิงพฤติกรรม(behavioral archaeology)และการศึกษาทางชาติพันธุ์วิทยาโบราณคดี(ethnoarchaeology) นักโบราณคดีระดับกลางรุ่นบุกเบิกและมีชื่อเสียงโดดเด่น ได้แก่ ลูอิส บินฟอร์ด(Luis Binfordและไมเคิล ชีฟเฟอร์(Michael Schiffer) <a title="" style="mso-footnote-id: ftn82" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn82" name="_ftnref82">[82]</a><br /><br />ทั้งนี้ ผู้เขียนชี้ให้เห็นปัญหาเชิงทฤษฎีในส่วนของทฤษฎีวิวัฒนาการวัฒนธรรมในวิชาโบราณคดีและทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดีอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน<br /><br />บทความของเฮกมอนมิได้กล่าวถึงทฤษฎีหน้าที่นิยมทางโบราณคดี ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมในวิชาโบราณคดีและทฤษฎีระดับกลางในงานโบราณคดีแบบตรงๆ หากแต่นำเสนอในส่วนของทฤษฎีพิสูจน์ชัดเชิงอัตลักษณ์แล้ว ๓ ทฤษฎี(Three Self-Identified Perspectives) และทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม<br /><br />ในส่วนของทฤษฎีพิสูจน์ชัดเชิงอัตลักษณ์แล้ว ๓ ทฤษฎีเธออธิบายว่า ทฤษฎีแรกคือ ทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการ (Evolutionary Ecology) หรือ ทฤษฎีวิทยาศาสตร์วิวัฒนาการ(Evolutionary Science) ทฤษฎีนี้มีความสัมพันธ์กับความหลากหลายทางพฤติกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมาตามทัศนะของเคลลี(Kelly: 2000, 64) แนวคิดของทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการ รู้จักกันในทฤษฎีนิเวศวิทยาพฤติกรรมของมนุษย์(human behavioral ecology: HBE) อันเกี่ยวข้องกับการปรับใช้ทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการกับมนุษย์และพฤติกรรมของมนุษย์ ทฤษฎีนี้พยายามนำเสนอแนวคิดแบบนิเวศวิทยาวัฒนธรรม(cultural ecology)ของจูเลียน สจวร์ด(Julian Steward:1955) ซึ่งประกอบด้วยฐานคิดของทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างเข้มข้น ดังปรากฏอ้างอิงในบทความของ Winterhalder and Smith (2000:51) เฮกมอนชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยในงานโบราณคดีของอเมริกาเหนือ ทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการถูกนำมาใช้กันมาก เพื่อศึกษากลุ่มชนเก็บหาของป่าและล่าสัตว์(hunters-gatherers)หรือกลุ่มชนขนาดเล็กที่มีความก้าวหน้าเรื่องการเพาะปลูก (small-scale horticulturalists) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับหลักฐานทางโบราณคดีในแคลิฟอร์เนียหรือGreat Basin และกลวิธีต่างๆในการแสวงหาอาหารยังคงถูกใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงสมัยประวัติศาสตร์<br /><br />งานของKelly(2001)ใช้ข้อมูลจาก Carson Sink (ในรัฐNevada) เพื่อประเมินค่าแบบจำลองของการตั้งถิ่นฐานและการย้ายถิ่นฐาน และยังมีงานวิจัยของBroughton and O’connell (1999: 154-156) ซึ่งเน้นแนวคิดเรื่องการแผ่กว้างของอาหารและทางเลือกในการล่าสัตว์(diet breadth and prey choice)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn83" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn83" name="_ftnref83">[83]</a> ตามทัศนะของเฮกมอน นักโบราณคดีหลายคนที่ใช้ทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการ ดูเหมือนจะเปิดกว้างต่อวิธีการแสวงหาคำอธิบายอื่นๆเช่นกัน อาทิ แม้งานของเคลลี่(2000) จะมีแนวโน้มในการนำทฤษฎีโบราณคดีสำนักดาร์วิน(Darwinian archaeology)มาใช้ แต่เขาเสนอว่า แนวคิดหลายอย่างที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการและทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม อาจถูกใช้ผสมผสานกับทฤษฎีโบราณคดีสำนักดาร์วินได้ และเขาได้ใช้ทฤษฎีการสำนึกรู้เชิงพฤติกรรม(behavioral insight)มาอธิบายการแสดงออกทางบุคลิกภาพ เพื่อพัฒนาทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการในหลักฐานเครื่องมือหินเป็นการเฉพาะด้วย<br /><br />เฮกมอนกล่าวถึงทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรมว่า ริเริ่มขึ้นในปีค.ศ.๑๙๗๑ โดยนักวิชาการ ๓ คน คือ Reid, Schiffer และRathje แต่กระนั้นก็ดี จนถึงปีค.ศ.๑๙๙๕ ก็มีแต่ Michael Schiffer รวมถึงกลุ่มลูกศิษย์และเพื่อนร่วมงานที่มหาวิทยาลัยอะริโซนาเท่านั้น ที่ค่อนข้างผูกพันกับทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม<br /><br />ตามบทความของชิฟเฟอร์(๑๙๙๙) ที่เฮกมอนอ้างถึงนั้น ทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม สนใจความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของมนุษย์กับวัฒนธรรมทางวัตถุทุกสมัยและทุกสถานที่ตามชื่อทฤษฎี ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม จึงรวมถึงการศึกษาวัฒนธรรมทางวัตถุสมัยใหม่ และวิถีทางพฤติกรรมที่ทำให้เกิดหลักฐานโบราณคดีด้วย แต่ไม่รวมถึงแนวคิดเชิงนามธรรม<br /><br />ทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรมอาจเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในการพัฒนาแนวคิดทางวิธีวิทยาต่างๆ(methodologies) อาทิ การศึกษาการเกิดหลักฐานโบราณคดี(formation processes)ของชิฟเฟอร์(๑๙๘๗) และประวัติศาสตร์การเกิดหลักฐานโบราณคดี(artifact life histories)ในปี ค.ศ.๑๙๙๕ ซึ่งช่วยให้สามารถทำความเข้าใจกับหลักฐานทางโบราณคดีและช่วยให้สามารถสร้างเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมในอดีตของมนุษย์ขึ้นมาใหม่ได้<br /><br />อย่างไรก็ดี เฮกมอนเห็นว่า นักโบราณคดีที่สนใจทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรมนั้น มุ่งอธิบายพฤติกรรมและประเด็นต่างๆ ได้แก่ ความหมาย(ชิฟเฟอร์และมิลเลอร์: ๑๙๙๙) พิธีกรรม(วอลเกอร์: ๒๐๐๒ วอลเกอร์และลูเซโร:๒๐๐๐) และสังคมที่ซับซ้อน(ลามอตตาและชิฟเฟอร์: ๒๐๐๑)อย่างเด่นชัดด้วย ดังเห็นจากความต้องการที่จะพัฒนาแนวคิดเพื่ออธิบายความหลากหลายของหลักฐานโบราณคดี อาทิ ชิฟเฟอร์และสคีโบ(๑๙๙๗) สนใจอธิบายอิทธิพลองค์ประกอบทางพฤติกรรมของผู้ผลิต(producers) รวมทั้งสิ่งต่างๆจากกระบวนการทางสังคมและการต่อรองทางสังคม (social processes and negotiations) ที่ส่งผลต่อลักษณะทางการแสดงออกของหลักฐานทางโบราณคดีซึ่งทำเสร็จแล้ว<br /><br />เฮกมอนชี้ให้เห็นข้อเสนอของชิฟเฟอร์ซึ่งเน้นว่า ทั้งทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรมและทฤษฎีอื่นๆ ต่างก็เป็นแนวทางดีที่สุดในการเสนอปัญหาทางโบราณคดี โดยเขาพยายามจะสร้างการเชื่อมโยงทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรมกับแนวอื่นคิดอื่นๆ<br /><br />เฮกมอนเห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว แม้นักวิชาการบางคนในกลุ่มทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรมจะได้พัฒนาหรือร่างทฤษฎีเชิงพฤติกรรมอย่างชัดเจน แต่ความรู้ทางวิธีวิทยาและทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม ก็ถูกนำมาผสมผสานกับแนวคิดทางโบราณคดีอื่นๆอีกหลายแนวคิด รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการวิจัยแบบองค์รวม(accumulations research)ด้วย<a title="" style="mso-footnote-id: ftn84" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn84" name="_ftnref84">[84]</a><br /><br />อย่างไรก็ดี หากจะกล่าวโดยภาพรวมแล้วพบว่า ผู้เขียนทำการบ้านในส่วนของทฤษฎีหน้าที่นิยมในวิชาโบราณคดี ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมในวิชาโบราณคดีและทฤษฎีระดับกลางในวิชาโบราณคดีได้ดีมาก จึงยังไม่พบข้อถกเถียงใดๆในขณะนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;">โบราณคดีใหม่(The New Archaeology)หรือโบราณคดีกระบวนการ(processual archaeology)<br /></span>ผู้วิพากษ์เห็นด้วยที่ผู้เขียนระบุว่า ทฤษฎีหรือกระบวนทัศน์ใหม่ๆทางโบราณคดีมักเกิดจากการวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีเก่า จากนั้นก็มีทฤษฎีใหม่เป็นทางเลือก และทฤษฎีใหม่ที่เข้ามาก็มิได้แทนที่แทนทฤษฎีเก่า หากแต่มีส่วนส่งเสริมซึ่งกันและกัน อาทิ ทฤษฎีประวัติวัฒนธรรมอาจมีข้อด้อยที่เน้นการลำดับอายุสมัยทางวัฒนธรรมมากเกินไป จนมองข้ามบทบาทหน้าที่ของโบราณวัตถุ ทฤษฎีหน้าที่นิยมจึงเข้ามาสนับสนุนในส่วนนี้ เมื่อทฤษฎีหน้าที่นิยมถูกวิจารณ์ว่า มองสังคมในลักษณะที่หยุดนิ่ง ทฤษฎีวิวัฒนาการจึงถูกนำเข้ามาประยุกต์ใช้ และทฤษฎีต่างๆก็ถูกใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน<a title="" style="mso-footnote-id: ftn85" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn85" name="_ftnref85">[85]</a><br /><br />โบราณคดีใหม่ เกิดในทศวรรษ๑๙๖๐ เนื่องจากความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการศึกษาโบราณวัตถุของนักโบราณคดีรุ่นก่อน(ทศวรรษ๑๙๑๐–๑๙๖๐) ซึ่งเน้นการระบุ(identify) พรรณนา(describe) และจัดลำดับอายุสมัย(order)ของวัฒนธรรมมากเกินไป โดยไม่ให้ความสนใจลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมอื่นๆของโบราณวัตถุ ด้วยเหตุนี้ลูอิส บินฟอร์ด(Luis Binford)และเพื่อนเสนอว่า นักโบราณคดีควรนำวิธีการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์และเปิดเผยชัดเจนมาใช้ในการทำงานทางโบราณคดี และควรสนใจวัฒนธรรมในลักษณะที่เป็นกระบวนการมากกว่าการจัดลำดับอายุสมัยและพรรณนาวัฒนธรรม ผู้เขียนระบุว่าในช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้สนใจศึกษา อธิบายและตีความทางวัฒนธรรมอย่างเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กันบ้างแล้ว อาทิ วอลเตอร์ เทเลอร์(ทฤษฎีหน้าที่นิยมและการศึกษาวัฒนธรรมด้วยการตั้งสมมติฐานแล้วทดสอบสมมติฐานนั้น) วิลเลียม โรบินสันและอัลเบิร์ต สปอลดิง (การศึกษาวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบด้วยการใช้วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์หลักฐานโบราณคดี) โจเซฟ คาลด์เวลล์ (สนใจนิเวศวิทยาวัฒนธรรม) และกอร์ดอน วิลลี(ศึกษาการตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นระบบครั้งแรก) เป็นต้น <a title="" style="mso-footnote-id: ftn86" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn86" name="_ftnref86">[86]</a><br /><br />ผู้เขียนอ้างงานเขียนของ Bruce G. Trigger เรื่อง “A History of Archaeological Thought” เมื่อระบุว่าแนวคิดของนักโบราณคดีในยุโรปบางคน อาทิ เกรแฮม คลาร์ก(Greham Clark, 1907-1995)ชาวอังกฤษก็มีลักษณะเป็นโบราณคดีใหม่เช่นกัน กล่าวคือเขาเสนอความคิดว่าวัฒนธรรมเป็นเสมือนระบบการปรับตัวของมนุษย์ให้สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยนักโบราณคดีต้องเข้าใจถึงสภาพการคงอยู่และการทับถมของโบราณวัตถุประเภทต่างๆในแหล่งโบราณคดีว่าอาจจะไม่เหมือนกัน นักโบราณคดีจึงมีข้อจำกัดในการศึกษา <a title="" style="mso-footnote-id: ftn87" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn87" name="_ftnref87">[87]</a> และปัจจัยที่ทำให้กระแสของ “โบราณคดีใหม่หรือโบราณคดีกระบวนการ” แพร่หลายมากยิ่งขึ้นคือการค้นพบวิธีการกำหนดอายุด้วยแบบRediocarbon Dating(Carbon14)ในช่วงปลายทศวรรษ๑๙๔๐ ของวิลลาร์ด เอฟ. ลิบบี(Willard F. Libby) และการค้นพบวิธีการกำหนดอายุโบราณวัตถุแบบ accelerator mass spectrometry(AMS) ทำให้การกำหนดอายุหลักฐานโบราณคดีน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น<a title="" style="mso-footnote-id: ftn88" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn88" name="_ftnref88">[88]</a><br /><br />ผู้เขียนกล่าวว่าโบราณคดีใหม่ “ไม่มีอะไรใหม่” โดยอ้างอิงบทความของรัศมี ชูทรงเดชเรื่อง “โบราณคดียุคโลกานุวัตร: ตัวอย่างจากสำนักคิดอเมริกัน” เมื่อกล่าวถึงลักษณะสำคัญของโบราณคดีใหม่ว่า โบราณคดีใหม่ไม่ละทิ้งกระบวนทัศน์วิวัฒนาการ เมื่อต้องอธิบายสาเหตุการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม โบราณคดีใหม่เน้นการศึกษาวัฒนธรรมทุกแง่มุม โบราณคดีใหม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับวัฒนธรรม โบราณคดีใหม่สนใจเปรียบเทียบความแตกต่างหรือความคล้ายคลึงของวัฒนธรรมและปัจจัยผลักดัน และโบราณคดีใหม่เน้นการประยุกต์ใช้วิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคนิคทางวิทยาศาสตร์ สถิติ การควบคุมตัวแปรและการสุ่มตัวอย่างในการศึกษา<a title="" style="mso-footnote-id: ftn89" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn89" name="_ftnref89">[89]</a><br /><br />ผู้เขียนกล่าวถึงการวิจารณ์งาน “โบราณคดีใหม่”ว่าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิในเรื่องเรื่องเกี่ยวกับการอธิบายหรือตีความระบบสังคมที่เกิดขึ้นในอีต ได้แก่ ระบบเครือญาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังกล่าวถึงโอกาสที่จะผิดพลาดของการทดสอบสมมติฐานโดยการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ด้วย ซึ่งข้อวิจารณ์เหล่านี้เป็นที่มาของการเกิดแนวคิดทางโบราณคดีแบบหลังกระบวนการ(post processual archaeology)ในเวลาต่อมา<a title="" style="mso-footnote-id: ftn90" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn90" name="_ftnref90">[90]</a><br /><br />โบราณคดีใหม่ในทัศนะของเฮกมอนนั้น เธออธิบายอย่างรวบรัดว่า ทฤษฎีโบราณคดีใหม่ในยุคทศวรรษ๑๙๖๐sและต้นยุคทศวรรษ๑๙๗๐s มีแนวคิดแบบสนับสนุนวิธีการทางวิทยาศาสตร์(scientific approaches) ทำให้บางทีก็เรียกกลุ่มนี้ว่า พวกปฏิฐานนิยม (positivists)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn91" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn91" name="_ftnref91">[91]</a> ซึ่งพยายามค้นหากฎเกณฑ์ทางวิชาการเพื่อให้ยอมรับกันทั่วไป(general laws) นักโบราณคดีสำคัญในกลุ่มได้แก่ บินฟอร์ด(๑๙๖๔) และวัตสันกับเพื่อนร่วมงาน(๑๙๗๑)<br /><br /><span style="font-size:130%;">โบราณคดีหลังกระบวนการ</span><br />ผู้เขียนกล่าวว่า เอียน ฮอดเดอร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษเป็นผู้บัญญัติคำว่า “โบราณคดีหลังกระบวนการ” เป็นคนแรกเมื่อค.ศ.๑๙๘๕ โบราณคดีหลังกระบวนการเป็นกระบวนทัศน์ทางโบราณคดีที่เกิดขึ้นในทศวรรษ๑๙๘๐ โดยมีที่มาจากแนวคิดกระแสหลักแบบหลังสมัยใหม่(Post modern) ซึ่งแพร่หลายอยู่ก่อนแล้วในทศวรรษ๑๙๖๐<br /><br />ผู้เขียนอ้าง David H. Thomas ในงานเขียนของเรื่อง “Archaeology: Down to Earth”เพื่ออธิบายว่า “post modern” เป็นการเคลื่อนไหวที่เปรียบเสมือนยาแก้พิษทางวิชาการสำหรับผู้ที่รับแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์มาเกินขนาด และอ้างงานเขียนของธงชัย วินิจจะกูลจากงานเขียนชื่อ “ลืมโคตรเหง้าก็เผาแผ่นดิน” ในการขยายความว่า “โพสท์ โมเดิร์น”เป็นกระแสท้าทายความคิดความเชื่อของโลกสมัยใหม่หรือกระแสความเชื่อแบบวิทยาศาสตร์หรือปฎิฐานนิยม(positivism)และเป็นแนวทางในการรับรู้และเข้าใจสังคมมนุษย์แนวทางหนึ่ง การที่โพสท์ โมเดิร์นเข้ามาแทนที่ความคิดแบบโมเดิร์นนิสม์ เนื่องจากหลังสงครามโลกทั้งสองครั้ง ทำให้ผู้คนล้มตายจำนวนมาก ผู้คนจึงเกิดความไม่แน่ใจต่อแนวคิดแบบโมเดิร์น แนวคิดแบบ“โพสท์ โมเดิร์น” จึงเป็นความเคลื่อนไหวทางเลือกใหม่ในการมองโลก สังคมและสรรพสิ่ง<a title="" style="mso-footnote-id: ftn92" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn92" name="_ftnref92">[92]</a> ทั้งปวง <a title="" style="mso-footnote-id: ftn93" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn93" name="_ftnref93">[93]</a><br /><br />ผู้เขียนอธิบายว่า วิธีการของแนวความคิดแบบโพสท์ โมเดิร์น คือ การรื้อสร้าง(deconstruction)อันมีที่มาจากการวิจารณ์วรรณกรรม และการรื้อสร้างในทัศนะของโพสท์ โมเดิร์น หมายถึง การลดทอนบทบาท และลดทอนการผูกขาดสิทธิและอำนาจของผู้ผลิตงานลง แล้วเปิดโอกาสให้มีการตีความจากมุมอื่นๆด้วย ความคิดดังกล่าวทำให้นักโบราณคดีในยุโรป โดยเฉพาะนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้นำสาระจากหลักบางส่วนของโพสท์โมเดิร์นมาใช้ในการตีความและอธิบายหลักฐานทางโบราณคดี จนกลายเป็นแนวคิดแบบ “post processual archaeology”หรือ “แนวคิดโบราณคดีแบบหลังกระบวนการ”<br /><br />ผู้เขียนได้เปรียบเทียบแนวคิดโบราณคดีกระบวนการกับโบราณคดีหลังกระบวนการ ดังนี้<a title="" style="mso-footnote-id: ftn94" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn94" name="_ftnref94">[94]</a><br /><span style="font-size:130%;">โบราณคดีกระบวนการ</span><br />๑.เน้นกฎทั่วไปตามแนวทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่เน้นการศึกษาแบบประวัติศาสตร์เฉพาะกรณี<br />๒.ต้องการค้นหากฎสากลทางวัฒนธรรมซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจสังคมทั้งในอดีตและปัจจุบัน<br />๓.เน้นการใช้หลักการแบบวิทยาศาสตร์ในการอธิบายหลักฐานโบราณคดี เน้นวัตถุวิสัย(objectivity)ในการทดสอบหรือตรวจสอบข้อสังเกต<br />๔.เน้นความเป็นกลาง เที่ยงตรงและมีจรรยาบรรณ ใช้มุมมองแบบภววิสัย ไม่ใช้มุมมองแบบอัตวิสัยในการศึกษา<br />๕.นิยามวัฒนธรรมว่าเป็นระบบการปรับตัวของมนุษย์ เน้นการปรับตัวภายนอก(extrasomatic means of adaptation) จึงมุ่งให้ความสนใจแก่สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีและเศรษฐกิจ เป็นสำคัญ ส่วนระบบความคิด และศาสนาเป็นเพียงส่วนประกอบ<br />๖.เป็นแนวทางการศึกษาที่ใช้มุมมองจากปรากฏการณ์ภายนอก(etic phenomina) คือ ศึกษาวัฒนธรรมจากกาสังเกตการณ์ในฐานะคนนอกมุมเข้าไปข้างใน<br /><br /><span style="font-size:130%;">โบราณคดีหลังกระบวนการ<br /></span>๑.ปฏิเสธกฎทั่วไปตามแนวทางทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม และวิจารณ์ว่า โบราณคดีกระบวนการใช้ลัทธิเชื้อชาติเป็นเกณฑ์ในการจัดลำดับทางวัฒนธรรม ซึ่งกำหนดให้วัฒนธรรมตะวันตกอยู่สูงสุด<br />๒.ปฏิเสธการค้นหากฎสากลเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งไม่มีอยู่จริง เพราะสิ่งที่นักโบราณคดีกระบวนการพยายามสรุปเป็นเพียงการตีความเท่านั้น<br />๓.ปฏิเสธวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาสังคมวัฒนธรรม และประกาศว่าการการกำหนดกฎเกณฑ์ข้อบังคับในการศึกษา วิจัยและตีความเป็นลักษณะของเผด็จการอันนำไปสู่การทำลายวิธีการศึกษาแบบอื่นๆ นอกจากนี้นักโบราณคดียังไม่ควรทดสอบสอบสิ่งต่างๆ เพราะการทดสอบมิได้ให้คำตอบเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ในอดีต และสิ่งที่ได้จากการทดสอบ เป็นสิ่งที่เกิดจากสมมติฐานของนักโบราณคดี ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต<br />๔.ปฏิเสธความเป็นกลาง เที่ยงตรง ไม่เชื่อว่ามุมมองแบบภววิสัยจะเกิดขึ้นจริงในใจผู้ศึกษา เพราะมนุษย์มีจิตใจอ่อนไหวโดยธรรมชาติ จึงอาจมีมุมมองแบบอัตวิสัยแทรกอยู่ในการอธิบายหลักฐานโบราณคดี วิธีการอธิบายแบบอัตวิสัย(เน้นประสบการณ์จากภายในความคิด) มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อการตีความอดีตของมนุษย์ นอกจากนี้ความหมายที่มาจากการศึกษาหลักฐานโบราณคดีล้วนมีลักษณะการเมืองแฝงอยู่ คือเป็นความหมายที่เกิดจากปัจจุบันซึ่งมีขั้นตอนซับซ้อนและมีเรื่องการเมืองและศีลธรรมผสมผสานอยู่ในการตัดสินใจให้ความหมายของสิ่งที่ศึกษาอยู่ด้วย<br />๕.ปฏิเสธการมองวัฒนธรรมว่าเป็นระบบการปรับตัว แต่เห็นว่าสังคมมนุษย์ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายทางความคิด มีกลุ่ม มีพรรคพวก มีความขัดแย้ง มีชนชั้นในสังคม แต่ละกลุ่ม แต่ละครอบครัว แต่ละคนก็ไม่จำเป็นต้องมีจุดหมายในชีวิตเหมือนกัน และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม อาจจเกิดจากปัจจัยภายใน มิใช่ปัจจัยภายนอกเสมอไป<br />๖.ปฏิเสธมุมมองจากปรากฏการณ์ภายนอก การเข้าใจสังคมมนุษย์อย่างแท้จริงต้องใช้มุมมองจากจิตใจภายในของคนที่เราศึกษา มิใช่มุมมองของผู้ศึกษาเอง ดังนั้นโบราณคดีหลังกระบวนการจึงเน้นบทบาทของโบราณวัตถุในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม<br /><br />ผู้เขียนอธิบายเพิ่มเติมว่า สาระหลักของกระบวนทัศน์นี้เน้นที่ระบบคิด(ideanation paradigm)และมุ่งวิพากษ์วิจารณ์กระบวนทัศน์แบบโบราณคดีใหม่(โบราณคดีกระบวนการ)และทฤษฎีโบราณคดีระดับกลางโดยตรง โบราณคดีหลังกระบวนการแบ่งออกเป็น ๒ ขั้ว คือ ขั้วที่๑ เน้นระบบความคิดจิตใจ(มองพฤติกรรมของมนุษย์จากข้างใน) ขั้วที่๒ เน้นลักษณะวัตถุนิยม(มองพฤติกรรมนุษย์จากปัจจัยภายนอก) และทั้งสองขั้วต่างก็วิพากษ์กันเองจนเกิดแนวความคิดแตกแขนงออกไปมากมาย<a title="" style="mso-footnote-id: ftn95" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn95" name="_ftnref95">[95]</a><br /><br />สำหรับเฮกมอนแล้ว เธอกล่าวถึงโบราณคดีหลังกระบวนการว่า แนวคิดทางโบราณคดีแบบหลังกระบวนการ( post-processual )ปฏิเสธรูปแบบของพัฒนาการทางสังคมและแนวคิดเรื่องวัฒนธรรม/ นานาสังคม(culture/ societies) ในฐานะที่มีการคงอยู่ของเจตนารมณ์หรือความต้องการ(will or need) แต่เน้นในเรื่องของปัจเจกบุคคล(individuals) ตัวแทน(agency)และแรงผลักดัน (impetus)แทน เช่นเดียวกันนักโบราณคดีกลุ่มทฤษฎีหลังกระบวนการหลายคน(Shennan: 1993) ที่ชี้ชัดปัญหาต่างๆด้วยกรอบความคิดของทฤษฎีวิวัฒนาการ แม้ว่าพวกเขามักจะตรวจสอบแนวความคิดนี้ตามความจำเป็น มากกว่าจะปฏิเสธที่รูปแบบ(typologies)ไปโดยสิ้นเชิง(Earl and Johnson: 1987)<br /><br />เฮกมอนกล่าวว่า ข้อเขียนระยะแรกๆของแนวคิดแบบpost-processual archaeology (โดยเฉพาะในงานของHodder: 1982, Hodder ed.:1982 และShanks and Tilley: 1987a : 1987b) ตอกย้ำถึงวิธีการที่แตกต่างอย่างชัดเจนของการตีความ(interpretation)และวิชาประวัติศาสตร์(history) ถึงแม้แนวคิดในการตีความ(เกี่ยวกับมนุษย์)จะยังคงนำมาซึ่งการถูกโต้แย้งโดยตลอด แต่กลุ่มแนวคิดแบบโบราณคดีหลังกระบวนการ(post-processual)ก็เน้นถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่บังเอิญซ้อนทับอยู่กับกระบวนการศึกษากรณีเฉพาะทั้งทางตรงและทางอ้อม<br /><br />เฮกมอนยกตัวอย่างงานของบราวน์(Braun:1991)ในการได้เสนอข้อถกเถียงที่ว่า ทำไมเครื่องปั้นดินเผาในเขตมิดเวสท์ วูดแลนด์(Midwestern Woodland)จึงถูกตกแต่ง คำถามนี้อาจทำความเข้าใจได้ในฐานะของกรอบแห่งการก่อตัวแบบพิเศษในท้องถิ่นและในประวัติศาสตร์ สิ่งที่มีความเป็นธรรมดายิ่งกว่านั้นก็คือ นักโบราณคดีเชิงกระบวนการล้วนแต่เคยให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อกรณีเฉพาะมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในบริบทที่มีขนาดใหญ่ขึ้น(อาทิงานของ Knight: 1982, Stepponaitis 1981, ดู trigger: 1989a, 368) อันเป็นวิธีการซึ่งปัจจุบันถูกนำไปใช้ในฐานะของลำดับชั้นทางทฤษฎี(theoretical spectrum)<br /><br />โบราณคดีหลังกระบวนการ(post-processual archaeology) ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์(symbols)และความหมาย(meaning) ขณะที่โบราณคดีเชิงกระบวนการ(processual archaeology)ระยะแรกๆ ก็เคยอ้างประเด็นการสำนึกรู้(cognition)และความคิด(ideas)อย่างระมัดระวังยิ่ง อาทิ แนวคิด“ideotechnic” ในงานของบินฟอร์ด (1962 ) เป็นต้น<br /><br />แต่นักโบราณคดีหลังกระบวนการกลับประกาศอย่างชัดเจนว่า ความหมาย(meaning)เป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งใน”ถังขยะ(trash)”และในพิธีกรรม<br /><br />เฮกมอนอ้างข้อเสนอของRobb(1998:331)ว่า “การตั้งคำถามมิใช่ว่าจะจำกัดอยู่แต่เพียงเมื่อได้ค้นพบสัญลักษณ์ทางโบราณคดี หากแต่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่มีการค้นพบวัตถุทางวัฒนธรรม ซึ่งแม้จะมิใช่สัญลักษณ์ทางโบราณคดีก็ตาม ” เธอเห็นว่าทุกวันนี้สัญลักษณ์และความหมาย(symbols and meaning)ปรากฏอยู่ทั่วไปในงานของกลุ่มนักโบราณคดีเชิงกระบวนการ(รวมถึงโบราณคดีเชิงพฤติกรรมด้วย, ดู Shiffer and Miller: 1999) เช่นเดียวกับงานของนักโบราณคดีหลังกระบวนการ(ทัศนะที่แตกต่างจากนี้ดู Brown:1997, Robb: 1988 ส่วนทัศนะของนักโบราณคดีชาวอเมริกันเหนือดู Byers :1999 , Gamble et al 2001, Ortman: 2000, Van Nest et al 2001, Whalen and Minnis 2001) ตามความเห็นของRobb (1998) เขาได้ชี้ชัดลงไปถึงลักษณะของแนวคิดโบราณคดีหลังกระบวนการว่า “สัญลักษณ์มีฐานะบ่งบอกความหมาย(the symbols as tokens approach) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเน้นบทบาท(role)ในการสื่อสาร” เฮกมอนกล่าวว่า มีผลงานวิจัยจำนวนมาก(ส่วนใหญ่เป็นงานค้นคว้าของนักโบราณคดีเชิงกระบวนการ)ที่เน้นเรื่องพัฒนาการศักยภาพทางสัญลักษณ์และการสำนึกรู้ของมนุษย์ (อาทิ งานของ Lindly and Clark: 1990, Renfrew and Scarre: 1998, Renfew and Zubrow: 1994) โดยมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคของโลกเก่า(the Old World)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn96" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn96" name="_ftnref96">[96]</a><br /><br /><span style="font-size:130%;">เพศสถานะกับโบราณคดี</span><br />ผู้เขียนใช้คำเรียก “Gender” ว่า “เพศสถานะ” อันเป็นกระบวนทัศน์ทางโบราณคดีที่พัฒนาขึ้นเมื่อประมาณปลายศตวรรษที่๒๐ และอธิบายว่า “เพศสถานะ (gender)”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn97" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn97" name="_ftnref97">[97]</a> ในทางโบราณคดี มานุษยวิทยา หรือทางวิชาการทั่วไป หมายถึง อัตลักษณ์ทางสังคมของเพศต่างๆ (หญิงหรือชาย หรือกระเทย หรือเกย์) ซึ่งประกอบด้วยบทบาทที่แต่ละคนในสังคมถูกคาดหวังว่าจะแสดงตามเพศของตน เช่น ในสังคมอีสานผู้หญิงควรจะรู้จักการทอผ้าหรือตำหูก ส่วนผู้ชายก็ถูกคาดหวังว่าจะเป็นผู้นำครอบครัว เป็นต้น เพศสถานะจึงเป็นเรื่องทางวัฒนธรรมที่ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เพศสถานะแตกต่างจากเพศ(sex)ซึ่งหมายถึง ความแตกต่างทาง ชีววิทยาของคน เช่น ความแตกต่างระหว่างระบบฮอร์โมน ลักษณะโครโมโซม และลักษณะทางกายภาพของเพศหญิงและเพศชาย เป็นต้น<a title="" style="mso-footnote-id: ftn98" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn98" name="_ftnref98">[98]</a><br /><br />ผู้เขียนอธิบายถึงประเด็นหลักในการศึกษาเพศสถานะในงานโบราณคดี ๔ ประเด็น ประเด็นแรกคือ การศึกษาวัฒนธรรมด้วยอคติของบุรุษแบบ “androcentriism” ซึ่งเชื่อว่าผู้ชายเป็นศูนย์กลางของสิ่งต่างๆและผู้ชายมีบทบาทสำคัญในการสร้างสังคมแต่ผู้เดียว บทบาทของเพศหญิงเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น<a title="" style="mso-footnote-id: ftn99" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn99" name="_ftnref99">[99]</a> ประเด็นที่สอง คือ การเลือกปฏิบัติกับเพศหญิงในสังคมวิชาชีพโบราณคดี ทำให้นักโบราณคดีในยุโรปและอเมริกายุคแรกส่วนใหญ่มักเป็นชาย ประเด็นที่สาม นักโบราณคดีหญิงส่วนใหญ่เสนอว่า การศึกษาเกี่ยวกับเพศสถานะในหลักฐานโบราณคดีควรไดีรับความสนใจมากขึ้นถ้าต้องการเข้าใจสังคมวัฒนธรรมในอดีตอย่างรอบด้าน ได้แก่ กิจกรรมต่างๆที่ประกอบโดยเพศหญิงหรือชาย ตำแหน่งเชิงเปรียบเทียบในระบบการปกครองและความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ติดมากับเพศหญิงและเพศชาย ประการที่สี่ การวิจารณ์องค์ความรู้ที่ผ่านมามักจะมีอคติของผู้ชายแฝงมาด้วย โดยนักวิชาการกลุ่มสิทธิสตรีบางคนกล่าวว่า ความรู้ทางโบราณคดีในอดีตมักแฝงความเชื่อว่า ผู้ชายเป็นเพศที่เหนือกว่า(phallocentrism) ทำให้ความรู้ดังกล่าวถูกนำเสนอออกมาผ่านกระบวนการคิดและกระทำโดยผู้ชาย เพื่อสร้างความชอบธรรมของผู้ชาย ซึ่งอาจสะท้อนออกมาจากการใช้ภาษา เช่น “แข็งแรง” “ทรงอำนาจ” ฯลฯ ผู้หญิงจึงถูกบีบทางอ้อมให้คิดและเขียนอย่างผู้ชาย แต่ปัจจุบันสถานการณ์เช่นนี้ลดลง เนื่องจากชายหญิงสามารถคิดและเขียนได้อย่างเป็นอิสระ<a title="" style="mso-footnote-id: ftn100" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn100" name="_ftnref100">[100]</a><br /><br />ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นข้อถกเถียงที่ปรากฏในทฤษฎีเพศสถานะเช่นกัน แต่ในที่นี้จะขอนำเนื้อหาการถกเถียงทางความคิดในบทความของเฮกมอนมาอธิบายเพิ่มเติม<a title="" style="mso-footnote-id: ftn101" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn101" name="_ftnref101">[101]</a> กล่าวคือ เฮกมอนเห็นว่าโบราณคดีเพศสภาวะมีกระบวนทัศน์เป็นโบราณคดีแบบกระบวนการพิเศษ(processual –plus archaeology)และมีความเปิดกว้างทางโบราณคดี อันบ่งบอกถึงลักษณะปัจจุบันหลายๆอย่างของ วงการโบราณคดีในอเมริกาเหนือ<br /><br />ความสนใจทางด้านโบราณคดีเพศสภาวะเริ่มมีพัฒนาการแบบเดียวกับแนวคิดของกลุ่มpost-processualismในทศวรรษ๑๙๘๐s ทั้งสองแนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสทฤษฎีเดียวกันอย่างชัดเจน บางคนอาจเห็นว่าโบราณคดีเพศสภาวะเป็นส่วนหนึ่งของโบราณคดีแบบหลังกระบวนการ(อาทิ Hodder:1991) ขณะที่บางคนอาจแย้งว่า แนวทางของทั้งสองทฤษฎีนั้นมีลักษณะแตกต่างกันแบบคู่ขนาน ซึ่งบางทีอาจได้รับอิทธิพลด้านความคิดและความรู้สึกต่อทิศทางของทฤษฎีหลังกระบวนการ(postprocessual)ก็ได้(ดูWylie : 1992)<br /><br />เฮกมอนกล่าวว่า หากมองข้ามความสัมพันธ์ระยะแรกที่มีต่อโบราณคดีหลังกระบวนการแล้ว การเพิกเฉยเป็นเวลานานต่อการศึกษาเรื่องเพศสภาวะทางโบราณคดี กลับแปรเปลี่ยนมาเป็นความนิยมอย่างใหญ่หลวงในช่วงปลายทศวรรษ๑๙๘๐<br /><br />ตามความคิดของเฮกมอน ทุกวันนี้โบราณคดีเพศสภาวะเกือบจะเป็นกระแสความคิดหลักในมุมมองทางวิชาการของหลายๆทฤษฎี แม้ว่าจะยังคงมีความน่าเคลือบแคลงและมีข้อพิจารณาที่ยังไม่เหมาะสมเท่าที่ควรก็ตาม งานจำนวนมากของแนวคิดนี้ เป็นของนักวิจัยชาวอังกฤษซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่ต่างๆทุกมุมโลก แต่นอกเหนือไปจากนี้แล้ว แนวคิดเรื่องสตรีเพศนิยมและการวิจัยด้านเพศสภาวะกลับได้รับความนิยมน้อยกว่าในประเทศอังกฤษมาก(ดูCoudart: 1998)<br /><br />ในทัศนะของเฮกมอน แก่นแท้ของทฤษฎีโบราณคดีเพศสภาวะ คือ มโนทัศน์ที่มีความโน้มเอียงในการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับสิทธิสตรี(feminist concept) งานหลายชิ้นในระยะแรกมีมุมมองด้านการวิพากษ์และมุ่งเน้นศึกษาเกี่ยวกับบุรุษเพิกแต่เฉยต่อสตรีแบบ “androcentric bias” (ดูงานของ Watson และ Kennedy)อย่างชัดเจน<br /><br />เมื่อความใส่ใจในแนวคิดเรื่องเพศสภาวะของอเมริกาเหนือมีมากขึ้น หนังสือก็ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ออกมาอย่างมากมาย โดยเน้นทั้งเรื่องผู้หญิงและเรื่องของทุกเพศ รวมถึงสัมพันธภาพระหว่างเพศด้วย<br />นักวิชาการบางคนเสนอว่า โบราณคดีเพศสภาวะเป็นวิถีการหาของความรู้เกี่ยวกับอดีตแบบใหม่ สเปคเตอร์ (ดูSpector: 1991, 1993) ได้ใช้วิธีด้าน“ชาติพันธุวรรณา-ethnography)เพื่ออธิบายเกี่บวกับการตกแต่งสิ่ว(awl)และการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยสาวของชนเผ่าดาโกตา(Dakota)<br /><br />งานของสเปคเตอร์เป็นยิ่งกว่าเพียงแค่เรื่องเล่าในอดีต เพราะเป็นตัวอย่างที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นเกี่ยวกับแนวคิดแบบ “hermeneutic approach” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn102" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn102" name="_ftnref102">[102]</a> ในวงการโบราณคดีของอเมริกาเหนือ(ดูการทบทวนPreucel:1995) จากการตรวจสอบเมื่อเร็วๆนี้ของConkey and Gero(1997)เน้นให้เห็นความสำคัญของทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิสตรี(feminist theory)และการวิพากษ์แนวคิดสิทธิสตรีทางวิทยาศาสตร์ในการทำงานโบราณคดี รวมถึงประเด็นผู้กระทำ(agency)ในการผลิตความรู้ของโครงการวิจัยและการตระหนักในเรื่องความไม่ชัดเจน<br /><br /><span style="font-size:130%;">ทฤษฎีผู้กระทำในวิชาโบราณคดี<br /></span>ผู้เขียนกล่าวว่า ทฤษฎีผู้กระทำ(agency theory) ปรากฏขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับทฤษฎีโบราณคดีแบบหลังกระบวนการหรือประมาณปลายทศวรรษ๑๙๗๐–๑๙๘๐ จากการผสมผสานทฤษฎีทางสังคมหลายอย่างรวมกัน เช่น “social theory” และ “practice theory” โดยมีจุดเน้นความสนใจร่วมกันในเรื่อง บทบาทหรือการกระทำของ“ปัจเจกบุคคล” “ชนชั้น” หรือ “กลุ่มสังคมบางกลุ่ม” ที่มีพลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม หรือก่อผลรุนแรงถึงขั้นเกิดการปฏิวัติทางสังคมได้ หรือไม่ก็เป็นเรื่องของแนวคิดการกระทำทางสังคม(social agent)ที่เน้นการต่อสู้ ไม่ยอมจำนน ไม่เชื่อตามกฎระเบียบทางสังคมอย่างเคร่งครัดโดยไม่ตั้งคำถามใดๆก่อน นักโบราณคดีจึงมักอ้างอิงงานของนักวิชาการสำนักโพสท์ โมเดิร์นนิสม์ อาทิ คาร์ล มาร์กซ์ แมกซ์ เวเบอร์ เอมิล ดูร์ไคม์ โดยเฉพาะปิแอร์ บูร์ดิเยอร์และแอนโธนี กิดเดนส์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาของทฤษฎีผู้กระทำ”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn103" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn103" name="_ftnref103">[103]</a><br /><br />จากการอ้างอิงงานเขียนของจันทนี เจริญศรีเรื่อง “โพสต์โมเดิร์นกับสังคมวิทยา” และงานเขียนของแมทธิว จอห์นสัน “Matthew Johnson” เรื่อง “Conceptions of Agency in Archaeological Interpretation” ทำให้ผู้เขียนระบุว่า ทฤษฎีผู้กระทำมักถูกนำไปใช้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงในบริบทของสังคมสมัยใหม่ แต่นักโบราณคดีบางคนได้นำไปปรับใช้ เพื่ออธิบายสังคมวัฒนธรรมของสังคมในอดีตอันไกลโพ้น โดยเฉพาะในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับผู้กระทำ(structure-agent relationship) ซึ่งเน้นว่าผู้กระทำสามารถกระทำการใดๆที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคมได้อย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันผลการกระทำใดๆ จะมีความหมายต่อสังคมได้ก็ต่อเมื่อมีโครงสร้างรองรับ ทั้งสองส่วนจึงเสริมซึ่งกันและกัน<a title="" style="mso-footnote-id: ftn104" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn104" name="_ftnref104">[104]</a> นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดและทฤษฎีผู้กระทำในวิชาโบราณคดี ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ทฤษฎีผู้กระทำในงานโบราณคดี รวมทั้งได้สรุปและกล่าวถึงทิศทางข้างหน้าของทฤษฎีผู้กระทำด้วย<a title="" style="mso-footnote-id: ftn105" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn105" name="_ftnref105">[105]</a><br /><br />จากทัศนะที่มีต่อทฤษฎีผู้กระทำ เฮกมอนเห็นว่าเธอและนักโบราณคดีทั้งหลายต่างก็พอใจที่จะอ้างงานของ Bourdieu(1977) งานของGiddens(1984)และงานของOrtner(1984)ในเรื่องการกระทำ(practice)และผู้กระทำ(agency) <a title="" style="mso-footnote-id: ftn106" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn106" name="_ftnref106">[106]</a><br /><br />เฮกมอนเห็นว่า ทฤษฎีทางสังคมข้างต้นส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อวงการโบราณคดีในอเมริกาเหนือ เนื่องจากเป็นแรงบันดาลใจของการสร้างแนวความคิดการตั้งถิ่นฐานของประชากรในอดีต (ซึ่งมีลักษณะเป็นวัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมมากกว่าระบบหลายระบบ)<br /><br />ความนิยมนี้ยังนำมาสู่ปัญหาทางแนวคิดบางอย่าง ปัญหาประการที่หนึ่ง คือ การเน้นย้ำเรื่องผู้กระทำในประเด็นการแยกตัวออกมาจากโครงสร้างและการปฏิบัติมากเกินไป แม้Clarkจะระบุว่า ไม่มีเรื่องของความแปลกแยกด้านมณฑลความคิดของ“ทฤษฎีผู้กระทำ”ก็ตาม(2000: 97) ประการที่สอง คือ สมการดั้งเดิมของผู้กระทำ(agents)มีแนวคิดแบบปัจเจกบุคคลตะวันตกและการขาดความระมัดระวังที่มีต่อการพิจารณาเรื่องสัมพันธ์ของการเป็นบุคคล( personhood ดูClay: 19992, Gillespie: 2001, Strathern: 1981)<br /><br />แม้ว่าจะมีรากเหง้าอยู่ในทฤษฎีทางสังคม แต่นิยามของผู้กระทำ(agency)ก็ถูกนำมาอยู่ด้านหน้าของทฤษฎีดังกล่าว โดย Giddensให้ความหมายของ “agency” ว่า หมายถึง “ความสามารถของปัจเจกบุคคลในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม” ผู้กระทำ(agency)เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์.ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ปัจเจกบุคคลเป็นผู้กระทำ โดยปัจเจกบุคคลนั้นสามารถกระทำการได้แตกต่างกันออกไป (Giddens: 1984, 9)<br /><br />ขณะที่ DobresและRobb(2000: 8-9) อธิบายความหมายของ “agency”แคบกว่าว่า หมายถึง “คุณภาพของการกระทำ(action)ที่สำคัญทางสังคม” อย่างน้อยสำหรับGiddensแล้ว agency มีความเชื่อมโยงกับโครงสร้าง(structure)เสมอ และแม้ Giddens มองว่า “structure” และ “agency” จะมีความสัมพันธ์กันแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในระยะแรกๆเขาเคยย้ำให้เห็นว่า“structure” ถูกสร้างและสืบเนื่องกันครั้งแล้วครั้งเล่า(perpetuated)ได้อย่างไร เขาเรียกกระบวนการนี้ว่า “การก่อตัวเป็นโครงสร้าง-structuration”<br /><br />ขณะที่ Bourdieu (1977, 1990) และOrtner (1984) เน้นว่า การกระทำ(practice) ซึ่ง Ortnerอ้างถึง เกือบจะเป็นอะไรก็ได้ที่คนทำแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง การกระทำ(practice)มีรากลึกอยู่ในรูปของโครงสร้าง(structure) ผู้กระทำ(agents) และการดำเนินการผลิตซ้ำ(reproduce)หรือเปลี่ยนแปลงรูปทรงของโครงสร้างโดยผ่านการกระทำ<br /><br />อย่างไรก็ดี การพิจารณาแนวคิดเรื่องผู้กระทำ กลับลืมรากเหง้าข้างต้น(ตามข้อสังเกตของWeissner: 2002) และเปรียบเทียบแนวคิดผู้กระทำด้วยกลวิธีต่างๆ(strategies)หรือเจตนา(intention)ที่มิอาจระงับได้อันมีต่อผลความสนใจของปัจเจกบุคคล ทำให้การกระทำ(practice)และผู้กระทำ(agency)มีความเกี่ยวข้องคล้ายๆกับกระบวนการทางแนวความคิด(conceptualized processes)<br /><br />นิยามของทั้งสองคำเน้นด้านที่แตกต่างกันของกระบวนการเหล่านี้ โดยผู้กระทำ(agency)ตามข้อเสนอของเฮกมอนนั้น หมายถึง ความสามารถ(capability)ที่อยู่หลังฉากมากกว่า ความสามารถนี้อาจรวมถึงแรงกระตุ้น(motivation)ด้วย ในทางตรงกันข้าม การกระทำ(practice)หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ทำโดยตรง<br /><br />เมื่อเน้นความสนใจมาที่การกระทำ(practice)มากกว่าผู้กระทำ(agency)แล้ว จะเห็นได้ว่าการกระทำ(practice) นำมาซึ่งภาพของพลวัติและมีความเป็นมนุษย์ในกิจกรรมต่างๆ และทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคล(individuals) สถาบัน(institutions)และโครงสร้าง(structure)ได้มากกว่าด้วย(ดู Dobres and Robb: 2000, 4-5)<br /><br />ความจริงที่นักโบราณคดีมักให้ความสนใจต่อแนวคิดเรื่องผู้กระทำเพียงอย่างเดียวคือ การเสนอว่าความเข้าใจต่อทฤษฎีผู้กระทำ(practice theory)อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการย้อนกลับของความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างการกระทำ(practice) ผู้กระทำ (agency) และโครงสร้าง(structure)นั้น เฮกมอนเห็นว่าบางครั้งก็มีลักษณะเหมือนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น(overlooked)<br /><br />การพิจารณาข้อถกเถียงเรื่องผู้กระทำ(agency)ในอเมริกาเหนือ บางทีก็มักเป็นเรื่องตำแหน่งผู้นำ(leadership)และความไม่เท่าเทียมกัน(inequality) อาทิงานของ Phaketat (1994) ยกเหตุผลมาสนับสนุนข้อเสนอเรื่องความสำคัญของลัทธิแนวคิดที่ถูกครอบงำจากชนชั้นนำ(elite – controlled ideology)และลัทธิแสดงนัยยะทางสัญลักษณ์(symbolism)เมื่อเกิดสังคมชนเผ่าทั้งหลาย(chiefdoms)แถบมิสซิสซิปปี c]tได้เสนอว่า การกระทำ(practices)ของสามัญชนกับผู้ก้าวขึ้นเป็นชนชั้นนำ(emergent elite) ส่งผลต่อการสร้างเนินดินแห่งมิสซิสซิปปีและระบบชนชั้นในสังคม(social hierarchies)อย่างไร(Phaketat: 2000) แม้ว่าจุดสิ้นสุดของสังคมชนเผ่าที่มีอำนาจมากจะมิได้เกิดจากผู้กระทำทั้งหมด(all agents) แต่Phaketat ยืนยันว่า การกระทำทั้งหลายอยู่บนพื้นฐานของโครงสร้างที่ก่อตัวขึ้น (established structure) เมื่อขนาดเปลี่ยนแปลงไป โครงสร้างดังกล่าวก็เปลี่ยนรูปด้วย Phaketat จึงมุ่งเสนอเค้าโครงของทฤษฎีการกระทำ-practice theory (ซึ่งมิได้เป็นเพียงผู้กระทำ)และให้เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า เป็นสิ่งที่มากกว่าการควบคุมของชนชั้นผู้นำ<a title="" style="mso-footnote-id: ftn107" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn107" name="_ftnref107">[107]</a><br /><br />นอกจากนี้เฮกมอนยังกล่าวถึงทฤษฎีเกี่ยวกับความหมายและสัญลักษณ์ ทิศทางของทฤษฎีกระแสหลัก การเปลี่ยนแปลงของการใช้คำสำคัญ(key words)และญาณวิทยาในทางโบราณคดีอย่างน่าสนใจซึ่งยังไม่สามารถนำมากล่าวรวมในที่นี้อย่างเหมาะสมได้<br /><br /><span style="font-size:130%;">๓.๔ คุณค่าที่มีต่อการศึกษาวิชาโบราณคดี</span><br />ผู้วิพากษ์เห็นว่า หนังสือเล่มนี้มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อการปูพื้นฐานในการเรียนรู้แนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีสำหรับนักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป โดยเฉพาะด้านการเรียนการสอนเพื่ออธิบายให้ทราบถึงพัฒนาการและความเคลื่อนไหวของวิชาโบราณคดีในประเทศตะวันตก รวมถึงกรอบคิดและทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้อง<br /><br />ในทัศนะของผู้วิพากษ์ สำหรับนักโบราณคดีรุ่นเก่าๆบางท่าน แม้จะมีประสบการณ์คร่ำหวอดกับทำงานในพื้นที่จริงเป็นเวลานาน และไม่เคยติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆทางโบราณคดี ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีระดับต่ำ ทฤษฎีระดับกลาง หรือทฤษฎีระดับสูงว่ามีลักษณะที่แท้จริงเป็นอย่างไรนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพะวักพะวนหรือละล้าละลังต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทางแนวคิดหรือทฤษฎีทางสังคมและวัฒนธรรมอันหลากหลาย เพราะการทำงาน “จริงๆ” ทางโบราณคดีในประเทศไทยปัจจุบัน มิได้วางอยู่บนขอบข่ายและองค์ประกอบของแนวคิดและทฤษฎีทางสังคมและวัฒนธรรมแต่เพียงแง่มุมเดียว ยังมีปัจจัยด้านการบริหาร การจัดการ งบประมาณ การบูรณะ การอนุรักษ์ การจัดการมรดกวัฒนธรรม การประชาสัมพันธ์ การสื่อสาร การท่องเที่ยว ผลประโยชน์ ค่าเช่าที่ดินกรมศิลปากร ค่าเข้าชมโบราณสถาน การตรวจสัมปทานเหมือง โรงโม่หิน ฯลฯ เป็นองค์ประกอบที่จะต้องเผชิญโดยตลอดของการปฏิบัติงานประจำวัน ท่ามกลางบุคลากรที่มีอยู่น้อย การนำทฤษฎีทางวิชาการโบราณคดีมาใช้ในการปฏิบัติงานวิจัย จึงเปรียบเสมือนเป็นเรื่องในอุดมคติที่เกิดขึ้นกับชุมชนนักโบราณคดีกลุ่มเล็กๆไม่กี่คนในกรมศิลปากรและแม้แต่ในมหาวิทยาลัยศิลปากร เนื่องจากการทำงานวิจัยยุคสมัยและบางเรื่องยังต้องคำนึงว่าจะสามารถนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมได้หรือไม่ในสภาวะที่มีเอกสารและหลักฐานต่างๆชัดเจนอยู่แล้ว<br /><br />มิหนำซ้ำ ผู้วิพากษ์ยังเห็นว่า แนวคิดของบางทฤษฎี อาทิ ทฤษฎีใหม่ล่าสุดอย่างทฤษฎี “ผู้กระทำ”ยังอาจย้อนกลับมาหมกมุ่นอยู่กับบทบาทของ “ผู้นำหรือผู้กล้า” โดยที่นักวิชาการสมัยใหม่เองก็อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่า รากเหง้าเดิมของการศึกษาปัจเจกบุคคลลักษณะนี้ อาจสัมพันธ์กับทฤษฎีวีรบุรุษ ซึ่งเคยรู้จักกันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว<br /><br /><span style="font-size:130%;">๔.บทสรุปและข้อคิดเห็น<br /></span>ผู้เขียนมีความตั้งใจและมีอุตสาหะในการทำงานอย่างน่ายกย่อง และสมควรเป็นแบบอย่างแก่ชุมชนวิชาการ การนำเสนอเรื่องราวทางแนวคิดและทฤษฎีชี้ให้เห็นประวัติและความเป็นมาอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งยังมีภาพถ่าย แผนภูมิ แผนผังและข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากมาย ทำให้สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ไม่ยากนัก<br /><br />อย่างไรก็ดี แผนภูมิบางส่วนมิได้แปลเป็นภาษาไทยและมีการอ้างอิงหนังสือหรือตำราภาษาอังกฤษมากเกินความจำเป็น โดยขณะที่อ้างงานเขียนของนักวิชาการ(ไทย)สาขามานุษยวิทยาบางคนเกินความพอดี แต่กลับอ้างอิงงานเขียนรวมถึงผลงานวิจัยของนักโบราณคดีไทยน้อยมาก ทั้งๆที่ควรหยิบมาวิพากษ์ และตรวจสอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวอย่างที่ผู้เขียนกล่าวถึง เพราะการค้นพบสำคัญทางโบราณคดีจำนวนไม่น้อยที่นักวิชาการหลายคนมีประสบการณ์ทางตรง หลายคนมีประสบการณ์ทางอ้อม และตัวอย่างเหล่านั้นน่าจะช่วยทำให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นทางด้านแนวคิดและทฤษฎีเชิงการประยุกต์ใช้ได้ชัดเจนกว่าตัวอย่างในประเทศตะวันตกทั้งหลาย ประเด็นนี้อาจชี้ให้เห็นจุดอ่อนในการเข้าถึงเหตุการณ์และเอกสารวิชาการโบราณคดีในแหล่งโบราณคดีต่างๆของประเทศไทยในหนังสือเล่มนี้<br /><br />ผู้วิพากษ์มีโอกาสพูดคุยแบบสั้นๆกับผู้เขียนเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งท่านยอมรับว่า “หนังสือ โบราณคดี: แนวคิดและทฤษฎี” ยังขาดเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ๆที่เพิ่งจะมีการตีพิมพ์เผยแพร่ เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหาในบทความของเฮกมอนก็พบว่า ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดบางเรื่องเท่าที่ควร อาทิ ญาณวิทยา(Epistimology)ทางโบราณคดี ในฐานะเครื่องมือแสวงหาความรู้และความจริง รวมถึงทฤษฎีกระบวนการพิเศษ(processual plus)เป็นต้น<br /><br />อิสระทางวิชาการเป็นคำพูดสวยหรู จำเป็นต้องแสดงออกมาให้เห็นประจักษ์ แต่ผู้วิพากษ์เห็นว่าคำๆนี้ น่าจะหมายถึงการใช้ความคิดแบบนอกกรอบหรือนอกจารีตดั้งเดิมเชิงสร้างสรรค์ จากจุดนี้ ผู้วิพากษ์ขอ “โหวต” ไม่เห็นด้วยกับการใช้ “คำแบบอิสระ” ของนักวิชาการท่านใด ซึ่งถ่ายทอดความคิดและคำอธิบายแบบใช้คำฟุ่มเฟือย หวือหวา รุนแรง นอกอัญประกาศหรือโน้มเอียงไปในทางใช้คำซ้อนความ และละเลยคำบางคำซึ่งมีใช้อยู่แล้วโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม อาทิ ใช้คำว่า“ลุ่มลึก” แทนคำว่า “ลึกซึ้ง” หรือ คำ “ปรับปรน” “ปรุงเปลี่ยน” ฯลฯ สำหรับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ผู้วิพากษ์แลเห็นการใช้ถ้อยคำสำนวนบางคำแบบกระชับ แต่คำสำคัญบางคำก็อาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง และบางครั้งก็ละคำหรือรวบคำแบบละไว้ในฐานที่เข้าใจมากเกินไป<br /><br />การทำงานวิจัยในงานโบราณคดีสาขาก่อนประวัติศาสตร์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ทฤษฎี เป็นกรอบคิดในการตอบคำถาม โดยทัศนะส่วนตัวแล้วผู้วิพากษ์เห็นว่า การทำวิจัยบางเรื่องซึ่งมีหลักฐานเอกสารจำนวนมาก อาทิ การวิจัยในสาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องนำแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีมาเป็นกรอบในการทำวิจัยก็ได้<br /><br />ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่ผู้วิพากษ์ได้ใช้ความพยายามอย่างหนักในการวิพากษ์หนังสือเล่มนี้ เพื่อให้เกิดสาระในส่วนที่คิดว่ายังบกพร่อง แต่ก็มิอาจเทียบได้กับความอุตสาหะของผู้เขียนในการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ ผู้วิพากษ์เชื่อว่า หนังสือเล่มนี้อาจเป็นตำนานอีกชิ้นหนึ่งที่นักเรียนโบราณคดีทุกคนต้องศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อปูพื้นฐานและเป็นแนวทางในการเรียนรู้ทางด้านแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีต่อไป<br /><br /><span style="font-size:130%;">๕.บรรณานุกรม<br /></span>กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ. นิทานโบราณคดี. กรุงเทพฯ: คลัง<br />วิทยา, ๒๕๑๗.<br />ธิดา สาระยา. (ศรี) ทวารวดี. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๓๘.<br />รัศมี ชูทรงเดช. โบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน. (กรุงเทพฯ:<br />โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสนามจันทร์, ๒๕๔๗<br />ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๓๓.<br />……………. สยามประเทศ: ภูมิหลังของประเทศไทยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงสมัยกรุง<br />ศรีอยุธยาราชอาณาจักรสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๙.<br />สว่าง เลิศฤทธิ์. โบราณคดี แนวคิดและทฤษฎี. กรุงเทพฯ: โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮาส์,<br />๒๕๔๗.<br />สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา. น้ำ: บ่อเกิดวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๙.<br />สุริยา สมุทคุปติ์. วิธีคิดของคนไทย: พิธีกรรม : ‘ข่วงฝีฟ้อน’ ของ ‘ลาวข้าวเจ้า’ จังหวัด<br />นครราชสีมา. นครราชสีมา: สมบูณ์การพิมพ์, ๒๕๔๐.<br />อมรา พงศาพิชญ์. วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพันธุ์: วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษย<br />วิทยา. ( พิมพ์ครั้งที่๕). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑<br />.……….ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม.<br />(พิมพ์ครั้งที่๒). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓.<br />Fagan, Brian M. Archaeology: A brief Introduction. (Eighth Edition). New Jersey. Upper<br />Saddle River, 2003.<br />Hegmon, Michelle. “Setting Theoretical Egos Aside: Issues and Theory in North American Archaeology.” American Antiquity. Special Section Mapping the Terrain of American Archaeology. 68(2), 2003.<br />Higham, Charles and Rachanie Thosarat, Prehistoric Thailand: From Settlement to Sukhothai. Bangkok: River Book, 1994 .<br />McIntosh, Jane. The Practical Archaeologist.(Second edition). Hong Kong: Facts On File, Inc. 1999.<br />Orser, Jr, Charles E. . Historical Archaeology, Upper River New Jersey: Pearson Education, 2004.<br /><br /><a href="http://www.edictionary.com/">WWW.edictionary.com/</a> theory.<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> Brian M. Fagan. Archaeology: A brief Introduction. (Eighth Edition). (New Jersey. Upper Saddle River, 2003), p.4.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. นิทานโบราณคดี. (กรุงเทพฯ: คลังวิทยา, ๒๕๑๗). หน้า -ข-<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> ผู้วิพากษ์ถอดรหัสนามแฝงนี่ได้ว่า “จะหมื่นบ๊อง” ซึ่งคงจะแฝงนัยะเจ็บๆ สนุกสนาน ครึกครื้นตามแบบอย่างของพวกโบราณคดีกระมัง<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref4" name="_ftn4">[4]</a>Jane McIntosh. The Practical Archaeologist.(Second edition). ( Hong Kong: Facts On File, Inc.} 1999.), p.2.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref5" name="_ftn5">[5]</a> Jane McIntosh. Ibid.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref6" name="_ftn6">[6]</a> อมรา พงศาพิชญ์. วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพันธุ์: วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษยวิทยา. ( พิมพ์ครั้งที่๕). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑. และ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม. (พิมพ์ครั้งที่๒). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref7" name="_ftn7">[7]</a> อมรา พงศาพิชญ์. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม. (พิมพ์ครั้งที่๒). (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓) หน้า๒๒–๒๖. ดูรายละเอียดใน ธิดา สาระยา. (ศรี) ทวารวดี. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๓๘. ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๓๓. ศรีศักร วัลลิโภดม. สยามประเทศ: ภูมิหลังของประเทศไทยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาราชอาณาจักรสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๙. สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา. น้ำ: บ่อเกิดวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๙..<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn8" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref8" name="_ftn8">[8]</a> ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและพรพิไล เลิศวิชา. วัฒนธรรมหมู่บ้านไทย. (กรุงเทพฯ: เดือนตุลาการพิมพ์, ๒๕๔๑), หน้า ๓และหน้า๓๐ เป็นต้น<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn9" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref9" name="_ftn9">[9]</a> ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. “จากประวัติศาสตร์หมู่บ้านสู่ทฤษฎีสองระบบ” ปาฐกถาสุภา ศิริมานนท์ ครั้งที่๑๓ จัดโดยศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่๑๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เลา ๑๓.๐๐–๑๕.๐๐ น. สถาบันราชภัฏสุรินทร์จัดพิมพ์เนื่องในวาระครบรอบ ๖๐ ปี ศาสตราจารย์ ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสภา พ.ศ.๒๕๔๕. หน้า ๑๕–๓๗.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn10" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref10" name="_ftn10">[10]</a> สุริยา สมุทคุปติ์. วิธีคิดของคนไทย: พิธีกรรม : ‘ข่วงฝีฟ้อน’ ของ ‘ลาวข้าวเจ้า’ จังหวัดนครราชสีมา (นครราชสีมา: สมบูณ์การพิมพ์, ๒๕๔๐), หน้า๕๗–๑๑๕.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn11" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref11" name="_ftn11">[11]</a> Charles Higham and Rachanie Thosarat, Prehistoric Thailand: From Settlement to Sukhothai. (Bangkok: River Book, 1994 ), 144-173.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn12" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref12" name="_ftn12">[12]</a> ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยมเน้นว่าสังคมมนุษย์มีโครงสร้างหน้าที่หลายส่วน แต่ละส่วนก็ทำงานสอดประสานกับส่วนอื่นๆ เพื่อรักษาสมดุลหรือเสถียรภาพของสังคมไว้ให้ราบรื่น, สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๘๗.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn13" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref13" name="_ftn13">[13]</a> อมรา พงศาพิชญ์. วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพันธุ์: วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษยวิทยา. ( พิมพ์ครั้งที่๕).(กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑) หน้า๑๑๘.และอมรา พงศาพิชญ์. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม. (พิมพ์ครั้งที่๒). (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๑๑–๑๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn14" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref14" name="_ftn14">[14]</a> Charles Higham and Rachanie Thosarat, Ibid., 173-175.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn15" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref15" name="_ftn15">[15]</a> ผู้สอนวิชา Theories in Archaeology ของภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในภาคเรียนที่๒ ปีการศึกษา ๒๕๔๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn16" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref16" name="_ftn16">[16]</a> รัศมี ชูทรงเดช. โบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสนามจันทร์, ๒๕๔๗), หน้า๒๑.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn17" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref17" name="_ftn17">[17]</a> รัศมี ชูทรงเดช. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn18" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref18" name="_ftn18">[18]</a> หน้าเดียวกัน.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn19" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref19" name="_ftn19">[19]</a> รัศมี ชูทรงเดช. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๒–๒๓.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn20" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref20" name="_ftn20">[20]</a> รัศมี ชูทรงเดช. เรื่องเดียวกัน. หน้า๒๖–๒๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn21" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref21" name="_ftn21">[21]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. แบบเสนอโครงการวิจัยประกอบการขอรับทุนอุดหนุนการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการของความซับซ้อนทางสังคมและการเมืองจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในเขตที่ราบลุ่มทางตะวันตกของภาคกลาง.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn22" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref22" name="_ftn22">[22]</a> คือทฤษฎีที่มุ่งผสมผสานแนวคิดทั่วไปของกลุ่มโบราณคดีกระบวนการ(processaul archaeology) เข้ากับทฤษฎีของกลุ่มโบราณคดีหลังกระบวนการ(post-processual)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn23" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref23" name="_ftn23">[23]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า (๙)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn24" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref24" name="_ftn24">[24]</a> ๒๐ ปีเศษมาแล้ว อาจเป็นบ้านคูบัว อ.เมือง จ.ราชบุรีหรือบ้านโนนป่าหวาย อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn25" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref25" name="_ftn25">[25]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๒๔๑<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn26" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref26" name="_ftn26">[26]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. โบราณคดี แนวคิดและทฤษฎี. (กรุงเทพฯ: โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮาส์, ๒๕๔๗),. หน้า (๘)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn27" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref27" name="_ftn27">[27]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn28" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref28" name="_ftn28">[28]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn29" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref29" name="_ftn29">[29]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn30" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref30" name="_ftn30">[30]</a> Jane McIntosh. Op.cit., p.2.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn31" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref31" name="_ftn31">[31]</a> Charles E. Orser, Jr. Historical Archaeology. (Upper River New Jersey: Pearson Education, 2004), p.1.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn32" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref32" name="_ftn32">[32]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn33" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref33" name="_ftn33">[33]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn34" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref34" name="_ftn34">[34]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๓๐ และหน้า ๑๐๔–๑๑๐.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn35" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref35" name="_ftn35">[35]</a> Francis Bacon. “Knowledge is power” <a href="http://www.google.com/">www.google.com/</a> brainyquote.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn36" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref36" name="_ftn36">[36]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้าปกหลังด้านนอก.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn37" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref37" name="_ftn37">[37]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๔.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn38" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref38" name="_ftn38">[38]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๖.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn39" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref39" name="_ftn39">[39]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn40" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref40" name="_ftn40">[40]</a> เรื่องเดียวกัน. หน้า ๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn41" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref41" name="_ftn41">[41]</a> เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn42" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref42" name="_ftn42">[42]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๒๑.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn43" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref43" name="_ftn43">[43]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๒๑, ๒๖, ๒๗, ๓๒ และ๓๓<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn44" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref44" name="_ftn44">[44]</a> <a href="http://www.edictionary.com/">WWW.edictionary.com/</a> theory.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn45" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref45" name="_ftn45">[45]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๑–๒๒<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn46" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref46" name="_ftn46">[46]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn47" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref47" name="_ftn47">[47]</a> Michelle Hegmon. Op.cit. p.213.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn48" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref48" name="_ftn48">[48]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๕<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn49" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref49" name="_ftn49">[49]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๓๐.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn50" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref50" name="_ftn50">[50]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๓๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn51" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref51" name="_ftn51">[51]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. หน้า ๒๖.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn52" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref52" name="_ftn52">[52]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. หน้า ๔๖.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn53" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref53" name="_ftn53">[53]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. หน้า ๔๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn54" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref54" name="_ftn54">[54]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. หน้า ๕๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn55" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref55" name="_ftn55">[55]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. หน้า ๖๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn56" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref56" name="_ftn56">[56]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๗๙.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn57" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref57" name="_ftn57">[57]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๑๔.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn58" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref58" name="_ftn58">[58]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๒–๒๖.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn59" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref59" name="_ftn59">[59]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๖.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn60" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref60" name="_ftn60">[60]</a> เกี่ยวข้องกับวิชาญาณวิทยา(epistimology)อันเป็นปรัชญาสาขาหนึ่ง ว่าด้วยการศึกษาเรื่องความรู้ซึ่งพยายามจะตอบคำถามพื้นฐานว่า อะไรคือความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างความรู้ที่แท้จริง(true knowledge) กับความรู้ที่ไม่จริง(false knowledge)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn61" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref61" name="_ftn61">[61]</a> ผู้วิพากษ์เลือกที่จะใช้คำว่า “ทฤษฎีเพศสภาวะ”<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn62" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref62" name="_ftn62">[62]</a> คือทฤษฎีที่มุ่งผสมผสานแนวคิดทั่วไปของกลุ่มโบราณคดีกระบวนการ(processaul archaeology) เข้ากับทฤษฎีของกลุ่มโบราณคดีหลังกระบวนการ(post-processual)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn63" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref63" name="_ftn63">[63]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๔.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn64" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref64" name="_ftn64">[64]</a> Michelle Hegmon” Setting Theoretical Egos Aside: Issues and Theory in North America Archaeology” Special Section Mapping the Terrain of Americanist Archaeology. American Antiquity, 68(2), 2003, pp.213-243.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn65" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref65" name="_ftn65">[65]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๕๕<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn66" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref66" name="_ftn66">[66]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn67" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref67" name="_ftn67">[67]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๕๖.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn68" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref68" name="_ftn68">[68]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. ควรกล่าวด้วยว่าผู้เขียนสะกดชื่อของบุคคลสำคัญผู้นี้คลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย ที่ถูกต้องควรเป็น “โธมัส เจฟเฟอร์สัน(Thomas Jefferson)” ดูสว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๔๙.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn69" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref69" name="_ftn69">[69]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๕๖–๕๗.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn70" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref70" name="_ftn70">[70]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๘๑.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn71" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref71" name="_ftn71">[71]</a> Brian M. Fagan. Op. cit. p.19.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn72" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref72" name="_ftn72">[72]</a> Brian M. Fagan. Ibid.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn73" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref73" name="_ftn73">[73]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๘๓–๘๔<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn74" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref74" name="_ftn74">[74]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๘๗.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn75" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref75" name="_ftn75">[75]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๘๙–๙๐<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn76" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref76" name="_ftn76">[76]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๙๐–๙๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn77" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref77" name="_ftn77">[77]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๙๙<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn78" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref78" name="_ftn78">[78]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๐๐–๑๐๑<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn79" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref79" name="_ftn79">[79]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๔๙.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn80" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref80" name="_ftn80">[80]</a> Michelle Hegmon. Op.cit., p.216.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn81" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref81" name="_ftn81">[81]</a> ผู้วิพากษ์ไม่สนับสนุนการใช้คำย่อในวิชาการประวัติศาสตร์และโบราณคดี การใช้คำย่อแบบนี้นิยมมากในกลุ่มสาขาวิชาการบริหารและการจัดการธุรกิจ ซึ่งชอบอธิบายเรื่องง่ายๆให้เป็นเรื่องยาก<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn82" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref82" name="_ftn82">[82]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๑๕๐.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn83" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref83" name="_ftn83">[83]</a> Michelle Hegmon. Op. cit., pp.214-215.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn84" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref84" name="_ftn84">[84]</a> Michelle Hegmon. Op.cit., pp.215-215.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn85" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref85" name="_ftn85">[85]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๑๒๙.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn86" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref86" name="_ftn86">[86]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๓๐–๑๓๑.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn87" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref87" name="_ftn87">[87]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๓๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn88" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref88" name="_ftn88">[88]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๓๔–๑๓๕.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn89" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref89" name="_ftn89">[89]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๑๓๙–๑๔๐.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn90" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref90" name="_ftn90">[90]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๔๔.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn91" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref91" name="_ftn91">[91]</a> แนวคิดนี้ เชื่อในความรู้สูงสุดที่จากประสาทสัมผัสที่สามารถชั่ง ตวง วัดได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แนวคิดนี้พัฒนามาจากกลุ่มประจักษ์นิยมหรือประสบการณ์นิยม(empiricist) กลุ่มแนวคิดแบบpositivist นี้พัฒนามาจากแนวคิดของพวก empiricist หรือพวก ประสบการณ์นิยม ซึ่งเชื่อในประสาทสัมผัสคือ ตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัสเท่านั้น ยังไม่พัฒนาไปถึงขั้นการตรวจสอบได้ด้วยวิธีการชั่ง ตวงและวัด ทางวิทยาศาสตร์<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn92" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref92" name="_ftn92">[92]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๖๕.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn93" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref93" name="_ftn93">[93]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๖๔–๑๖๕.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn94" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref94" name="_ftn94">[94]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๖๖–๑๖๙.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn95" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref95" name="_ftn95">[95]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. ๑๖๓.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn96" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref96" name="_ftn96">[96]</a> Michelle Hegmon. Op. cit., p.217.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn97" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref97" name="_ftn97">[97]</a> เมื่อกล่าวถึง “gender” หนังสือของผู้เขียน ผู้วิพากษ์จะคงคำว่า “เพศสถานะ”ไว้และชื่นชมคำแปลนี้ แต่เมื่อกล่าวถึง “gender” ในบทความของเฮกมอน ผู้วิพากษ์จะใช้คำว่า “เพศสภาวะ” เนื่องด้วยเบื้องต้นนั้น ขาดความรอบคอบในการตรวจสอบคำแปลจากภาษาอังกฤษ(the state of being masculine, feminine, neuter or queer.) จึงต้องขอใช้คำนี้แบบตามน้ำไปพลางๆ<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn98" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref98" name="_ftn98">[98]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๘๙.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn99" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref99" name="_ftn99">[99]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๙๐–๑๙๑.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn100" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref100" name="_ftn100">[100]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๑๙๐–๑๙๖<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn101" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref101" name="_ftn101">[101]</a> Michelle Hegmon” op.cit., pp..218-219.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn102" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref102" name="_ftn102">[102]</a> ทฤษฎีนี้สนใจเกี่ยวกับการตีความและการทำความเข้าใจtext บนพื้นฐานของการเป็นtext และบางครั้งการตีความผู้กระทำ(agent) ก็ถูกอ้างว่าเกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้ด้วย<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn103" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref103" name="_ftn103">[103]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า๒๐๑–๒๐๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn104" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref104" name="_ftn104">[104]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๐๓–๒๐๔.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn105" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref105" name="_ftn105">[105]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๐๕–๒๑๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn106" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref106" name="_ftn106">[106]</a> Michelle Hegmon. Op. cit., p.219.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn107" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref107" name="_ftn107">[107]</a> Michelle Hegmon. Ibid., pp. 219-222.</div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-8573185576981720992010-07-29T02:06:00.000-07:002010-11-17T03:40:52.609-08:00ทฤษฎีกับวิชาโบราณคดี<div align="justify">โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร</div><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">ความหมายของวิชาโบราณคดี</span><br />ตามโบราณราชประเพณี วิชาโบราณคดีเป็นวิชาหนึ่งในวิชาศิลปศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์จะต้องทรงได้รับการศึกษา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นักปราชญ์ในระยะแรกๆของการบุกเบิกค้นคว้าทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ดำรัสในพระนิพนธ์เรื่องนิทานโบราณคดีว่า “เป็นเรื่องจริงที่ได้รู้เห็นมิได้คิดประดิษฐ์ขึ้น แต่เป็นเรื่องเกร็ดนอกพงศาวดาร จึงเรียกว่านิทานโบราณคดี”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a> ในมโนทัศน์นี้ “โบราณคดี” จึงเป็นเรื่องราวจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง สังคม วัฒนธรรม ประเพณีและศิลปกรรมแขนงต่างๆ</div><div align="justify"><br />เจน แมคอินทอช(Jane McIntosh)ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการในการบุกเบิกทำงานของนักโบราณคดีแต่ละยุค ตั้งแต่สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการจนถึงยุคปัจจุบัน อ้างคำกล่าวของวิลเลียม แคมเดน(William Camden, ชาวอังกฤษ ค.ศ.๑๕๕๑–๑๖๒๓)ว่า “การศึกษาเรื่องราวสมัยโบราณ(Antiquity-โบราณวิทยา) เปรียบเสมือนอาหารทิพย์อันเหมาะสำหรับคนซื่อสัตย์และมีเกียรติ” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> และชี้ว่าโบราณคดีมีลักษณะของการศึกษาแบบเบ็ดเสร็จ(total study)ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์สิ่งของทุกอย่างที่เหลือจากอดีต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตขึ้นอีกครั้งหนึ่งเท่าที่จะสามารถทำได้ แม้ว่าหลายคนจะเข้าใจว่าโบราณคดีหมายถึงการขุดค้น แต่การขุดค้นที่ว่านี้ก็เป็นเพียงกระบวนการอย่างหนึ่งของกระบวนการหลายๆอย่างทางโบราณคดีเท่านั้นเอง<a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a></div><div align="justify"><br />ในทัศนะของไบรอัน เอ็ม. ฟากัน(Brian M. Fagan) โบราณคดีเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับอดีตของมนุษย์และพฤติกรรมของมนุษย์สมัยโบราณอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ของโบราณคดีเป็นส่วนหนึ่งของวิชามานุษยวิทยา<a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn4" name="_ftnref4">[4]</a> (Fagan, p.4)</div><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">ทฤษฎีกับวิชาโบราณคดี</span><br />สำหรับนักโบราณคดีชาวไทยแล้ว การนำแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีมาประยุกต์ใช้ในการทำวิจัยเป็นกระบวนการที่ยังไม่เห็นชัดเจนเท่าใดในปัจจุบัน นักวิชาการที่ศึกษาทางด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา นับเป็นผู้รู้กลุ่มแรกๆที่ให้ความสนใจต่อการนำทฤษฎีมาเป็นแบบจำลองในการอธิบายเรื่องราวทางวิชาการอย่างโดดเด่น </div><div align="justify"><br />อมรา พงศาพิชญ์ พยายามอธิบายให้เห็นพัฒนาการของทฤษฎีในการอธิบายองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๓๓ ดังปรากฏในงานเขียนเรื่อง “วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพันธุ์: วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษยวิทยา” โดยเฉพาะใน พ.ศ.๒๕๔๓ งานเขียนเรื่อง “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn5" name="_ftnref5">[5]</a> ของเธอตอนหนึ่งได้อธิบายถึงทฤษฎีการแพร่กระจายวัฒนธรรมจากศูนย์กลางของรัฐด้วยการยกตัวอย่างที่โดดเด่นในงาน ธิดา สาระยา เรื่อง (ศรี)ทวารวดี ศรีศักร วัลลิโภดม เรื่อง “แอ่งอารยธรรมอีสาน”กับ “สยามประเทศ” และงานเขียนของสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา เรื่อง “น้ำ: บ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมไทย”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn6" name="_ftnref6">[6]</a></div><div align="justify"><br />งานวิจัยเรื่องวัฒนธรรมหมู่บ้านไทยของฉัตรทิพย์ นาถสุภาและพรพิไล เลิศวิชา อธิบายลักษณะทางวัฒนธรรมของหมู่บ้านไทย ๔ ภาคอย่างกลมกลืน ภายใต้การอ้างอิงหลักฐานพื้นเมืองและมานุษยวิทยา เพื่ออธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยไร้กลิ่นอายของทฤษฎีตะวันตก เว้นแต่เมื่อต้องการเชื่อมโยงคำอธิบาย จึงมีวิธีการนำเสนอที่อาจจับคู่เทียบได้กับแนวคิดของทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม ในกรณีที่อธิบายถึงการผสมผสานความเชื่อล้านนาดั้งเดิมของศาสนาพุทธจากอินเดีย และการนับถือพระธาตุประจำดอยซึ่งพัฒนามาจากความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุในอินเดีย<a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn7" name="_ftnref7">[7]</a> เป็นต้น จึงนับเป็นพัฒนาการอีกรูปแบบหนึ่งในการนำเสนอทางวิชาการของนักวิชาการท่านนี้ แม้จะยังคงการนำทฤษฎีมาร์กซิสม์มาประยุกต์ใช้ ดังปรากฏในปาฐกถาเรื่อง “จากประวัติศาสตร์หมู่บ้านสู่ทฤษฎีสองระบบ” อันเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์หมู่บ้านไทย<a title="" style="mso-footnote-id: ftn8" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn8" name="_ftnref8">[8]</a></div><div align="justify"><br />ผลงานวิจัยของนักวิชาการชาวไทยที่นำเอาทฤษฎีทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมของนักวิชาการตะวันตกมาปรับใช้อย่างชัดแจ้ง ปรากฏอยู่ในรายงานวิจัยเรื่อง “วิธีคิดของคนไทย: พิธีกรรม : ‘ข่วงฝีฟ้อน’ ของ ‘ลาวข้าวเจ้า’ จังหวัดนครราชสีมา” โดย สุริยา สมุทรคุปต์และคณะ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (พ.ศ.๒๕๔๐) งานวิจัยชิ้นนี้พยายามที่จะอธิบายความหมายของคำว่า “วิธีคิด” ให้ชัดเจน ด้วยการลำดับแนวคิดของนักวิชาการทั้งชาวต่างประเทศตั้งแต่โคลด เลวี-เสตราส์(Claude Levi-Strauss) วิคเตอร์ เทอร์เนอร์และแมรี ดักลาส(Victor Turner and Mary Douglas) มิเชล ฟูโกลท์(Michel Foucault) และแนวคิดของนักวิชาการชาวไทยตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ หลวงวิจิตรวาทการ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ พระเทพเวที(ประยุทธ์ ปยุตโต) จนถึงแนวคิดแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน นับเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำทฤษฎีทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมมาใช้ในการศึกษาชุมชนในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา<a title="" style="mso-footnote-id: ftn9" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn9" name="_ftnref9">[9]</a> ซึ่งก็เป็นที่น่าสังเกตอยู่ไม่น้อยเช่นกันเกี่ยวกับความเหมาะสมของการนำแนวคิดแบบตะวันตกภายใต้วิธีการศึกษาแบบข้ามวัฒนธรรม(cross- cultural discipline)มาประยุกต์ใช้และเปรียบเทียบ เพื่อที่จะอธิบายวิธีคิดของชาวนาไทยในเขตพื้นที่ดังกล่าว</div><div align="justify"><br />งานค้นคว้าวิจัยชิ้นหนึ่งของศาสตราจารย์ ชาร์ลส์ ไฮแอม(Charles Higham) แห่งมหาวิทยาลัยโอทาโกและดร.รัชนี ทศรัตน์แห่งกรมศิลปากรเรื่อง “Prehistoric Thailand: From Settlement to Sukhothai” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn10" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn10" name="_ftnref10">[10]</a> เสนอเรื่องราวพัฒนาการของอารยธรรมในดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยสุโขทัย โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งอาศัยกรอบแนวคิดและทฤษฎีการแพร่กระจายของวัฒนธรรม(cultural diffusionism) โดยมีกระบวนการแลกเปลี่ยนค้าขายและการเผยแพร่ศาสนา และทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม(structural functionalism)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn11" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn11" name="_ftnref11">[11]</a> เป็นองค์ประกอบในการอธิบาย </div><div align="justify"><br />ทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมนี้ แพร่หลายมากในสหรัฐอเมริกาโดยการริเริ่มของฟรอนซ์ โบแอส(Franz Boas)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn12" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn12" name="_ftnref12">[12]</a> ส่วนทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยมเป็นแนวคิดที่ริเริ่มสร้างสรรค์ โดย อัลเฟรด อาร์. แรดคลิฟฟ์-บราวน์(Alfred R. Radcliffe-Brown)ชาวอังกฤษเมื่อต้นศตวรรษที่๒๐ น่าเสียดายที่ไฮแอมและรัชนี ทศรัตน์มิได้บ่งชี้ชัดเจนว่า คำอธิบายในงานดังกล่าวอาศัยแนวคิดในทฤษฎีใด </div><div align="justify"><br />ตัวอย่างเนื้อหาการประยุกต์ใช้ทฤษฎีในงานค้นคว้าของไฮแอมและรัชนี ทศรัตน์ ศึกษาได้จากข้อเสนอที่ระบุว่า รากฐานอารยธรรมในดินแดนประเทศไทยก่อตัวมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ การติดต่อกับสังคมต่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อารยธรรมดังกล่าวมีความก้าวหน้า แหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่สมัยเหล็กในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า สมาชิกของชุมชนมีฐานะมั่งคั่งจากหลักฐานสิ่งของที่ถูกฝังอยู่กับโครงกระดูกในหลุมศพ คนพื้นเมืองเหล่านี้เป็นคู่ค้าของพ่อค้าชาวอินเดีย ซึ่งนำสินค้านานาชนิดเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวอินเดียรู้จักเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะที่เป็น “สุวรรณภูมิ(The Land of Gold)” สินค้าที่พ่อค้าอินเดียนำเข้ามาคือ เครื่องประดับจาก หินอะเกต เครื่องประดับจากหินคาร์เนเลียนและเครื่องประดับจากแก้ว ส่วนสินค้าที่พ่อค้าอินเดียนำกลับไป คือ เครื่องเทศ เครื่องมือเครื่องใช้จากโลหะสำริดและทองคำ พ่อค้าอินเดียยังให้โอกาสผู้นำท้องถิ่นกว้านซื้อสินค้ามีค่าใหม่ๆ ทำให้ผลผลิตของสินค้าพื้นเมืองมีช่องทางในการระบายออกไป <a title="" style="mso-footnote-id: ftn13" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn13" name="_ftnref13">[13]</a></div><div align="justify"><br />คำอธิบายของไฮแอมและรัชนี ทศรัตน์ระบุว่า การขยายอิทธิพลลงใต้ของราชวงศ์ฮั่นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่๔ (๑๐๐ B.C.) ทำให้จีนเพิ่มความสนใจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะต้องการรวบรวมสินค้าแปลกๆ อาทิ นอแรดและขนนกเท่านั้น หากแต่ยังต้องการขยายจักรวรรดิและอำนาจทางการเมืองของตนด้วย </div><div align="justify"><br />ไฮแอม และรัชนี ทศรัตน์มองว่า การค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับพ่อค้าต่างชาติเป็นปัจจัยสู่การมีอารยธรรมโดยอัตโนมัติเป็นข้อเสนอที่ยังไม่มีข้อยุติ เพราะก่อนหน้านี้ดินแดนประเทศไทยในอดีตอาจมีโครงสร้างทางสังคมที่ละเอียดอ่อน และมีกรอบที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว การที่ผู้นำพื้นเมืองจะยกสถานะของตนให้สูงขึ้น ก็เป็นเงื่อนไขสนับสนุนให้เกิดอารยธรรมเช่นกัน </div><div align="justify"><br />การที่ชาวอินเดียนำความเชื่อทางศาสนาพุทธ พราหมณ์ และความเชื่อเรื่องฐานะความเป็นเทพของปัจเจกบุคคลเข้ามา ความศรัทธาที่มีต่อพระศิวะจึงอาจส่งผลให้ “เจ้าเหนือหัว” มีฐานะประดุจเทพเจ้า ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลีจึงถูกนำมาใช้เพื่อสื่อความหมายที่ยากจะเข้าใจ เพื่อครอบงำความนับถือและความเกรงขามท่ามกลางผู้ไม่รู้หนังสือ และศาสนาสถานที่ก่อสร้างด้วยหินและอิฐซึ่งเริ่มแพร่กระจายทั่วไป เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงลัทธิการบวงสรวงในศาสนาพราหมณ์รูปแบบใหม่ อันนำมาสู่การอภิเษกศิวลึงค์หิน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจรัฐและผู้ปกครองรัฐ และเป็นศูนย์รวมการประกอบพิธีกรรมที่เข้ามาใหม่และทรงอำนาจ </div><div align="justify"><br />ไฮแอมและรัชนี ทศรัตน์เห็นว่า เสียงสวดมนต์ของบรรดานักบวชในวิหารเทพเจ้าเป็นเสมือนเครื่องป้องกันรัฐและผู้นำ โดยมีชาวนาจากฐานล่างสุดของโครงสร้างสังคมรูปปิรามิดเป็นกลไกในการผลิตอาหารและปรนนิบัติเทวาลัยรองรับความเชื่อใหม่ที่เข้ามา</div><div align="justify"><br />การนำแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีมาปรับใช้ในงานวิจัยจริงๆของนักโบราณคดีเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงในบทความนี้ งานวิจัยเรื่อง “โบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน” ซึ่งดร.รัศมี ชูทรงเดช <a title="" style="mso-footnote-id: ftn14" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn14" name="_ftnref14">[14]</a> เป็นหัวหน้าโครงการจึงเหมาะที่สุดในการนำมากล่าวถึง</div><div align="justify"><br />นอกจากการนำแนวคิดและทฤษฎีทางโบราณคดีมาประยุกต์ใช้ในการทำวิจัยจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยชัดเจนดังได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ดร.รัศมี ชูทรงเดชยังชี้ว่า นักโบราณคดีไทยไม่เคยสร้างและพัฒนาทฤษฎีทางโบราณคดีมาก่อน ดังนั้นในบทที่ ๒ ว่าด้วยกรอบความคิดในการทำงานวิจัย จึงระบุว่า “การพัฒนาทฤษฎีเป็นความจำเป็นและมีความสำคัญต่อการสร้าง ‘พลังทางปัญญา’ ในสังคมวิชาการของประเทศไทยโดยรวม เพื่อที่เราสามารถทะลายกำแพงของการใช้พื้นฐานแนวคิดของทฤษฎีจากนักวิชาการตะวันตกในการอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างไรก็ดีขณะที่เรายังไม่มีกระบวนสร้างทฤษฎีโดยนักวิชาการไทย ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ฐานความคิดของตะวันตกเป็นแนวทางไปก่อน โดยเฉพาะกระบวนการสร้างและแสวงหาความรู้” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn15" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn15" name="_ftnref15">[15]</a></div><div align="justify"><br />โครงการวิจัยเรื่อง “โบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน” มีลักษณะเป็นโครงการวิจัยแนวมานุษยวิทยาโบราณคดี ดังนั้นแนวคิดหลักที่เป็นพื้นฐานในการวิจัยคือ การศึกษาวิวัฒนาการวัฒนธรรม(cultural evolution) ซึ่งหมายถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น โดยอ้างอิงจากแนวคิดของเซอร์วิส(Service: 1973) และแนวคิดนิเวศวัฒนธรรม(cultural ecology) ซึ่งเน้นศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมจากการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม(Steward: 1973) </div><div align="justify"><br />โครงการวิจัยข้างต้น มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรม และเพื่อจัดหมวดหมู่ของหลักฐานโบราณคดีจากการสำรวจและขุดค้นทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค โดยใช้วิธีการศึกษาแบบเปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรม(cross-cultural analysis) ทั้งด้านโบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยา เพื่ออธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ อาทิ สภาพอากาศ การเพิ่มประชากร เทคโนโลยีการผลิต เป็นต้น <a title="" style="mso-footnote-id: ftn16" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn16" name="_ftnref16">[16]</a> </div><div align="justify"><br />ดร. รัศมี ชูทรงเดชใช้นิยามเกี่ยวกับระดับสังคมที่เสนอโดย อัลมัน เซอร์วิส(Alman Service) อัลเลน จอห์นสัน(Allen Johnson)และทิโมธี เอิร์ล (Timorty Earle) เป็นแนวทางเบื้องต้นในการอธิบายลักษณะสังคมในอดีต ทั้งๆที่ทราบดีว่ากรอบคิดดังกล่าวถูกนักโบราณคดีสำนักคิดหลังกระบวนการ(post-processual)และสำนักคิดหลังสมัยใหม่(post-modern) วิจารณ์ว่าเป็นการมองสังคมแบบแช่แข็งเป็นเส้นตรงและหยุดนิ่ง จากคำอธิบายที่ว่าสังคมเริ่มมีวิวัฒนาการจากกลุ่มชน (band) ชนเผ่า(tribe) แว่นแคว้น(chiefdom) และรัฐ(state)<a title="" style="mso-footnote-id: ftn17" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn17" name="_ftnref17">[17]</a> </div><div align="justify"><br />ดร.รัศมี ชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติมว่า การที่นำทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมมาใช้ในงานวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยในการการจัดหมวดหมู่และทำความเข้าใจหลักฐานโบราณคดีที่พบในอำเภอปางมะผ้า เนื่องจากต้องการสร้างบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบปรากฏการณ์และหลักฐานโบราณคดีในพื้นที่วิจัย โดยมิได้มองว่าวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมของมนุษย์เป็นกระบวนการที่มึลักษณะเป็นเส้นตรงที่ผ่านขั้นตอนความเจริญที่เหมือนกัน แต่สนใจอธิบายพลวัติทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่นในแต่ละช่วงเวลา ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่พร้อมกันหรือไม่พร้อมกันก็ได้ รวมถึงเงื่อนไขซึ่งทำให้วัฒนธรรมมีการปรับตัวที่เหมือนหรือแตกต่างกัน โดยยกตัวอย่างรูปแบบของหัวโลงศพไม้ที่เหมือนหรือต่างกันในเขตอำเภอปางมะผ้าว่า มีนัยสำคัญอย่างไรภายในสังคมของคนบนพื้นที่สูงเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว <a title="" style="mso-footnote-id: ftn18" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn18" name="_ftnref18">[18]</a> เป็นต้น</div><div align="justify"><br />นอกเหนือจากทฤษฎีวิวัฒนาการวัฒนธรรมและทฤษฎีนิเวศวัฒนธรรมแล้ว เมื่อกล่าวถึงสมมติฐานในงานวิจัย ดร.รัศมีระบุถึงทฤษฎีการปรับตัวของคนในสภาวะแวดล้อม ๓ เงื่อนไข ดังนี้</div><div align="justify"><br />๑.การเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตจากการหาอาหารตามธรรมชาติมาเป็นการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ พัฒนามาจากการปรับตัวในพื้นที่ชายขอบที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์(marginal environments) </div><div align="justify"><br />๒.การเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตจากการหาอาหารตามธรรมชาติเป็นการเพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์ พัฒนาขึ้นมาจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ(resource abundance) </div><div align="justify"></div><div align="justify">๓.ถ้าสภาพแวดล้อมในสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย-โฮโลซีนตอนต้นในพื้นที่สูงของอำเภอปางมะผ้าคล้ายคลึงกับปัจจุบัน ข้อมูลสภาพแวดล้อมปัจจุบันก็สามารถถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการสร้างทฤษฎีเรื่องการปรับตัวของคนกับสภาพแวดล้อมในอดีตในพื้นที่วิจัยได้ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn19" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn19" name="_ftnref19">[19]</a></div><div align="justify"><br />ดังนั้น จากตัวอย่างแนวคิด ทฤษฎี วัตถุประสงค์และสมมติฐานที่นำเสนอในกรอบความคิดของดร.รัศมี ผู้วิพากษ์เชื่อว่า น่าจะทำให้สามารถสร้างคำอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ อาทิ สภาพอากาศ การเพิ่มประชากร เทคโนโลยีการผลิตได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม</div><div align="justify"><br />วิธีคิดในการศึกษาวิชาโบราณคดีผ่านกรอบคิดและทฤษฎีแบบตะวันตกของนักโบราณคดีบางท่านก็น่าสนใจไม่น้อย</div><div align="justify"><br />ดร.สว่าง เลิศฤทธิ์เคยบรรยายถึงนักโบราณคดีชาวตะวันตกบางคนที่เสนอว่า ในกลุ่มชนบางแห่งมีความเชื่อเชิงสัญลักษณ์ว่า ภาชนะดินเผามีอวัยวะต่างๆเปรียบได้กับอวัยวะของคน ได้แก่ ตัว ขา หู ก้น ฯลฯ แต่ผู้วิพากษ์ไม่เห็นด้วย เนื่องจากมนุษย์มิได้ผูกพันมากมายกับ “หม้อ” “ไห” “เครื่องใช้”ต่างๆในชีวิตประจำวันถึงขนาดนั้น จนถึงกับถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องอธิบายเชื่อมโยงและบ่งชี้ให้เห็นนัยทางวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ </div><div align="justify"><br />ผู้วิพากษ์กลับคิดว่า ข้าวของและเครื่องใช้อื่นๆจำนวนไม่น้อยในสังคมโบราณทั้งที่ใช้ในพิธีกรรมและนอกพิธีกรรมต่างก็มีส่วนประกอบที่เทียบเคียงได้กับอวัยวะของมนุษย์ อาทิ ขา หู ตัว ก้น ฯลฯ ทั้งสิ้น ได้แก่ เครื่องใช้ประเภท เตา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น ส่วนพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ตามความเชื่อก็มีนัยปรากฏชัดเจนแล้วในวัตถุทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับลัทธิความเชื่อ เช่น ในตัวอย่างหยาบๆที่นึกขึ้นมาได้ตอนนี้ คือ กลองมโหระทึก บั้งไฟ รูปวีนัส เดอ วิลเลนดอล์ฟ(Venus de Villendolf) โยนี ลึงค์ เป็นต้น</div><div align="justify"><br />แบบเสนองานวิจัยซึ่งดร.สว่าง เลิศฤทธิ์เป็นหัวหน้าโครงการเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๓ เรื่อง “พัฒนาการของความซับซ้อนทางสังคมและการเมืองจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในเขตที่ราบลุ่มทางตะวันตกของภาคกลาง” ระบุว่า การศึกษาทางโบราณคดีเกี่ยวกับลักษณะทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองในสังคมที่เริ่มซับซ้อน(early complex societies)บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทย เคยมีผู้ศึกษาไว้แล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ Wales(1969) ภาควิชาโบราณคดี(๒๕๒๓) ผาสุข อินทราวุธ(๒๕๒๖) Glover(1989) สุรพล นาถะพินธุ(๒๕๓๘) Mudar(1993, 1999) ฯลฯ ผลการศึกษาของนักวิชาการเหล่านี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการของสังคมยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์(๕๐๐ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ.๕๐๐)จากการดำรงชีพด้วยการเก็บของป่า ล่าสัตว์เพาะปลูกพืชบางชนิด และติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชน มาเป็นการเพาะปลูกข้าวเป็นหลัก โดยชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายเป็นชุมชนขนาดเล็กกระจายอยู่ในเขตพื้นที่ป่าหรือที่ราบเชิงเขา ครั้นถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ตอนต้นมีการเคลื่อนย้ายชุมชนเข้าไปอยู่ริมแม่น้ำในที่ราบลุ่มเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ ๑๐–๓๐ เมตร ซึ่งมีพื้นที่เหมาะสำหรับการเกษตรกรรม ลักษณะชุมชนเป็นแบบมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ผู้วิจัยอ้างข้อเสนอของดร.ธิดา สาระยาว่า ชุมชนเหล่านี้มีการจัดลำดับชนชั้นทางการปกครองในลักษณะที่ซับซ้อนมากขึ้น</div><div align="justify"><br />ประเด็นที่ผู้วิจัยตั้งคำถาม คือ การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในช่วงเวลาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์เกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างไรและผลที่ตามมาคืออะไร นอกจากนี้ผู้วิจัยเสนอว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความซับซ้อนทางสังคมและการเมือง ได้แก่ การเพิ่มของประชากร การขยายพื้นที่ของชุมชนและเครือข่าย ลักษณะโครงสร้างทางการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ รูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบเมืองศูนย์กลางและบริวาร ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การควบคุมผลผลิตทางเศรษฐกิจหรือการค้า และการแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนหรือภูมิภาค เป็นต้น </div><div align="justify"><br />แบบเสนอโครงการวิจัยนี้ มีการนำเสนอสมมติฐานและปัญหาในการวิจัยน่าสนใจ ๔ ประการ<a title="" style="mso-footnote-id: ftn20" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn20" name="_ftnref20">[20]</a> ประการที่๑ คือ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายมีหลักฐานบ่งชี้ถึงความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นในสังคม อาทิ ของหายากและมีคุณค่าสูง ได้แก่ ลูกปัด กำไลสำริด ต่างหูและภาชนะดินเผาบางประเภท ประการที่๒ คือ การควบคุมผลผลิตส่วนเกินและการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจอาจบ่งชี้ถึงความซับซ้อนทางสังคมโดยชนชั้นผู้นำ การศึกษาการจัดระเบียบการผลิตภาชนะดินเผา(ceramic production organization) ๓ ปัจจัย ได้แก่ ขนาด ความหลากหลายและการทำให้เป็นมาตรฐาน จะสามารถบอกได้ว่าการผลิตนั้นควบคุมโดยชนชั้นผู้นำหรือเป็นกิจกรรมในครัวเรือน แต่เสียดายที่ปราศจากกรอบโครงทฤษฎีทางโบราณคดีที่ชัดเจน ประการที่๓ คือ การเปลี่ยนแปลงแบบแผนการบริโภคสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของการผลิตภาชนะดินเผาและกิจกรรมอื่นๆ อาทิ กิจกรรมที่สัมพันธ์กับการรักษาสถานภาพของชนชั้นผู้นำหรือกิจกรรมประจำปีของชุมชน ได้แก่ การจัดงานเลี้ยง โดยสามารถอธิบายได้จากการวิเคราะห์ขนาด ความหลากหลายและการทำให้เป็นมาตรฐานของภาชนะดินเผา ประการที่๔ แหล่งโบราณคดีแต่ละแห่งมีความเก่าแก่ไม่เท่ากัน หากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองได้ชัดเจนก็สามารถลำดับความเก่าแก่ของหลักฐานและแหล่งโบราณคดีได้อย่างเป็นระบบและถูกต้อง </div><div align="justify"><br />น่าเสียดายที่ในแบบเสนอโครงการวิจัยนี้ยังไม่เห็นพัฒนาการเด่นชัดในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางโบราณคดี และเป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งๆที่ยังมิได้ระบุว่าจะเลือกแหล่งโบราณคดีแห่งใดเป็นสถานที่ขุดค้น การตั้งประเด็นในการอธิบาย“พัฒนาการของความซับซ้อนทางสังคมและการเมืองจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในเขตที่ราบลุ่มทางตะวันตกของภาคกลาง” โดยเน้นการจัดระเบียบการผลิตภาชนะดินเผา การเปลี่ยนแปลงแบบแผนการบริโภคและการจัดลำดับอายุสมัยของแหล่งโบราณคดีและชุดหลักฐาน จะสามารถตอบคำถามที่ตั้งไว้ได้มากน้อยเพียงใด หากปราศจากกรอบโครงทางทฤษฎีเมื่อเทียบกับการศึกษาหัวข้อเดียวกันในสมัยประวัติศาสตร์ซึ่งเต็มไปด้วยหลักฐานเอกสาร</div><div align="justify"><br />บทความของมิเชลล์ เฮกมอน (Michelle Hegmon) เรื่อง “Setting Theoretical Egos Aside: Issues and Theory in North American Archaeology.” ตีพิมพ์ในวารสาร The American Antiquity 68(2), 2003 กล่าวโดยสรุปถึง ทฤษฎีในวิชาโบราณคดีของอเมริกาเหนือ มีลักษณะมุ่งสร้างความชัดเจนของประเด็นคำถามต่างๆทางการวิจัย มากกว่าจะชี้ชัดหรือถกเถียงเกี่ยวกับฐานะตัวตน(position)ของทฤษฎี เฮกมอนไม่ปฏิเสธว่าทฤษฎีบางอย่างก็มีแนวคิดชัดเจน เช่น ทฤษฎีนิเวศวิทยาวิวัฒนาการ(Evolutionary Ecology) ทฤษฎีโบราณคดีเชิงพฤติกรรม(Behavioral Archaeology)และทฤษฎีโบราณคดีวิวัฒนาการสำนักดาร์วิน (Darwinian Archaeology) นักโบราณคดีส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือเรียกทฤษฎีเหล่านี้ว่า “กลุ่มแนวคิดแบบ processual - plus” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn21" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn21" name="_ftnref21">[21]</a> และยังมีกลุ่มทฤษฎีที่สนใจเรื่องเพศสภาวะ(Gender) ทฤษฎีผู้กระทำ(Agency/ practice) ทฤษฎีสัญลักษณ์และความหมาย(Symbols and meaning) ทฤษฎีวัฒนธรรมทางวัตถุ(Material culture)และทฤษฎีที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของชาวพื้นเมือง(Native perspectives)ด้วย เธออธิบายว่า โบราณคดีเพศสภาวะ(Gender archaeology)ก็มีกระบวนทัศน์แบบเดียวกับแนวคิดแบบprocessual-plus ซึ่งมีความหลากหลายในการนำเสนอประเด็นธรรมดาๆทั่วไปให้น่าสนใจ และเชื่อว่าการเน้นทฤษฎีผู้กระทำ(agency/ practice)ถือเป็นพัฒนาการสำคัญ แม้ว่ามโนทัศน์(conceptions)เรื่องนี้มักจะถูกนำไปโยงกับปัจเจกชน(individuals)และแนวคิดเกี่ยวกับแรงจูงใจ(motivation)แบบตะวันตกก็ตาม ที่สำคัญก็คือนักโบราณคดีส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือ รวมทั้งพวกที่ยึดทฤษฎีหลังกระบวนการ(post processual) มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มทันสมัย(modern)มิใช่กลุ่มหลังทันสมัย(Postmodern) ซึ่งการขาดกระบวนการถกเถียงทางทฤษฎีนี้ แม้จะก่อให้เกิดความหลากหลายและการพูดคุยที่ชัดเจน แต่ก็อาจทำให้ทฤษฎีทางโบราณคดีในอเมริกาเหนือขาดความรอบคอบอย่างเพียงพอ และอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อแนวทางของทฤษฎีแบบPost modernism ก็ได้<br /><br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. นิทานโบราณคดี. (กรุงเทพฯ: คลังวิทยา, ๒๕๑๗). หน้า -ข-<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn2" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a>Jane McIntosh. The Practical Archaeologist.(Second edition). ( Hong Kong: Facts On File, Inc., 1999.), p.2.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn3" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> Jane McIntosh. Ibid.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn4" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref4" name="_ftn4">[4]</a> Fagan, Brian M. Archaeology: A brief Introduction. Eighth Edition. (New Jersey. Upper Saddle River, 2003)<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn5" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref5" name="_ftn5">[5]</a> อมรา พงศาพิชญ์. วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพันธุ์: วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษยวิทยา. (พิมพ์ครั้งที่๕). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑. และ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม. (พิมพ์ครั้งที่๒). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn6" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref6" name="_ftn6">[6]</a> อมรา พงศาพิชญ์. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม. (พิมพ์ครั้งที่๒). (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓) หน้า๒๒–๒๖. ดูรายละเอียดใน ธิดา สาระยา. (ศรี) ทวารวดี. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๓๘. ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๓๓. ศรีศักร วัลลิโภดม. สยามประเทศ: ภูมิหลังของประเทศไทยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาราชอาณาจักรสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๙. สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา. น้ำ: บ่อเกิดวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๙..<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn7" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref7" name="_ftn7">[7]</a> ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและพรพิไล เลิศวิชา. วัฒนธรรมหมู่บ้านไทย. (กรุงเทพฯ: เดือนตุลาการพิมพ์, ๒๕๔๑), หน้า ๓และหน้า๓๐ เป็นต้น<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn8" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref8" name="_ftn8">[8]</a> ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. “จากประวัติศาสตร์หมู่บ้านสู่ทฤษฎีสองระบบ” ปาฐกถาสุภา ศิริมานนท์ ครั้งที่๑๓ จัดโดยศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่๑๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เลา ๑๓.๐๐–๑๕.๐๐ น. สถาบันราชภัฏสุรินทร์จัดพิมพ์เนื่องในวาระครบรอบ ๖๐ ปี ศาสตราจารย์ ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสภา พ.ศ.๒๕๔๕. หน้า ๑๕–๓๗.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn9" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref9" name="_ftn9">[9]</a> สุริยา สมุทคุปติ์. วิธีคิดของคนไทย: พิธีกรรม : ‘ข่วงฝีฟ้อน’ ของ ‘ลาวข้าวเจ้า’ จังหวัดนครราชสีมา (นครราชสีมา: สมบูณ์การพิมพ์, ๒๕๔๐), หน้า๕๗–๑๑๕.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn10" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref10" name="_ftn10">[10]</a> Charles Higham and Rachanie Thosarat, Prehistoric Thailand: From Settlement to Sukhothai. (Bangkok: River Book, 1994 ), 144-173.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn11" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref11" name="_ftn11">[11]</a> ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยมเน้นว่าสังคมมนุษย์มีโครงสร้างหน้าที่หลายส่วน แต่ละส่วนก็ทำงานสอดประสานกับส่วนอื่นๆ เพื่อรักษาสมดุลหรือเสถียรภาพของสังคมไว้ให้ราบรื่น, สว่าง เลิศฤทธิ์. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๘๗.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn12" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref12" name="_ftn12">[12]</a> อมรา พงศาพิชญ์. วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพันธุ์: วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษยวิทยา. ( พิมพ์ครั้งที่๕).(กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑) หน้า๑๑๘.และอมรา พงศาพิชญ์. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม. (พิมพ์ครั้งที่๒). (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๑๑–๑๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn13" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref13" name="_ftn13">[13]</a> Charles Higham and Rachanie Thosarat, Ibid., 173-175.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn14" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref14" name="_ftn14">[14]</a> ผู้สอนวิชา Theories in Archaeology ของภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในภาคเรียนที่๒ ปีการศึกษา ๒๕๔๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn15" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref15" name="_ftn15">[15]</a> รัศมี ชูทรงเดช. โบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสนามจันทร์, ๒๕๔๗), หน้า๒๑.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn16" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref16" name="_ftn16">[16]</a> รัศมี ชูทรงเดช. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๒.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn17" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref17" name="_ftn17">[17]</a> หน้าเดียวกัน.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn18" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref18" name="_ftn18">[18]</a> รัศมี ชูทรงเดช. เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๒–๒๓.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn19" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref19" name="_ftn19">[19]</a> รัศมี ชูทรงเดช. เรื่องเดียวกัน. หน้า๒๖–๒๘.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn20" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref20" name="_ftn20">[20]</a> สว่าง เลิศฤทธิ์. แบบเสนอโครงการวิจัยประกอบการขอรับทุนอุดหนุนการวิจัยเรื่อง “พัฒนาการของความซับซ้อนทางสังคมและการเมืองจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในเขตที่ราบลุ่มทางตะวันตกของภาคกลาง.<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn21" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref21" name="_ftn21">[21]</a> คือ ทฤษฎีที่มุ่งผสมผสานแนวคิดทั่วไปของกลุ่มโบราณคดีกระบวนการ(processual archaeology) เข้ากับทฤษฎีของกลุ่มโบราณคดีหลังกระบวนการ(post-processual)</div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7634356418552061557.post-23799379633432697122010-07-28T20:57:00.000-07:002010-11-17T14:26:25.700-08:00รวมบทความทางประวัติศาสตร์-โบราณคดี พิทยะ ศรีวัฒนสาร(แปล)จาก Siam-Thai Millennium: One Thousand Eventful Years, Focus, The Nation(1999)<div align="justify"><span style="font-size:130%;">1.กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว</span><a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a><br /><br />สุจิตต์ วงษ์เทศ (เขียน),<br /><br />หลายปีมาแล้วที่นักวิชาการชาวตะวันตกระบุว่าคนพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นชนเผ่าป่าเถื่อน (barbarians) โดยเชื่อว่าภูมิภาคนี้ไม่มีวัฒนธรรมหรืออารยธรรมโดดเด่นเกิดขึ้น จนกระทั่งพ่อค้าและพระภิกษุชาวอินเดียเดินทางมาถึง นักวิชาการชาวตะวันตกจึงกำหนดศัพท์เฉพาะขึ้น ใช้เรียกภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเห็นว่า ภูมิภาคนี้เป็นเพียงดินแดนส่วนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย คำจำกัดความดังกล่าวได้แก่ อินเดียไกล (l’Inde exterieure) อินเดียน้อย (Greater India) และรัฐแบบอินเดีย (The Indianised States)<br /><br />ผลการขุดค้นทางโบราณคดีซึ่งดำเนินการครั้งแรกเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วทำให้นักวิชาการสลัดความคิดข้างต้นออกไปจนหมดสิ้น ปัจจุบันนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และนักมานุษยวิทยาต่างก็เห็นพ้องกันว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่มีเอกลักษณ์รูปแบบทางอารยธรรมโดดเด่นเป็นของตนเองอย่างแท้จริง<br /><br />หลักฐานที่นักโบราณคดีขุดค้นพบคือสิ่วหิน (chisels) อันเป็นเครื่องมือซึ่งพวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ (nomads) ใช้กันเมื่อประมาณ 800,000 - 600,000 ปีมาแล้วที่อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปางและโครงกระดูกของมนุษย์โฮโมอิเรคตัส (Homo Erectus คนเดินเหยียดหลังตรงพวกแรก)ขุดพบในเกาะชวา<br />เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคไพลสโตซีน (Pleistocene period ประมาณสองล้านถึงหนึ่งแสนปีมาแล้ว) ในขณะนั้นเกาะต่างๆในทะเลจีนใต้ รวมทั้งหมู่เกาะของมาเลเซีย และอินโดนีเซียยังมิได้แยกตัวออกไปจากแผ่นดินใหญ่ หลักฐานอื่นๆ ก็ชี้ชัดว่ามีการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อประมาณ 30,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อยเช่นกัน<br /><br />การเปลี่ยนแปลงทางประชากรที่สำคัญครั้งแรก เกิดขึ้นประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว เมื่อมีคน อพยพจากจีนและดินแดนอื่นๆ มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคทางใต้ คนที่เข้ามาใหม่มิได้ขับไล่คนพื้นเมืองออกไป หากแต่ได้แทรกซึมเข้าไปสู่ชุมชนพื้นเมือง(Indigenous Communities) ทีละน้อย<br /><br />หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบในจีนตอนใต้และเวียตนามเหนือ รวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ชี้ให้เห็นว่าคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รู้จักเทคโนโลยีการทำสำริดมาเป็นเวลานานถึง 3,500 ปีแล้ว<br /><br />ภาพกลองมโหระทึก (kettledrum) ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในประเทศไทย พบที่อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร<br /><br />นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่นๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ริเริ่มสร้างหมู่บ้านขนาดเล็กเมื่อประมาณ 3,000 ปี มาแล้ว ทำให้เชื่อกันว่าความชำนาญในการทำเครื่องมือเครื่องใช้สำริดเหล่านี้ถูกส่งผ่านเข้ามาจากมณฑลสีฉวน (Sichuan) และยูนนานของจีน<br /><br />ภาพเขียนสีที่ถ้ำตาด้วง จังหวัดกาญจนบุรี รูปคนกำลังใช้กลองมโหระทึกประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ<br /><br />รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรเชื่อว่า เคยมีการอพยพครั้งใหญ่ของคนจากจีนมายังประเทศไทยผ่านเวียตนามเมื่อประมาณ 3,500 ปี รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมเรียกผู้อพยพกลุ่มนั้นว่า “นักเผชิญโชค” และ”พ่อค้า”ที่เข้ามาแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ จำพวกแร่ธาตุและของป่า<br /><br />ขณะนั้นดินแดนในประเทศไทยปัจจุบันเป็นแหล่งผสมผสานของชนพื้นเมือง (ethnic groups)อันประกอบด้วยชาวไต สยาม มอญและอินเดีย เทคโนโลยีที่ผู้อพยพนำมาและพัฒนาขึ้นใน”บ้านใหม่”ของพวกเขาคือ ความรู้ในการหลอมโลหะและการทำสำริด ต่อมาภายหลังจึงรู้จักการทำเครื่องมือเหล็ก อาวุธเหล็ก และเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำจากเหล็ก<br /><br />นับเป็นเวลาประมาณ 2,500 ปี มาแล้วที่หมู่บ้านขนาดใหญ่ระยะแรกๆ หลายแห่งในแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แหล่งตั้งถิ่นฐานชุมชนเหล่านี้ถูกปกครองโดยหัวหน้าหมู่บ้าน สินค้าหลักของพวกเขามิใช่ข้าวหรือผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ หากแต่เป็นโลหะจำพวกทองแดงและเหล็ก ปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างคนจากส่วนในของภูมิภาคเอเฃียตะวันออกเฉียงกับนักเดินเรือต่างชาติทำให้หมู่บ้านเหล่านี้ขยายตัวขึ้นเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้น<br /><br />หลักฐานชี้ให้เห็นว่าเมืองขนาดใหญ่ยุคแรกๆ ของภาคพื้นส่วนในของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างก็ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทย และในที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่น้ำแม่กลองทางด้านตะวันตกของที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา การค้าขายจึงเกิดขึ้นระหว่างพ่อค้าอินเดียและจีนกับคนพื้นเมืองในเวียตนาม ซึ่งนักวิชาการปัจจุบันเรียกว่า พวกซาฮุยน์หฺ-ดองซอน (Sa Huynh – Dong Son)<br /><br />มหากาพย์รามายณะ (The Ramayana epic) และนิทานชาดก (Jataka เรื่องในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า เขียนโดยชาวอินเดีย) เรียกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า สุวรรณภูมิ (Land of Gold) นิทานหลายเรื่องในพระชาดก (รวมทั้งเรื่องพระมหาชนก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชนิพนธ์อีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้) กล่าวถึงการเดินทางไปสู่ดินแดนสุวรรณภูมิอันถูกพรรณนาถึงในแง่ของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ซึ่งคนทุกเชื้อชาติอยากจะเดินทางไปติดต่อค้าขาย<br /><br />จากหลักฐานที่รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมกล่าวถึง ปรากฏว่าบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียในดินแดนประเทศไทยตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว<br /><br />รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เชื่อว่า พระภิกษุชาวอินเดียสองรูปคือ พระโสณะเถระ และพระอุตตรเถระ ซึ่งถูกพระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแพร่ศาสนาพุทธในสุวรรณภูมิเมื่อประมาณ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราชนั้น อาจมาขึ้นฝั่ง ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน-แม่น้ำแม่กลองนั่นเอง ดังนั้นเมื่อสุวรรณภูมิเป็นจุดหมายหลักของบรรดาพ่อค้าต่างชาติเช่นนี้แล้ว คณะเผยแพร่ศาสนาพุทธของพระโสณะและพระอุตตระจึงมิใช่อาคันตุกะรายเดียวในขณะนั้นของภูมิภาคนี้<br /><br />รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมระบุว่า ที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลองมีฐานะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของสุวรรณภูมิมาตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช และทำให้มีการค้าขายของ พ่อค้าต่างชาติมากมายเกิดขึ้นในย่านนี้ ปฏิสัมพันธ์ข้างต้นจึงทำให้เกิดพัฒนาการของศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ การปกครองระบบกษัตริย์ ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับภารตะ(คืออินเดีย) และความหลากหลายของพิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อทางศาสนาที่นำเข้ามาเผยแพร่เหล่านี้ ได้ส่งอิทธิพลอย่างเด่นชัดต่อสังคมต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องมีความระมัดระวังต่อการเน้นให้เห็นถึงความสำคัญมากเกินไปของอารยธรรมอินเดียในภูมิภาคนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือก่อนที่พระภิกษุและพ่อค้าชาวอินเดียจะเดินทางมาถึงนั้น คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีอารยธรรมซึ่งได้พัฒนาการไปอย่างช้าๆ ตามวิถีของตนอยู่แล้ว<br /><br />การติดต่อกับอินเดียจะไม่เกิดขึ้นถ้าหากมิได้รับอนุญาตจากหัวหน้าชุมชนชาวพื้นเมืองซึ่ง ดูเหมือนว่าผู้นำเหล่านี้จะตัดสินใจเลือกรับเอาศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ(ทั้งนิกายมหายาน และนิกายเถรวาท) ที่เห็นว่าเหมาะสมกับสังคมและความเชื่อดั้งเดิมของพวกเขามากที่สุด ลัทธิการนับถือปรากฏการณ์ธรรมชาติ (Animism)ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นความเชื่อหลักที่คล้ายๆกับสังคมแรกเริ่มอื่นๆในโลก ภาพเขียนสีในถ้ำและเพิงผาจำนวนมากซึ่งถูกค้นพบในประเทศไทย ล้วนถูกทำขึ้นก่อนการเข้ามาของอารยธรรมอินเดียทั้งสิ้นเราจะพบว่าในภาพเขียนบางแห่งมีรูปหัวหน้าชุมชนกำลังประกอบพิธีกรรมติดต่อกับบรรดาภูตผีและเทพเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ<br /><br />ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเรื่องเล่าเก่าแก่พื้นเมืองกล่าวถึง พญานาค หรืองูศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน รวมทั้งร่องรอยความเชื่ออื่นๆที่เกี่ยวกับการนับถือธรรมชาติแบบโบราณ ปรากฎให้เห็นในพิธีสักการะเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลเกษตรกรรม คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด มีความเชื่อคล้ายกันเรื่องอำนาจอันเป็นอมตะของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผู้ควบคุมจักรวาล โลก สิ่งมีชีวิตและภูตผีทั้งหมด ความเชื่อนี้สะท้อนให้เห็นจากการตกแต่งประดับประดากลองมโหระทึกสำริด ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ในรัฐเถียน (Tian State ใกล้กับทะเลสาบคุนหมิง) ในมณฑลยูนนานของจีน เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช กลองมโหระทึกสำริดเหล่านี้ถูกนำจากจีนมายังเวียตนามทางเหนือ เข้าสู่ตอนกลางแผ่นดินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะใกล้เคียงในเวลาต่อมาตามลำดับ<br /><br />ในประเทศไทย กลองสำริดเหล่านี้รู้จักกันในชื่อกลองมโหระทึก หรือกลองสำริด มีลายจำหลักรูปกบ รูปสัตว์ 12 ราศี และรูปจำหลักคล้ายดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง เชื่อกันว่ากลองมโหระทึก เป็นสิ่งที่จะนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่ผู้นำของชุมชนผู้ซึ่งสามารถติดต่อกับเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าโดยตรง และกลองมโหระทึกก็มักจะถูกฝังไว้กับศพของหัวหน้าชุมชนด้วยเมื่อเขาตายลงไป<br /><br />ภาพโครงกระดูกของมนุษย์ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือสำริดและเครื่องมือเหล็กถูกขุดพบร่วมกับภาชนะดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้สำริดและเหล็ก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของอารยธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนการเข้ามาของพระภิกษุและพ่อค้าชาวอินเดีย<br /><br /><span style="font-size:130%;">2.เบ้าหลอมแห่งวัฒนธรรม</span> <a style="mso-footnote-id: ftn2" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a><br />ก่อนการเข้ามาของอารยธรรมอินเดียนั้น ภูมิภาคแห่งนี้มีชุมชนอิสระขนาดเล็กหลายชุมชน ตั้งอยู่ ประกอบด้วยหลากหลายชนชาติ แม้ส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะนับถืออำนาจของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ทว่าชุมชนแต่ละแห่งต่างก็มีผีประจำชุมชนเป็นของตนเอง (คือผีอารักษ์หรือGuardian Spirits)<br /><br />เมื่อผู้นำชุมชนได้เลือกรับเอาศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธซึ่งเหมาะสมกับชุมชนที่สุดเพื่อนำไปผสมผสานกับความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติของท้องถิ่นแล้ว ถึงกระนั้นผีก็ยังคงได้รับการนับถือเฃ่นเดิม แต่พระพุทธเจ้าหรือเทพเจ้าในศาสนาฮินดู (อาทิ พระพรหม หรือเทพองค์อื่น ขึ้นอยู่กับแต่ละชุมชน) ก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นเทพเจ้าสูงสุดด้วย บรรดาหัวหน้าชาวพื้นเมืองได้นำศาสนาใหม่เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการยกฐานะของตนขึ้นเป็นเทวราชา (god kings) ซึ่งซึ่งเชื่อกันว่าทรงอวตารหรือเป็นผู้นำสาส์นมาจากเทพเจ้าผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ พิธีกรรมจึงถูกประกอบขึ้นเพื่อตอกย้ำความเชื่อข้างต้น<br /><br />ครั้นนักบวชในศาสนาพราหมณ์ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ และได้กลายเป็นราฃครู-ปุโรหิต หรือผู้รู้เกี่ยวกับพิธีกรรมตามความเชื่อทางศาสนาเพื่อขอพรให้แก่บุคคลสูงศักดิ์ จึงเป็นต้นกำเนิดของการปกครองแบบกษัตริย์ ซึ่งได้แพร่หลายทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลักฐานตำนานของพ่อค้าชาวกรีก โรมัน อินเดียและจีนประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3 จึงชี้ว่า ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจุดนักพบของพ่อค้าจากตะวันออกและตะวันตก ขณะนั้นคาบสมุทรมาเลย์ประกอบด้วยรัฐเล็กรัฐน้อย ตำนานกล่าวว่า รัฐเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลทางศาสนาและการปกครองจากอินเดีย แม้ว่าพลเมืองจะนับถือเทพเจ้าของศาสนาฮินดู แต่ก็นับถือพระพุทธศาสนาด้วย ผู้ชายชาวพื้นเมืองจำนวนมากอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่การเฉลิมฉลองเทศกาลนักขัตฤกษ์และการประกอบพิธีกรรมเนื่องในศาสนาฮินดูก็ยังคงมีควบคู่กันไป ภายในพระราชวังของพระมหากษัตริย์มีทั้งพระพุทธรูปและเทวรูปจำนวนมากตามแบบอย่างศิลปะซึ่งนำเข้ามาจากชมพูทวีป (subcontinentคือ อินเดีย) ตำนานเหล่านี้ยังระบุด้วยว่า บรรดากษัตริย์ชาวพื้นเมืองและเชื้อพระวงศ์ล้วนมีฐานะมั่งคั่ง แต่ละคนมีข้าทาสและบริวารหลายร้อยคน การแบ่งแยกคนออกเป็นสองชนชั้น คือ ผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง เป็นจารีตที่เกิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน<br /><br />นอกเหนือไปจากการติดต่อทางด้านวัฒนธรรมและศาสนากับอินเดียแล้ว สุวรรณภูมิยังเริ่มค้าขายโดยตรงกับจีนในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่คริสต์ศตวรรษที่ 3 จะเริ่มต้น ซึ่งในช่วงก่อนสมัยราชวงศ์ฮั่น (200 ปีก่อนคริสต์ศักราชถึง ค.ศ.220)จะเริ่มขึ้นนั้น มีพ่อค้าจีนจำนวนไม่มากนักแล่นเรือเข้ามาค้าขายยังสุวรรณภูมิ พ่อค้าเหล่านี้มีลูกเรือเป็นชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สินค้าจากดินแดนสุวรรณภูมิมีจุดหมายปลายทางที่อินเดียและจีน แต่สินค้าส่วนใหญ่จะถูกลำเลียงผ่านทางบกไปยังท่าเรือตอนเหนือของเวียตนาม โดยมีชาวพื้นเมืองแห่งซาฮุยน์หฺ- ดองซอน (Sa Huynh – Dong Son) เป็นพ่อค้าคนกลาง<br /><br />ภาพลูกปัดจากการขุดค้น เก็บรักษาไว้ที่วัดคลองท่อม จังหวัดกระบี่<br /><br />ความรุ่งเรืองทางการค้าระหว่างจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีหลักฐานยืนยันชัดเจนจากการขุดค้นพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น สินค้าประเภทเครื่องเคลือบ (enamel goods) เครื่องใช้สำริด<br /><br />กลองมโหระทึกสำริดและอาวุธสำริดในแหล่งโบราณคดีหลายแห่งทางเหนือของเวียตนาม อินโดนีเซีย และที่จังหวัดอุตรดิตถ์ในภาคเหนือของประเทศไทย<br /><br />เมื่อสุวรรณภูมิกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าระหว่างตะวันตก (อินเดีย) ตะวันออก (จีน) แล้ว ปริมาณการค้าในภูมิภาคนี้ก็มีมากขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาเส้นทางการค้าขายสายใหม่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีการขยายตัวของชุมชนพื้นเมืองเพิ่มขึ้นด้วย<br /><br />เมืองอู่ทอง (ในจังหวัดสุพรรณบุรี) เป็นชุมชนที่บ่งชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียได้อย่างชัดเจน เมืองโบราณแห่งนี้เป็นท่าเรือสำคัญในอาณาจักรฟูนัน จดหมายเหตุจีนชี้ว่าฟูนันเป็น “รัฐที่มีอำนาจ” ครอบคลุมไปถึงชุมชนเมืองท่าเล็กๆ ทั้งหมดตามชายฝั่งของอ่าวไทย นักประวัติศาสตร์บางคนระบุว่า แหล่งตั้งถิ่นฐานแห่งแรกของอาณาจักรฟูนันอาจอยู่ตามลำน้ำโขงตอนล่าง ระหว่างชอด็อค (chaudoc)กับพนมเปญ ครั้นถึงคริสต์ศตวรรษที่ 2 ฟูนันจึงสามารถควบคุมแม่น้ำโขงตอนล่างและบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง รวมทั้งบริเวณตอนเหนือของเมืองเว้ในเวียตนาม และตอนเหนือของคาบสมุทรมาเลย์ไว้ได้โดยสิ้นเชิง<br /><br />จากการวิจัยของรองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย ศิลปากรชี้ว่า ฟูนันเป็นรัฐใหญ่ปกครองโดยระบบกษัตริย์ (monarchy) มีการเชื่อมโยงทางการค้าและการปกครองกับอินเดียและจีน รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เชื่อว่ามีการนับถือศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธในฟูนันพร้อมๆ กันทั้งชนชั้นสูงในราชสำนักและสามัญชน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3 เป็นต้นมา ทำให้ฟูนันกลายเป็นศูนย์รวมทางการค้าขายทางทะเลระหว่างตะวันออกกับตะวันตกแทนสุวรรณภูมิ<br /><br />นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าอาณาจักรฟูนันเป็นรัฐสำคัญรัฐแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยโบราณ แต่รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าพัฒนาการของรัฐต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสลับซับซ้อนมาก และได้ระบุว่า แม้ฟูนันจะได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางเมืองท่าสำคัญ แต่ก็มีรัฐและเมืองท่าสำคัญแห่งอื่นๆ อาทิ เมืองอู่ทองเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันด้วย<br /><br /><br />ภาพตะเกียงโรมันสำริด พบที่อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เป็นหลักฐานบ่งฃี้ให้เห็นถึงการติดต่อค้าขายระหว่างตะวันออกกับตะวันตกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่7<br /><br />รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เป็นนักวิชาการคนหนึ่งซึ่งอยากจะเห็นการศึกษาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะเป็นแบบแนวนอน (มุมมองกว้าง) อันมีความหลากหลายมากกว่าจะเป็นการศึกษาแบบแนวดิ่ง(เจาะลึก) นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรฟูนันตามแนวดิ่ง มักจะมองอาณาจักรฟูนันมีฐานะเป็นจักรวรรดิยิ่งใหญ่ที่ส่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมให้แก่อาณาจักรเจนละ อาณาจักรพระนคร (Angkor) และอาณาจักรเขมรในช่วงหลัง<br /><br />ศาสตราจารย์ชอง บ็วสเซอลิเยร์ (Jean Boiselier) นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสชี้ว่า โบราณวัตถุส่วนใหญ่ที่พบจากการขุดค้นที่เมืองออกแก้ว (Oc - Eo) เป็นโบราณวัตถุสมัยเจนละ (ซึ่งมีอายุรุ่น หลังสมัยฟูนัน) และเสนอว่าเมืองอู่ทองเป็นราชธานีของอาณาจักรฟูนัน แต่รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เนื่องจากเมืองอู่ทองและเมืองออกแก้วต่างก็เป็นชุมชนขนาดใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมเชื่อว่าอู่ทองเป็นเมืองที่จดหมายเหตุจีนเรียกว่า “จิ้นหลิน” (Chin Lin/Jin Lin ซึ่งหมายถึงดินแดนแห่งทองคำ)มากกว่า จดหมายเหตุจีนยังระบุว่าเมืองท่าแห่งนี้เคยถูกกองทัพฟูนันครอบครองเป็นครั้งคราวในคริสต์ศตวรรษที่ 3 แต่หลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรฟูนันยังพบน้อย ถึงกระนั้นสิ่งที่เราทราบเกี่ยวกับฟูนันก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เพราะสามารถใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่าในช่วงแห่งความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรฟูนันนั้น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้พัฒนาการเข้าสู่ยุคใหม่โดยร้อยรัดรากฐานและความเจริญทางการค้าขายชายฝั่งทะเล ระหว่างตะวันออกกับตะวันตกด้วยอิทธิพลทางวัฒนธรรม ศาสนา และสังคมของอินเดียไว้อย่างมั่นคง<br /></div><div align="justify"><br />ปัจจัยดังกล่าวนี้ถือเป็นพื้นฐานของพัฒนาการในขั้นต่อมาของชุมชนและรัฐขนาดใหญ่ทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งดินแดนที่อยู่ในประเทศไทยด้วย<br /><br />แผนผังชายฝั่งและที่ตั้งชุมชนก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 4<br /><br /><span style="font-size:130%;">3.คำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์</span> <a style="mso-footnote-id: ftn3" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a><br />ไมเคิล ไรท์ (เขียน)<br /><br />เมื่อกลางเดือนเมษายน คอลัมน์โฟกัส (Focus) ตีพิมพ์บทความสารคดีชุดSiam-Thai Millenium ชิ้นแรก ของสุจิตต์ วงษ์เทศนักประวัติศาสตร์คนสำคัญ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวเข้าสู่ปี ค.ศ. 2000 และอธิบายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ 2000 ปีที่แล้ว</div><div align="justify"><br />ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้เข้าร่วมในโครงการนี้ด้วย แต่ก็ได้บ่ายเบี่ยงเนื่องจากติดภารกิจสำคัญ บัดนี้ก็พร้อมแล้ว และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสุจิตต์ วงษ์เทศ ได้แจ้งให้ทราบว่ากำลังมีปัญหาในการเขียนต้นฉบับ ซึ่งต้องส่งพิมพ์ 2 ครั้งต่อหนึ่งเดือน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเข้าร่วมในโครงการด้วยการผลัดเข้ามาเสนอความคิดเห็นเป็นครั้งคราวไป การทำงานครั้งนี้มิใช่ความพยายามในการร่วมมือกัน สุจิตต์ วงษ์เทศและข้าพเจ้าเป็นเพื่อสนิทกัน เรามีแนวความคิดและอุดมคติร่วมกัน แต่ภูมิหลังและ บุคลิกภาพของเรามีความแตกต่างกันมากจนกระทั่งไม่สามารถเป็น “แนวร่วม” (united front) กันได้ ครั้งใดที่เราพยายามเป็นแนวร่วมกันก็ดูเหมือนจะก่อให้เกิดการขัดคอกันเองเสียทุกครั้งไปในเวลาอันไม่นานนัก บทความนี้และบทความที่จะถูกตีพิมพ์ในอนาคตของข้าพเจ้าจึงเปรียบเสมือนดนตรีเสียงสูงที่คลอประสานท่วงทำนองของสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นเสียงของคนนอกที่แต่งเติมเสียงร้องของคนใน </div><div align="justify"><br />สุจิตต์ วงษ์เทศเป็นใคร ถ้าจะนับทางสายบิดา สุจิตต์ก็เป็นชาวลาว เพราะบรรพบุรุษฝ่ายบิดาเป็นเชลยสงครามซึ่งถูกรัชกาลที่ 3 กวาดต้อนมาจากเมืองเชียงของในประเทศลาว เพื่อให้ไปแผ้วถาง บุกเบิกดงมาเลเรียในเขตจังหวัดปราจีนบุรี สุจิตต์ วงษ์เทศมีญาติฝ่ายมารดาเป็นชาวจีน เพราะมารดาเดินทางอพยพมาในเรือสำเภาเมื่อช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่แล้ว สุจิตต์ วงษ์เทศจึงภูมิใจที่จะบอกว่า ตนเองเป็นคนครึ่งลาวครึ่งจีน กรณีดังกล่าวช่วยให้สามารถอธิบายปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อความเชื่อเรื่องเชื้อชาติ (racial mythology) ซึ่งนำเข้ามาเผยแพร่เป็นครั้งแรกโดยรัชกาลที่ 6 เมื่อประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แล้วถูกกระตุ้นให้กลายเป็นลัทธิชาตินิยม (national myth) ไประหว่างยุคเผด็จการทหาร (Fascist Period) แล้วถูกรักษาไว้ราวกับมดในก้อนอำพัน (amber) ในหลักสูตรของโรงเรียนปัจจุบัน</div><div align="justify"><br />เมื่อเร็วๆนี้ ดร.นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ให้เห็นว่า ความคิดยึดมั่นในเรื่องเชื้อชาติถูกใช้อย่างน่ากลัวอย่างไรบ้าง รัฐซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็น “ไทย“ เป็นผู้ให้คำจำกัดความและจำแนก “ความเป็นคนไทย Thai-ness” ผู้ซึ่งมีลักษณะตรงตามคำจำกัดความของรัฐจะได้รับการยอมรับว่าเป็น “ไทย” และได้รับสวัสดิการต่างๆ จากรัฐเป็นการตอบแทน คนอื่นๆอาทิ คนกลุ่มน้อยชาวเขาคนจนผู้เกรี้ยวกราดและนักคิดอิสระ จะถูกกล่าวหาจากรัฐบาลว่ามิใช่คนไทย (UN-Thai) และถูกกีดกันออกไปจากการมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ของประเทศ สิ่งดังกล่าวทำให้กระบวนการประชาธิปไตยในไทยมีอุปสรรค และความเกลียดกลัวคนต่างชาติได้ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธซึ่งมีผลประโยชน์มากมายเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเดิมพัน (xenophobia so handy a weapon when a vested interests are at stable) ด้วยเหตุนี้ทำให้เรามีนักพนัน นักเก็งกำไร และคนปลิ้นปล้อนพื้นเมือง ที่ป่าวร้องคำขวัญประจำชาติและเรียกร้องให้รัฐช่วยดึงพวกเขาให้พ้นจากความชั่วร้ายของคนอื่นที่มิใช่คนไทย</div><div align="justify"><br />ในบทความชื่อ “Once upon a Time” (Focus, หน้า C1, April 19, 1999) สุจิตต์ วงษ์เทศเขียนเกี่ยวกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (จนถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ) และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความก้าวหน้าทางสังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยีแล้ว ก่อนที่เขาจะรู้จักประเทศอินเดีย สุจิตต์ วงษ์เทศจำเป็นต้องเขียนถึงปรากฏการณ์นี้ แต่เขียนทำไมหรือ ทำไมความคิดต่อทาง วัฒนธรรมระหว่างอินเดียกับ S.E.A. จึงมีการเข้าใจอย่างผิดๆ และมีการบิดเบือนไปได้ มีเหตุมากมาย ดังนี้ คือ</div><div align="justify"><br />1. เมื่อตะวันตกหันมาสนใจตะวันออก ตะวันตกได้กำหนดความคิดเอาไว้ตายตัวแล้วระหว่างกรอบของ “อารยธรรม” กับ “ความป่าเถื่อน” ยุโรปหรือโลกคริสเตียนเป็นดินแดนแห่งอารยธรรม ดินแดนอื่นๆ นอกนั้นล้วนเป็นดินแดนแห่งความป่าเถื่อน ดังนั้นเห็นได้ชัดเจนว่า ในความรู้สึกของผู้รู้แห่งสมัยวิคตอเรียแล้ว ชาวยุโรปได้ถ่ายทอดอารยธรรมแก่อเมริกา ในขณะที่วัฒนธรรมพื้นเมืองของอเมริกา (indigenous American culture) ถูกให้คำจำกัดความว่า เป็นพวกป่าเถื่อน เช่นเดียวกับในกรณีการมองภาพลักษณ์ของเอเชียการถูกครอบงำจากอิทธิพลยิ่งใหญ่ของอินเดียก็ได้ถูกนำมาใช้อธิบายลักษณะวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย </div><div align="justify"><br />2. เราอาจให้อภัยต่อความเข้าใจผิดของบรรดานักปราชญ์ภาคตะวันตกในยุโรปยุคแรกๆ ได้ เพราะการเขียนบันทึกเกี่ยวกับ S.E.A. ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นจนกระทั่งระบบการเขียนของชาวอินเดียเข้ามาเผยแพร่ในช่วงคริสต์ศักราช ในทางตรงกันข้ามความแพร่หลายของวรรณคดีภาษาสันสกฤต ประกฤต (ภาษที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Modern Indo-Aryan ภาษาบาลีก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) และทมิฬของชาวอินเดียอย่างไรก็ดีบันทึกลายลักษณ์ของอินเดีเก่าแก่ที่มีอายุนับย้อนหลังได้ใกล้เคียงกับกฎหมายของพระเจ้าอโศก (the edicts of Ashore) ในช่วง 30 ปีก่อนคริสต์ศักราช และเรื่องก่อน ประวัติศาสตร์ใน S.E.A. เป็นที่รู้จักกันน้อยมากจนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มานี้เอง</div><div align="justify"><br />3. วัฒนธรรมอินเดียโบราณถูกใช้อย่างผิดๆ อย่างกว้างขวางถูกมองว่าเป็นเบ้าหลอมให้แก่คนกลุ่มน้อยเลียนแบบ และวัฒนธรรมอินเดียถูกมองว่ามีความความเก่าแก่มากกว่าใครๆ อย่างผิดๆ มานานเช่นกัน ในทางตรงกันข้ามสำหรับวิชาโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันนี้เท่าที่ทราบมา (ยกเว้นอารยธรรมฮินดู – Indus Civilization ซึ่งอาจจะเข้ามาจากตะวันออกกลาง) จะเห็นได้ว่า มีแต่โบราณวัตถุฝีมือค่อนข้างหยาบ (pertly pour stuff) เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งละอันพันละน้อยที่เราค้นพบเกี่ยวกับก่อนประวัติศาสตร์ใน S.E.A. </div><div align="justify"><br />เรื่องราวเก่าแก่ที่สุดของอารยธรรมอินเดีย คือ เวทัส (Vedas) อันเป็นเรื่องเล่าเชิงมุขปาฐเก่าแก่มากมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมดั้งเดิมของชนเผ่าเร่ร่อนที่ดำเนินชีวิตโดยการขโมยปศุสัตว์ ซึ่งแตกต่างจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูมิปัญญา (inspiration = good idea) ของชาวสวนและชาวนายุคแรกของ S.E.A. ชาวอินเดียในยุนแรกไม่เคยประสบความสำเร็จในการผลิตโลหะสำริดอย่างแท้จริง พัฒนาการในเรื่องโลหะสำริดของอินเดียบรรลุขั้นสูงสุดเกิดขึ้นหลังจากมีการติดต่อกับยุคโลหะสำริดใน S.E.A. เป็นเวลานานมากทีเดียว<br />ทัศนทั่วไปของชาวตะวันตกในเรื่องความยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมอินเดียได้มองข้ามความหลากหลายของภูมิภาคอื่นๆ ของอินเดียและการมีส่วนร่วมใน “พื้นฐานดั้งเดิม – pritive element” ของ S.E.A. รวมทั้งลัทธินับถือต้นไม้ นับถือพญานาค และการสืบทอดมรดกทางสายมารดาของชาวดราวิเดียน (Dravidian) ในอินเดียได้ด้วย ดังนั้นบางทีวัฒนธรรมอินเดียซึ่งเป็นที่ชื่นชมรับรู้ของ S.E.A. อาจมิใช่เพราะว่าเป็นของแปลกและก้าวหน้า หากแต่เป็นเพราะพวกเขาต่างก็คุ้นเคยดีอยู่แล้วนั่นเอง เห็นได้จากพระคเณศ เทพเจ้าผู้ทรงมีเศียรเป็นช้าง แทบจะมิใช่สิ่งแปลกสำหรับคนใน S.E.A. เลย สิ่งเหล่านี้มี เหตุผลน่าเชื่อถือเหวี่ยงกลับเมื่อมีนักวิชาการเสนอว่า วัฒนธรรมของ S.E.A. มีความเป็นพื้นเมือง อย่างแท้จริง โดยมิได้รับการถ่ายทอดมาจากอินเดีย เช่นเดียวกับที่มีการพูดว่ายุโรปตะวันตกมิได้สืบทอด วัฒนธรรมมาจากกรีก หรือโรม ข้อเสนอดังกล่าวมีประเด็นน่าสนใจ เพราะถ้าหากลองหลับตาให้แน่น และสวดอธิษฐานมากๆ เราก็อาจจะพบตนเองอยู่ในดินแดนของออซ (The Land of Oz) สุจิตต์ วงษ์เทศมีเหตุผลน่าเชื่อถือมากกว่า ถูกแล้วสุจิตต์ วงษ์เทศได้เน้นถึงความสำเร็จของชาวพื้นเมืองในเรื่องโครงสร้างทางสังคมและเทคโนโลย (ซึ่งรู้จักกันน้อยมาก) ในขณะเดียวกันก็ยอมรับถึงการรับเอาศาสนาที่สูงกว่าความรู้ทางอักษรศาสตร์จากอินเดีย<br /><br /><span style="font-size:130%;">4.ข้อเสนอที่เชื่อว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีโลหะสำริดก่อนอินเดีย</span><br /><br />เหตุใด S.E.A. จึงดึงดูดให้พ่อค้าจีนและอินเดียเดินทางเข้ามาค้าขายด้วยในระยะเริ่มแรก บางทีสาเหตุที่ทำให้พ่อค้าจีนเดินทางเข้ามาอาจจะแตกต่างจากพ่อค้าชาวอินเดียก็ได้ จีนเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ด้วยโลหะธาตุ และมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีถลุงโลหะแบบโบราณ ในขณะที่อินเดียมีโลหะประเภททองคำเพียงเล็กน้อย (ซึ่งอาจจะถูกนำมาจากเอเชียกลาง) และไม่มีดีบุก เมื่อไม่มีดีบุกทำให้อินเดียไม่มียุคสำริดเป็นของตนเองด้วย ทำให้อินเดียข้ามจากยุคทองแดงไปเป็นยุคเหล็กเลย (ยกเว้นเครื่องมือทองแดงบางชิ้นมีสภาพเป็นโลหะสำริดโดยบังเอิญเนื่องจากเทคนิคการถลุงทองแดงแบบไม่บริสุทธิ์) นักวิชาการหลายคนจึงเสนอว่า พ่อค้าชาวจีนสนใจ S.E.A. เนื่องจากมีสินค้าฟุ่มเฟือยจำพวก apes งาช้าง ไข่มุก รังนก เครื่องเทศ และเครื่องยาประเภทนอแรด ดังนั้นเอกสารจีนที่เก่าแก่ที่สุด ชิ้นหนึ่งจึงพูดถึงการเดินทางของนักเล่นแร่แปรธาตุ (Alchemist) แห่งลัทธิเต๋าที่เข้ามาเป็นส่วนผสมเครื่องปรุงทิพย์โอสถ (the elixir of life) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในทางตรงกันข้ามอินเดียมีเครื่องเทศจำนวนมาก อินเดียต้องการเพียงงาช้าง และ apes และชาวอินเดียมักจะไม่ค่อยแสวงหาความเป็นอมตะจากยาอายุวัฒนะดังเช่นชาวจีน จึงเชื่อกันว่าพ่อค้าชาวอินเดียเข้ามายัง S.E.A. ครั้งแรกเพื่อแสวงหาทองคำ (ปัจจุบันยังมีอยู่ในคาบสมุทรมาเลย์ และแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง) และดีบุกซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญของการทำโลหะสำริดนั่นเอง สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญก็คือ คัมภีร์โบราณของอินเดีย (ทั้งคัมภีร์ในพุทธศาสนาและฮินดู) ต่างก็เรียก S.E.A. ว่า “สุวรรณภูมิ” นอกจากนี้ยังมีนิยายปรัมปราจำนวนมากกล่าวถึงเจ้าชายถูกกีดกันราชสมบัติแล้วแล่นเรือมุ่งหน้าไปยังสุวรรรภูมิ และเดินทางกลับมาด้วยความมั่งคั่ง ต่อมาก็ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ หรือได้แต่งงานกับสาวงาม เป็นต้น</div><div align="justify"><br />เอกสารโบราณอาจจะสับสนอยู่บ้างในเรื่องของการเรียกชื่อโลหะทั้งหลาย “สุวรรณ (Suvarna – fine - coloured)” มักจะหมายถึงทองคำเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็อาจจะหมายรวมไปถึงสำริด ซึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเชื่อกันว่ามีพลังเหนือธรรมชาติ สำริดถูกเรียกเป็นภาษาสันสกฤตว่า ปัญจโลหะ (Parcaloha) ซึ่งได้แก่ ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว เงินและทองคำ ตามหลักฐานในคัมภีร์โบราณ มีการ ตั้งคำถามว่าชาวอินเดียเรียนรู้สูตรลับของส่วนผสมโลหะนี้ (ซึ่งผลการวิเคราะห์ส่วนผสมทางเคมี ของสำริดอินเดียโบราณมิได้สอดคล้องกันกับความเป็นจริง) ได้จากที่ใด พวกเขาอาจเรียนรู้จาก ตะวันออกกลาง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นโลหะสำริดแท้ๆ ของอินเดียก็คงจะเริ่มมีขึ้นประมาณช่วงก่อนคริสต์กาล แต่หลักฐานที่พบกลับไม่สอดคล้องกัน หลักฐานโลหะสำริดแท้ๆ ชิ้นเอกของอินเดียซึ่งเก่าแก่ที่สุดถูกผลิตขึ้นในอินเดียใต้ระหว่าง 500 ปีหลังของสหัสวรรษแรก (ที่อมราวดี คันจิปุรัม และอนุราธปุระ) ช่วงเวลาที่ตั้งเป็นสิ่งที่จะต้องคำนึงถึง อินเดียใต้ และศรีลังกามีพัฒนาการด้านศิลปะและความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีโลหะสำริดภายในช่วงเวลาไม่กี่ศตวรรษหลังจากได้มีความสัมพันยธ์ทางการค้าอย่างมั่นคงแล้วกับดินแดนในแผ่นดินใหญ่ของ S.E.A.ในช่วง 5020 ปีแรกของคริสต์กาล</div><div align="justify"> </div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><div align="justify">เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ ส่วนผสมของโลหะสำริด (ทั้งในด้านความเชื่อและความเป็นจริง) และมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสำริดเป็นอย่างดีแล้วก่อนสมัยคริสต์กาล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนประการหนึ่ง คือ เราต่างก็รู้จักกำไรข้อเท้า ซึ่งทำเครื่องสำริดหล่อ แบบกลวง (hollow-cest) และมีลูกกระพรวนห้อยของนักเต้นระบำชาวอินเดีย กำไรข้อเท้าอีกแบบหนึ่งทำเป็นวงมีกระดิ่งเล็กๆ ห้อยสวมที่ข้อเท้าของนักเต้นระบำและกระดิ่งแต่ละอันมีกระพรวนเล็กๆ ห้อยโดยรอบโดยรอบ แต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะระบุว่า โบราณวัตถุเหล่านี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อใดในศิลปะอินเดีย เนื่องด้วยไม่พบโบราณวัตถุดังกล่าวในหลุมฝังศพสมัยก่อนประวัติศาสตร์เลย</div><div align="justify"><br />อย่างไรก็ดี หลุมฝังศพสมัยก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย กลับมีหลักฐานกำไรข้อเท้าและกระพรวนสำริดจำนวนมาก ซึ่งเคยเชื่อกันว่าถูกนำเข้ามาจากอินเดีย หลักฐานข้างต้นทำให้เรื่องราวทุกอย่างกระจ่างขึ้น นั่นคือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มิได้เรียนรู้เทคนิคการผลิตโลหะสำริดมาจากชาวอินเดีย ตรงกันข้ามอินเดียกลับเรียนรู้เทคนิคดังกล่าวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงกระนั้นข้อสงสัยเกี่ยวกับพระพุทธรูปสำริดก็ยังคงมีอยู่ต่อไปว่าเทคนิคการหล่อได้รับการถ่ายทอดมาจากที่ใด </div><div align="justify"><br />พระพุทธรูป ซึ่งในที่นี้เรียกว่า “The missionary Buddha” แม้ว่าจะถูกจัดอยู่ในศิลปะแบบอมราวดีและอนุราธปุระนั้น ถูกค้นพบทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พระพุทธรูปเหล้านี้อาจถูกนำมาโดยพระภิกษุซึ่งเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนา แต่ปัญหาก็คือนักประวัติศาสตร์ศิลปะยังไม่มีความเห็นสอดคล้องลงตัวกันว่าพระพุทธรูปเหล่านี้ถูกหล่อขึ้นที่ใด ด้วยเหตุนี้นักประวัติศาสตร์ศิลปะอาจจำเป็นต้องอาศัยหลักฐานเอกสารมาช่วยเพิ่มขึ้นอีกด้านหนึ่ง ความเชี่ยวชาญชั้นสูงในการหล่อโลหะแบบกลวง Hollow casting เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบที่บ้านเชียงในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในขณะที่พระพุทธรูปสำริดลักษณะคล้ายๆ กันซึ่งพบในศรีลังกานั้นล้วนเป็นแบบสำริดหล่อตัน (solid cast) ยกเว้นพระพุทธรูปที่พบที่เมือง บาดัลลา ( Badulla) จากเหตุผลที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ (traditional texts) คือ การเป็นบาปอย่างรุนแรงถ้ามีการสร้างพระพุทธรูปแบบไม่สมบูรณ์ ดังนั้นการสร้างพระพุทธรูปแบบหล่อตันจึงเป็นทางออกที่ดีกว่า ในทางตรงกันข้ามกับหลักฐานที่พบในศรีลังกานั้น “The Missionary Buddha” ใน S.E.A. ต่างก็เป็นพระพุทธรูปสำริดเนื้อบางซึ่งหล่อแบบกลวง ด้วยเหตุนี้อาจจะกล่าวได้ว่า พระพุทธรูปเหล่านี้ถูกหล่อขึ้นใน S.E.A. และจากเอกลักษณ์ดังกล่าวข้างต้น จึงอาจเป็นไปได้ว่าพระพุทธรูปสำริดหล่อแบบบกลวงซึ่งพบที่บาดัลลาในศรีลังกาอาจถูกนำเข้าไปจาก S.E.A. ก็ได้ ในบทความของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งกล่าวถึงอาณาจักรฟูนันว่าเป็นรัฐหรืออาณาจักรแห่งแรกใน S.E.A. ดังปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุจีน และขยายอำนาจจากอ่าวสยามไปยังปากแม่น้ำโขงระหว่างช่วง 500 ปีแรกคริสต์ศักราช</div><div align="justify"><br />นักวิชาการฝรั่งเศสเชื่อว่า “ฟูนัน” เป็นภาษาจีนเพี้ยนมาจากคำว่า “พนม” แปลว่า ภูเขาในภาษาเขมร และเป็นรัฐซึ่งมีลักษณะเป็นศูนย์รวมอำนาจ (centralized state) หรือรัฐแบบจักรวรรดิ (Empire state)<br />สุจิตต์ วงษ์เทศเสนอว่า ฟูนันน่าจะมีลักษณะคล้ายกับเมืองท่าสมาพันธรัฐทางการค้าที่กระจายอยู่ตามชายฝั่งทะเลด้านใต้ของภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีฐานะเป็นแหล่ง รวบรวมสินค้าของพ่อค้าจีนและอินเดีย ซึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษแรกๆ นั้น พ่อค่าเหล่านี้นิยมแวะเข้ามาเป็นอย่างยิ่ง ศาสตราจารย์ทัตสุโอะ โฮชิโน เห็นด้วยกับแนวความคิดของสุจิตต์ เขาเชื่อว่าคำ “ฟูนัน” มาจากภาษาทมิฬว่า “ปุรัม-puram“ อันแปลว่า “เมือง” และอาจจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ “คันจิปุรัม - Kanchipuram” (ปรากฏอยู่ในบันทึกของจีนหลายชื่อ เช่น คันจิ–ฟู–kan–chi–fu และฟูนัน–fu–nan) โดยอาจจะตั้งอยู่ที่เมืองศรีเทพ ซึ่งเคยตั้งอยู่ปากอ่าวสยามในสมัยโบราณ</div><div align="justify"><br />งานเขียนของไมเคิล วิคเคอรีชิ้นล่าสุดเรื่องอาณาจักรกัมพูชาสมัยเริ่มแรกสอดคล้องกับทัศนของสุจิตต์ และได้เสนอแนวคิดเพิ่มเติมอีกด้วยว่า เมืองท่าต่างๆ ของดินแดนภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสำคัญอย่างไรต่อการแล่นเรือเข่ามาค้าขายในช่วง 500 ปีแรกของคริสต์ศักราช อย่างไร ก็ดีประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 6-7 นักเดินเรือสามารถแล่นเรือโดยอาศัยเรือสินค้าเดินทางไปมาค้าขายระหว่างชวาและกวางตุ้งได้โดยมิต้องอาศัยการแล่นเรือเลียบชายฝั่งอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7 รัฐฟูนันจึงค่อยๆ หายไปจากบันทึกของจีน และถูกแทนที่ด้วย ชิ-ลิ-โฟ-=u / shi-li-of-che (หรือ shin-li-fo-shi หรือศรีวิชย / ศรีวิชัย) ซึ่งเป็นเมืองท่าสมาพันธรัฐในคาบสมุทรมาเลย์ และหมู่เกาะทางตอนใต้ โดยมีจุดศูนย์กลางเคลื่อนย้ายไปเป็นช่วงๆ เมืองท่าโบราณบนภาคพื้นทวีปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ยังคงมีความสำคัญอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีพ่อค้าต่างชาติเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย อย่างไรก็ดีในช่วง 500 ปีที่สองของคริสต์สหัสวรรษ วัฒนธรรมนานาชาติของเมืองท่าโบราณเหล่านี้ มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนย้ายไปสู่เมืองซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภาคพื้นทวีป อาทิ ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำต่างๆ เนื่องด้วยผู้นำได้หาทางครอบครองทรัพยากรอันมั่งคั่งที่มาจากภาคพื้นทวีปด้วยการชักนำวิถีชีวิต แบบใหม่มาสู่พวกเขา ข้อเสนอนี้เป็นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่ชี้ให้เห็นว่า รัฐรูปแบบใหม่ เช่น ทวารวดี พระนคร และอีศานปุระ ถูกก่อตั้งอยู่ลึกเข้าไปในภาคพื้นทวีปได้อย่างไรภายหลังการหายไปจากบันทึกจีนของรัฐฟูนัน ทั้งนี้เพราะหลักฐานเอกสารต่างๆ มีน้อยมากนั่นเอง<br /><br /><span style="font-size:130%;">5.การก่อตัวและล่มสลายของอาณาจักรทวารวดี</span><br /><br />ภาพพระพุทธรูปพบที่วัดพระเมรุ มีรูปแบบทางศิลปะที่นิยมในเมืองนครชัยศรีโบราณ จังหวัดนครปฐม มีภาพพระปฐมเจดีย์อยู่เบื้องหลัง<br /><br />นักประวัติศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่าฟูนันเป็นรัฐแห่งแรก (ตามความจำกัดความที่ใช้ในปัจจุบัน) ในภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2 ฟูนันครอบครองแม่น้ำโขงตอนล่างและดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง รวมทั้งดินแดนทางตอนเหนือของเมืองเว้ในเวียตนาม และตอนเหนือของคาบสมุทรมาเลย์ ความมั่งคั่งของรัฐแห่งนี้เกิดขึ้นให้เห็นที่เมืองออกแก้ว เมืองท่าสำคัญของปากแม่น้ำโขง (ในประเทศกัมพูชา) พ่อค้าจากอินเดียและดินแดนอื่นทางตะวันตกเดินทางมายังฟูนันโดยอาศัยลมมรสุมในการแล่นเรือสินค้าข้ามมหาสมุทรอินเดียแล้วจอดพักที่อ่าวเมาะตะมะ (อยู่ในพม่าปัจจุบัน) จากนั้นจึงเดินทางข้ามบกมุ่งสู่อ่าวไทย ขณะนั้นประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 6 นักเดินเรือสามารถเรียนรู้เทคนิคในการข้ามช่องแคบมะละกามายังทะเลจีนใต้ได้แล้ว เส้นทางการเดินเรือสายใหม่นี้ทำให้พ่อค้าใช้เวลาในการเดินทางสั้นลง เมืองท่าสำคัญต่างๆ บนชายฝั่งอ่าวไทยจึงค่อยๆ หมดความสำคัญส่งผลให้ฟูนันลดความสำคัญลงและทำให้มีรัฐชายทะเลแห่งใหม่เกิดขึ้นแทนที่ตลอดทั้งภูมิภาค (ดูตาราง)<br />หลักฐานจากจดหมายเหตุจีน<br /><br />จดหมายเหตุจีนกล่าวถึงการอุบัติขึ้นของรัฐชายทะเลหลายแห่งในภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-7 (นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นด้วยกับที่ตั้งของสามรัฐแรก ขณะที่อีกสองรัฐหลัง คือ หลั่งยะสิว และโถ-โล-โป-ตี ยังคงมีการถกเถียงกัน)<br />* ศรีเกษตร : ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี (พม่าตอนกลาง) ปกครองโดยชาวปยู (pyou) พูดภาษาปยู และนับถือศาสนาพุทธ</div><div align="justify"><br />* อีสานปุระ หรือ เจิน-ละ : ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและในกัมพูชา (นักวิชาการบางคนชี้ว่าตั้งอยู่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์ในลาวภาคใต้ ปกครองโดยชาวเขมร นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธนิกายมหายาน จดหมายเหตุจีนกล่าวว่าตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของ โถ-โล-โป-ตี<br />* จามปา : ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคกลางของเวียตนาม พลเมืองชาวจามและมาเลย์นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธนิกายมหายาน จดหมายเหตุจีนระบุว่าตั้งอยู่ทางตะวันออกของอีสาน ปุระ<br />* หลั่ง-ยะ-สิว : นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่าตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง (ภาคกลางของประเทศไทย) มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนครไชยศรี (คืออำเภอเมือง จังหวัดนครปฐมในปัจจุบัน มิใช่อำเภอนครไชยศรี) พลเมืองพูดภาษามอญและเขมร นับถือศาสนาพุทธ จดหมายเหตุจีนชี้ว่าตั้งอยู่ทางตะวันออกของศรีเกษตร</div><div align="justify"><br />* โถ-โล-โป-ตี หรือ ทวารวดี : เป็นชื่อซึ่งถูกพระภิกษุหวนจาง (Hsuan Tsang)หรือหยวนจาง (Xuanzang) กล่าวถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7 นักประวัติศาสตร์บางคนชี้ว่าอาณาจักรทวารวดีตั้งอยู่ในลุ่มแม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก (ในภาคกลางของประเทศไทย) และมีเมืองหลวงคือละโว้ (อยู่ในจังหวัดลพบุรี) นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า เมืองหลวงของทวารวดีตั้งอยู่ที่นครปฐม พลเมืองพูดภาษามอญและเขมร จดหมายเหตุจีนระบุว่าตั้งอยู่ทางตะวันออกของหลั่งยะสิว<br /><br />ภาพถ่ายทางอากาศของเมืองนครไชยศรี (นครปฐม)<br /><br />ยอร์ช เซเดส์ (George Coedes) นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ค.ศ. 1862-1943 : พระอนุชาต่างพระมารดาในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผู้ทรงได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย) เป็นนักวิชาการคนแรกๆ ที่เสนอว่า “ทวารวดี” ซึ่งปรากฏอยู่ในนามเต็มของกรุงศรีอยุธยา (กรุงเทพทวารวดีกรุงศรีอยุธยา) เป็นชื่อเดียวกับ “โถ-โล-โป-ตี” ซึ่งถูกอ้างอิงในจดหมายเหตุจีน นักวิชาการกลุ่มเซเดส์-ดำรง (The Coedes – Damrong school) เชื่อว่า ทวารวดีเป็นรัฐสำคัญรัฐแรกในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันซึ่งมีอิทธิพลครอบคลุ่มหมดทั้งภูมิภาค</div><div align="justify"><br />คำว่า “ทวาระ” ในภาษาสันสกฤตต่อท้ายด้วยคำว่า “วดี” อาจแปลว่า “การเปิดประตู” หรือ “ทางเข้า” คำว่า “ทวารกา (Dwaraka)” เป็นชื่อของราชธานีในตำนานของพระกฤษณะ เทพเจ้าในศาสนาฮินดูในประเทศไทยทวารวดีเป็นชื่อของอารยธรรมสำคัญ (ถ้าหากมิได้เป็นรัฐซึ่งมีอาณาเขตกว้างขวาง) เป็นชื่อของศิลปะที่มีรูปแบบโดดเด่นระหว่างคริศต์ศตวรรษที่ 6-9 ในช่วงเวลาดังกล่าวพื้นฐานอารยธรรมทางศาสนาพุทธได้หยั่งรากลึกลงในใจกลางของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ประวัติศาสตร์ ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ หรือแม้แต่ที่ตั้งราชธานีของทวารวดีในฐานะรัฐที่มีเมืองหลวงเดี่ยวกลับเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทราบกันดีทั่งไปคือ ทวารวดีซึ่งเป็นอารยธรรมที่ใช้ ภาษามอญได้สะท้อนให้เห็นพัฒนาการของรัฐซึ่งต่อมาคือ ประเทศไทยในปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง </div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><div align="justify">นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า ราชธานีของอาณาจักรทวารวดีตั้งอยู่ที่เมืองละโว้ในเขตจังหวัดลพบุรี แต่นักวิชาการอื่นๆ แห่งสำนักเซเดส์ – ดำรง เชื่อว่าเมืองนครไชยศรี (อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม) เป็นราชธานีของทวารวดี ข้อสรุปดังกล่าววางอยู่บนรากฐานของการค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมากในจังหวัดนครปฐม โดยเฉพาะโบราณวัตถุที่พบบริเวณพระปฐมเจดีย์ วัดพระเมรุ เจดีย์จุลประโทน และเจดีย์วัดพระงาม โบราณวัตถุซึ่งค้นพบนั้นรวมถึงพระพุทธรูปหินปูนขนาดใหญ่ และธรรมจักรหินปูนมีกวางหมอบบนฐาน เชื่อว่าโบราณวัตถุเหล่านี้ถูกทำขึ้นประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 6 หรือคริสต์ศตวรรษที่ 7 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเข้ามาในภูมิภาคนี้ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (ประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ) ธรรมจักรศิลาชิ้นนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โบราณวัตถุรูปแบบคล้ายๆ กันนี้ยังถูกค้นพบในเมืองโบราณหลายแห่งของประเทศไทย อย่างไรก็ดี ขนาดและปริมาณของโบราณวัตถุที่พบในจังหวัดนครปฐม ทำให้นักวิชาการสำนักเซเดส์ – ดำรง สรุปว่าอิทธิพลทางวัฒนธรรมและการเมืองของอาณาจักรทวารวดีได้ขยายจากเมืองนครปฐมออกไปยังที่ต่างๆ ตามลำดับ</div><div align="justify"><br />รองศาสตราจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดมชี้ว่าของสรุปของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ และสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จำเป็นต้องถูกนำมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพราะ ทวารวดีอาจมิใช่รัฐสำคัญแห่งแรกในบริเวณที่เป็นดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน จากจดหมายเหตุจีนซึ่งระบุว่าทางด้านตะวันออกของโถ-โล-โป-ตี (ทวารวดี) คือรัฐหลั่ง-ยะ-สิว (Lang-ya-hsiu) เป็นข้อชี้ชัดว่าทวารวดีไม่ได้เป็นรัฐที่มีอำนาจปกครองเบ็ดเสร็จในที่ราบลุ่มภาคกลางขณะนั้น รองศาสตราจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดมยังเชื่อด้วยว่า ราชธานีของทวารวดีคือ ละโว้ หรือลพบุรี มิใช่นครไชยศรี (นครปฐม) ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เชื่อว่าหลั่ง-ยะ-สิวนั้นตั้งอยู่ไกลออกไปถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำปัตตานี เนื่องจากมีการค้นพบชุมชนโบราณหลายแห่งรวมทั้งเมืองลังกาสุกะ (Lankasuak) ด้วย อย่างน้อยที่สุด ข้อสันนิษฐานของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ดูเหมือนจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสียงที่คล้ายคลึงกันระหว่างลังกาสุกะกับ หลั่ง-ยะ-สิว</div><div align="justify"><br />รองศาสตราจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดมไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ และได้เสนอว่า หลั่ง-ยะ-สิวเป็นรัฐในลุ่มแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง มีราชธานีอยู่ที่นครไชยศรี (อำเภอเมืองนครปฐม ขณะนี้) นักวิชาการคนอื่นชี้ว่า ตำนานเกี่ยวกับนครไชยศรีบางเรืองเรียก นครไชยศรีว่า ศรีวิชัย ซึ่งเป็นรัฐชายทะเลมีอำนาจระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 อาจจะมีการเชื่อมโยงทางการเมือง และรวมตัวกัน และนักเดินเรือชาวจีนได้เรียกชื่อรวมว่า หลั่ง-ยะ-สิว (เรายังไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนในการระบุที่ตั้งของศรีวิชัย นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่า ราชธานีของศรีวิชัยตั้งอยู่ในเขตเมืองจัมบิ (Jambi) หรือ ปาเลมบัง (Palembang) ในประเทศอินโดนีเซีย นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่าราชธานีของศรีวิชัยตั้งอยู่ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี)</div><div align="justify"><br />ในขณะที่นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียงกันถึงการขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของทวารวดี และทวารวดีเป็นชื่อของอารยธรรม ชื่อของวัฒนธรรม หรือชื่อของรัฐนั้น ขอให้เรายึดหลักฐานบางอย่าง ซึ่งอาจจะทำให้มีความมั่นใจในการติดตามมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 1 ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทได้ตั้งมั่นอยู่ในชุมชนของที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลองเป็น ครั้งแรก ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และศิลปะแบบทวารวดีได้ขยายตัวจากนครไชยศรีไปทางตะวันออกสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสัก แล้วแพร่เข้าสู่เมืองศรีเทพ (ตั้งอยู่ในอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์) และแพร่ลงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นสู่ชุมชนในที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลและแม่น้ำชีในที่สุด </div><div align="justify"><br />นักเดินเรือก็มีส่วนในการนำคำสอนทางพุทธศาสนาและรูปแบบของศิลปะแบบทวารวดีไปเผยแพร่ในชุมชนโบราณทางภาคใต้ รวมทั้งสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี การค้าขายทางชายทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเจริญสูงสุดระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8-9 รัฐชายทะเล อาทิ ศรีวิชัย มีการติดต่อกับเมืองท่าชายฝั่งของคาบสมุทรมาเลย์และชายฝั่งด้านใต้ของเกาะสุมาตราเป็นสำคัญ </div><div align="justify"><br />ตามเส้นทางสายนี้ความเชื่อทางศาสนาแบบใหม่ ซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธนิกายมหายาน ศาสนาฮินดู และลัทธิตันตระ (Tantric mysticism) รวมทั้งศิลปะรูปแบบใหม่จาก เบงกอลและมคธ (ปกครองโดยราชวงศ์ปาละ) และศิลปะจากชวาได้เข้าไปถึงนครไชรศรี จากนั้นจึงพัฒนาและแพร่ออกไปสู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง และภาคตำวันออกเฉียงเหนืออย่างทั่วถึง นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีบางคนระบุว่าบทบาทที่ศรีวิชัยมีต่อการแพร่กระจายของศาสนาใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจอธิบายได้ชัดเจนในฐานะของอิทธิพลที่ครอบงำอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 8</div><div align="justify"><br />งานวิจัยของรองศาสตราจารย์ ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม เสนอว่าทวารวดีมิได้ล่มสลายไปอย่างฉับพลันทันใดเนื่องจากการเติบโตขึ้นมาของศรีวิชัย อิทธิพลของวัฒนธรรมทวารวดีค่อยๆ จางหายไป เนื่องจากคนในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยอมรับความเชื่อในศาสนาใหม่ ซึ่งพ่อค้านำเข้ามาระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7-11 อันเป็นช่วงที่เรียกว่า สมัยศรีวิชัย<br /><br /><br />ภาพธรรมจักรศิลา<br /><br /><br />ภาพถ่ายทางอากาศเมืองนครปฐม<br /><br /><span style="font-size:130%;">6.ศรีวิชัยอยู่ที่ไหน</span><br /><br />ดังได้กล่าวในบทความตอนที่แล้วว่า การค้าขายทางทะเลใน S.E.A. มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 8-9 นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่า ช่วงนี้ศรีวิชัยเป็นรัฐที่มีอำนาจมากที่สุดใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถคุมเมืองท่าชายทะเลใหม่ๆ ตามชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมาเลย์ และฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะสุมาตรา </div><div align="justify"><br />นักประวัติศาสตร์อื่นๆ ตั้งข้อสงสัยว่า ศรีวิชัยเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองแต่เพียง รัฐเดียวหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานโบราณคดีเพียงพอที่จะชี้ให้เห็นขอบเขตทางภูมิศาตร์ และที่ตั้งราชธานีของรัฐนี้ หากเชื่อว่าศรีวิชัยเป็นรัฐที่มีเมืองหลวงเดี่ยว นักประวัติศาสตร์ซึ่งตั้งข้อสงสัยเช่นนี้ คือ รองศาสตราจารย์ดร.ธิดา สาระยา แห่งคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในงานวิจัยเรื่อง (ศรี) ทวารวดี (กรุงเทพ : เมืองโบราณ 1995) รองศาสตราจารย์ดร.ธิดา สาระยาได้อ้างอิงหลักฐานของนักเดินเรือชาวอาหรับหรือเปอร์เซีย เมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 8 หลักฐานชิ้นนี้กล่าวถึง รัฐร่ำรวยซึ่งปกครองโดยมหาราชาแห่งซาบัค (The Maharaja of Zabag) ผู้ทรงเป็น “ราชา ของหมู่เกาะแห่งทะเลบูรพา” นักวิชาการบางคนกล่าวว่า ซาบัค อาจเป็นอีกชื่อหนึ่งของศรีวิชัยก็ได้</div><div align="justify"><br />รองศาสตราจารย์ดร.ธิดา สาระยา ชี้ให้เห็นถึงการขาดหลักฐานทางโบราณคดีมาสนับสนุน ทฤษฎีอันหลายหลายเกี่ยวกับศรีวิชัย และชี้ว่าควรมีการทำวิจัยเรื่องศรีวิชัยให้มากกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ก่อนที่จะสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ราชธานีของศรีวิชัยอยู่ที่ไหน หรือก่อนที่จะเสนอสมมุติฐาน เกี่ยวกับการขยายอิทธิพลของเขตแดนของศรีวิชัย อย่างไรก็ดี รองศาสตราจารย์ดร.ธิดา สาระยา กล่าวต่อไปว่า มีหลักฐานทางโบราณคดีอย่างพอเพียงที่จะระบุจุดกำเนิดของเมืองท่าขนาดใหญ่ตามชายฝั่งของอ่าวไทย รองศาสตราจารย์ดร.ธิดา สาระยา คิดว่าทั้งเมืองนครไชยศรี (คือเมืองโบราณในจังหวัดนครปฐม ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นชุมชนที่ใหญ่ที่สุดก่อนสมัยอยุธยา ที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในประเทศไทย) และศรีวิชัย ได้ขึ้นมามีอำนาจโดดเด่นในช่วงเวลาเดียวกัน และเชื่อว่าศรีวิชัยได้ทำการค้าอย่างคึกคักกับหมู่เกาะและรัฐชายทะเลในมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้</div><div align="justify"><br />ในปี ค.ศ. 1918 นักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศสได้เสนออย่างหนักแน่นว่าอาณาจักร ศรีวิชัยมีฐานะเป็นมหาอำนาจทางการเมืองใหญ่ ซึ่งควบคุมหมู่เกาะทั้งหมดทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรมาเลย์ และเมืองท่าบางแห่งที่อยู่ตามคาบสมุทร โดยมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ปาเล็มบัง ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสุมาตรา ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ มีหลักฐานสนับสนุนแนวคิด ดังนี้ </div><div align="justify"><br />· แผ่นหินมีจารึกพบในเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวถึงพระเจ้ากรุงศรีวิชัย ปีศักราชที่จารึกตรงกับ ค.ศ 775 </div><div align="justify"><br />· จดหมายเหตุจีนของพระภิกษุอี้ชิง (I-tsing) ระบุว่าระหว่างการเดินทางไปอินเดียเมื่อ ปี ค.ศ. 671 เขาได้แวะพักที่ ชิ-ลิ-โฟ-ชิ (Shih-li-fo-shi) เพื่อศึกษาพุทธศาสนาและไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เชื่อว่า ชิ-ลิ-โฟ-ชิ เป็นคำเรียกศรีวิชัยของพระภิกษุอี้ชิง </div><div align="justify"><br />· มีศิลาจารึก 4 หลัก ภาษามลายูโบราณพบในสุมาตรา โดยพบใกล้ปาเล็มบัง 3 หลัก หลักที่ 4 พบในกะรังบาไฮ (Karang Brahi) ใกล้กับลุ่มน้ำบาตังฮารี (Batang Hari River) และตอนหลังนักวิชาการสำนักเซเดส์อ้างว่าได้พบศิลาจารึกหลักที่ 5 ที่โกตา กาปูร์ (Kota Kapur) บนเกาะบังกา (Bangka) ทางด้านตะวันออกของเกาะสุมาตรา </div><div align="justify"><br />ตามความคิดของเซเดส์และผู้สนับสนุน ศิลาจารึกเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการมีตัวตนของอาณาจักรที่นับถือศาสนาพุทธและมีอำนาจอยู่ในปาเล็มปังอย่างน้อย 4 ปี (ค.ศ. 682-686) จากหลักฐานในศิลาจารึก อาณาจักรซึ่งเซเดส์เชื่อว่ามีนามว่าศรีวิชัยนี้เพิ่งจะไปทำสงครามชนะ รัฐจัมบิ (Jambi) และบังกา กำลังเตรียมยกทัพไปปราบชวา</div><div align="justify"><br />ทฤษฎีของเซเดส์กระตุ้นให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีทั้วโลกหันมาทำวิจัยเกี่ยวกับศรีวิชัย นักวิชาการส่วนใหญ่ยอมรับทฤษฎีของเซเดส์จากการค้นพบศิลาจารึกและประติมากรรมเนื่องในศาสนาพุทธ อาทิ รูปพระโพธิสัตว์ ทั้งในรอบๆ เมืองปาเล็มบัง อันชี้ชัดว่าเมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของศรีวิชัย<br />ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าภัทรดิศ ดิศกุล ทรงเป็นนักวิชาการสำคัญผู้หนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของเซเดส์ ทรงชี้ว่า โบราณวัตถุเนื่องในพุทธศาสนาซึ่งพบในสุมาตรา ถูกสร้างขึ้นหลังยุครุ่งเรือง ของอาณาจักรศรีวิชัย (หลังคริสต์ศตวรรษที่ 8-9) นักวิชาการอื่นๆ ก็ตั้งคำถามว่าทำไมศิลาจารึกเป็นภาษามลายูแทนที่จะเป็นภาษาสันสกฤต อันเป็นภาษาที่ใช้ในศิลาจารึกสมัยศรีวิชัยทั้งหมดที่พบในประเทศไทย</div><div align="justify"><br />ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นักวิชาการซึ่งไม่เชื่อความคิดของสำนักเซเดส์ยืนยันว่า ศรีวิชัยไม่มีราชธานีถาวรและศูนย์กลางอำนาจของศรีวิชัยจะย้ายจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของผู้ปกครองในรัฐ และในช่วงเวลาต่างๆ เมืองหลวสงของศรีวิชัยอาจตั้งอยู่บนเกาะแห่งเดียวหรือเกาะสองแห่งขึ้นไปในทะเลชวาบนคาบสมุทรมาเลย์ หรือแม่แต่ที่นครไชยศรี (คือเมืองนครปฐมปัจจุบัน) ก็ได้ ข้อสนับสนุนว่าคนนครไชยศรีเป็นราชธานีของศรีวิชัยมาจากหลักฐาน 2 ประการ คือ มีตำนานเกี่ยวกับชีวิตในเมืองนครไชยศรี เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างที่ศรีวิชัยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด แม้ว่าหลักฐานสนับสนุนแต่ละทฤษฎีจะมีน้อยแต่นักวิชาการคนอื่นๆ ก็เชื่อว่า ราชธานีของศรีวิชัยอาจตั้งอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย</div><div align="justify"><br />หลักฐานโบราณวัตถุซึ่งนักโบราณคดีค้นพบในภาคใต้พิสูจน์ให้เห็นว่าเคยมีชุมชนขนาดใหญ่หลายชุมชนตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ชุมชนใหญ่ดังกล่าวได้แก่เมืองไชยา (อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี) เมืองนครศรีธรรมราช (อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช) เมืองสะทิงพระ (รอบทะเลสาบสงขลา บางส่วนของอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราชกับจังหวัดพัทลุง และจังหวัดสงขลา) เมืองปัตตานี (ปัจจุบันคือจังหวัดปัตตานีและจังหวัดยะลา) ชุมชนทั้งหมดนี้มีการติดต่อกับเมืองและรัฐต่างๆ ทางชายฝั่งตะวันตก รวมทั้งชุมชนในแหล่งโบราณคดีอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ เมืองในจังหวัดตรัง และอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าจากหลักฐานที่พบค่อนข้างน้อยในปัจจุบัน ถึงจะทำให้สามารถระบุตำแหน่งของเขตภูมิศาสตร์ของรัฐศรีวิชัยได้อย่างถูกต้องแต่ก็ควรถกเถียงเฉพาะประเด็นสำคัญเพียง 2 เรื่อง คือองค์ประกอบทางการเมือง และรูปแบบทางศิลปะจะเหมาะสมกว่า ทางด้านการเมืองนั้น นักวิชาการ กลุ่มนี้เสนอว่า ศรีวิชัยมิใช่ชื่อของอาณาจักรที่มีราชธานีตั้งมั่นอย่างถาวร หากแต่เป็นชื่อที่ใช้อธิบายลักษณะทางศิลปะและวัฒนธรรมของกลุ่ม เมืองและรัฐที่มีการปกครองตนเองในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ซึ่งรวมกันเป็นสหพันธ์รัฐเพื่อตักตวงผลประโยชน์จากการค้าขายทางทะเล นักวิชาการเชื่อว่า ศาสนาพุทธนิกายมหายานเป็นปัจจัยที่ทำให้มีการรวมตัวของศรีวิชัย และทำให้เกิดพัฒนาการของรูปแบบศิลปะที่สำคัญ (ภายหลังเรียกว่าศิลปะศรีวิชัย) โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะคุปตะ (Gupta) ศิลปะหลังคุปตะ (Post-Gupta) และศิลปะปาเลเสนะ (Pala-Sena) ซึ่งนำเข้ามาจากอินเดียระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 </div><div align="justify"><br />ในบทความคราวที่แล้ว ข้าพเจ้าชี้ว่า จากหลักฐานที่เรามีอยู่เพียงเล็กน้อย จะพบว่าศรีวิชัยมีอำนาจโดดเด่นขึ้นมาภายหลังจากอิทธิพลของทวารวดีถดถอยลง จึงอาจเป็นไปได้ว่าราชธานีของทั้งทวารวดีและศรีวิชัยนั้นตั้งอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งของที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีน ทำให้บางครั้งข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่า อารยธรรมทั้งสองนั้นอาจจะมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภายใต้ชื่อ “ทวารวดี ศรีวิชัย” ก็ได้<br /><br /><br />แผนผังเมืองโบราณ<br /><br /><br />ภาพอวโลกิเตศวร </div><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">ชุมชนโบราณบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทร<br /></span><br /><span style="font-size:130%;">ไชยา</span> : ตั้งอยู่ในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ่อค้าจากชุมชนแห่งนี้เปิดการค้าขายสองเส้นทางกับชุมชนทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรจากอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มุ่งสู่อำเภอ ห้วยยอด จังหวัดตรัง และล่องตามลำน้ำคีรีรัฐและคลองโศกข้ามเทือกเขาโศก และทางเหนือของแม่น้ำตะกั่วป่า มุ่งหน่างยังอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา </div><div align="justify"><br />ไชยายังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมืองและรัฐอื่นๆ ในที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยา โบราณวัตถุสมัยทวารวดี รวมทั้งพระพุทธรูปจำนวนมากก็ถูกค้นพบในบริเวณนี้ แสดงว่าคนในเมือง ไชยานับถือศาสนาพุทธ </div><div align="justify"><br />น<span style="font-size:130%;">ครศรีธรรมราช </span>: เมืองหลวงอาจตั้งอยู่ที่บริเวณตัวจังหวัด ชื่อเดียวกัน<br />หลักฐานใหม่ที่ขุดพบในช่วงทศวรรษที่ 1970 ชี้ว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 8-9 ชุมชนแห่งนี้ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเพื่อนบ้าน โดยการยอมให้พ่อค้าของตนเดินทางไปยังชุมชนทางด้านชายฝั่งตะวันตก (ในกระบี่และตรัง) โดยอาศัยเส้นทางผ่านเขาหินปูน </div><div align="justify"><br />ศิลาจารึกและหลักฐานเอกสารของนักเดินเรืออาหรับและจีนระบุชื่อชุมชนแห่งนี้ว่า ตามพรลิงค์ หรือ ตัง-หม่า-หลิง (Tang-ma-ling) และระบุพระนามของกษัตริย์แห่งนครศรีธรรมราชว่า ศรีธรรมาโศกราช หรือ ธรรมราชาจันทรภาณุ การค้นพบโบราณวัตถุ อาทิ ศิวลึงค์ (สัญลักษณืแห่งความอุดมสมบูรณ์แทนองค์พระศิวะเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่หนึ่งในสามของศาสนาฮินดู-ตรีมูรติ) ทำให้นักวิชาการเชื่อว่าชาวนครศรีธรรมราชเดิมทีเคยนับถือศาสนาฮินดู แล้วเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธในภายหลัง ต่อมานครศรีธรรมราชได้กลายเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในภาคใต้ของประเทศไทย </div><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">เมืองสะทิงพระ :</span> ท่าเรือสำคัญซึ่งควบคุมพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลา ปัจจุบันอยู่ในอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราชกับจังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุง ศูนย์กลางของชุมชนคือ “แผ่นดินบก” ปัจจุบันอยู่ในอำเภอระโนด อำเภอสะทิงพระ และอำเภอเมืองจังหวัดสงขลา นักโบราณคดีชี้ว่า ชาวสะทิงพระเดิมนับถือศาสนาฮินดูก่อนจะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธเช่นกัน </div><div align="justify"><br /><span style="font-size:130%;">เมืองปัตตานี :</span> อยู่ในจังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา มีเมืองสำคัญ (อาจเป็นเมืองหลวง) คือ เมืองยะรัง (ปัจจุบันเป็นอำเภออยู่ในจังหวัดปัตตานี) เป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำปัตตานี และตามที่ราบลุ่มแม่น้ำปัตตานี เดิมทีนับถือศาสนาฮินดูก่อนที่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ชุมชนนี้มีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับเมืองไทรบุรีในประเทศ มาเลย์เซียในปัจจุบัน<br /><br /><span style="font-size:130%;">บรรณานุกรม(ชั่วคราว)</span><br /><a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a>Sujit Wongthes “ Once Upon a Time” Siam-Thai Millennium: One Thousand Eventful Years, published in Focus, The Nation; Aprill 19, 1999,p.c1.<br /><a style="mso-footnote-id: ftn2" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> Sujit Wongthes, “Entrepot of Culture” Siam –Thai One Thousand Eventful Years Millennium, published in Focus, The Nation , May3, 1999,p.c1<br /><a style="mso-footnote-id: ftn3" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=7634356418552061557#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> Michael Wright, ”A Question of Identity” Siam-Thai One Thousand Eventful Years Millennium, published in Focus, The Nation, May 31, 1999,p.c1.</div>พิทยะ ศรีวัฒนสาร Bidya Sriwattanasarnhttp://www.blogger.com/profile/10428259282087504977noreply@blogger.com1