จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

“อยู่เป็นนิ่งอัน” ในพงศาวดารฉบับวันวลิตไม่ใช่“บุคคลซึ่งปรากฏตัวอยู่แต่เงียบเฉย"

“อยู่เป็นนิ่งอัน” ในพงศาวดารฉบับวันวลิตไม่ใช่“บุคคลซึ่งปรากฏตัวอยู่แต่เงียบเฉย"

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร

ผู้เขียนอ่านพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิตพ.ศ.2182 ตีพิมพ์ในรวมบันทึกประวัติศาสตร์ของฟานฟลีต(วัน วลิต) กรมศิลปากรพิมพ์ พ.ศ.2546 ด้วยความชื่นชมต่อคุณูปการของ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต(Jeremias van Vliet) และดร.เลียวนาร์ด แอนดายา(Dr.Leonard Andaya) ผู้แปลจากภาษาดัทช์เป็นอังกฤษ รวมถึงอาจารย์ วนาศรี สามนเสนผู้แปลจากภาษาอังกฤษ การถอดเสียงชื่อไทยเป็นคำดัทช์แล้วถ่ายเป็นคำไทยมีความยุ่งยาก ส่วนใหญ่ถูกต้องเพราะมีชื่อไทยเป็นหลักให้เทียบเสียง เช่น พระนามของกษัตริย์ ชื่อบรรดาศักดิ์และนามเมือง

บางชื่อเมื่อถ่ายเสียงเป็นคำไทยกลับมีความหมายห่างจากเค้าเดิมโข อาทิ คำว่า “Jaeu penninghans” วันวลิตรายงานว่าเป็นข้าราชการสังกัดกรมพระคลังจำนวน 64 คน ภาษาสยามเรียกว่า “อยู่เป็นนิ่งอัน” ดร.แอนดายาอธิบายว่าหมายถึง “บุคคลซึ่งปรากฏตัวอยู่แต่เงียบเฉย(น.232)” ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทในราชสำนัก
ผู้เขียนเห็นว่า ควรจะแปลตำแหน่ง "Jaeu penninghans" ในพงศาวดารฉบับวันวลิตนี้ว่า “ชาวพนักงาน หรือ เจ้าพนักงาน”มากกว่า!


แผนที่อยุธยาระบุในเอกสารการสัมมนา400ปี สยาม-ฮอลันดาของสถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ณ กรุงเทพฯว่า เขียนโดยชาวดัทช์

สำเนียงคนกรุงเทพฯเป็นสำเนียงชาวเมืองกรุงเก่ามิใช่สำเนียงจีนแต้จิ่ว

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร

ผู้รู้เคยเสนอไม่ต่ำกว่า 25 ปี มาแล้วว่า สำเนียงกรุงเทพฯเป็นสำเนียงแต้จิ๋ว และนักร้องเพลงเพื่อชีวิตเคยระบุว่า สำเนียงสุพรรณบุรีเป็นสำเนียงคนเมืองหลวงในอดีตเช่นกัน และสืบเนื่องจากการสัมมนาเรื่อง “ย้อนรอยอารยธรรมสยาม-โลกตะวันตก” ระหว่างวันพฤหัสบดีที่15-ศุกร์ที่16 กรกฎาคม 2553 ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา โดยสถาบันอยุธยาศึกษากับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย อาจารย์ผู้ใหญ่เสนอว่าสำเนียงชาวอยุธยาปัจจุบันเป็นสำเนียงคนเมืองหลวงในอดีตสะท้อนจากหลักฐานเสียงทำนองการพากย์โขน








ในช่วงท้ายของการสัมมนาผู้เขียนแย้งว่า สำเนียงกรุงเทพฯเป็นสำเนียงแบบชาวเมืองกรุงเก่า(ชาวเมืองพระนครอยุธยา) อาทิ ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ คหบดีและชาวเมืองที่เหลือรอดมาจากการถูกกวาดต้อนไปยังพม่า ขณะที่พื้นที่ภายในกำแพงเมืองเดิมถูกทิ้งร้างอยู่จนถึงสมัยรัชกาลที่3 (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)และคนอยุธยาที่ยังหลงเหลืออยู่ในพื้นที่หรือกลับมาอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องชาวนา ชาวชนบทและชาวมุสลิมจำนวนหนึ่งทำให้สำเนียงชาวอยุธยาปัจจุบันเป็นสำเนียงดั้งเดิมของตามแบบของคนชนบทที่สืบทอดต่อกันมาหลังเสียกรุง

ภาพประกอบจากหนังสือแบบหัดอ่าน ก ข ก กา ของพระยาผดุงวิทยาเสริม(กำจัด พลางกูร) ขอขอบคุณยิ่ง



ภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือบริเวณแนวกำแพงเมืองด้านในจุดใกล้เคียงกันกับที่ตาโป๊ถูกม้าเตะขาโปถัดจากป้อมมหากาฬ


อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านยืนยันอธิบายว่า ผู้ดีและเชื้อพระวงศ์ชาวกรุงเก่าถูกกวาดต้อนไปพม่าจนหมดสิ้นแล้ว และสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว การอพยพเข้ามาของคนจีนแต้จิ๋วซึ่งมีอัตราสูงมากหลังสมัยอยุธยา ทำให้สำเนียงคนกรุงเทพฯปัจจุบันเป็นสำเนียงแบบจีนแต้จิ๋ว และอาจารย์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีหลักฐานใหม่ๆมานำเสนอในโอกาสต่อไปก็พร้อมที่จะรับฟัง

โจทย์นี้ติดตรึงอยู่ในใจผู้เขียนมาโดยตลอด จึงครุ่นคิดแก้ปัญหาอยู่เป็นเวลานาน เนื่องจากเห็นว่า แม้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว แต่การที่โครงสร้างทางสังคมไทยมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ทำให้พระองค์ทรงได้รับการศึกษาอย่างไทย ทรงบวชอย่างชาวพุทธ ทรงศึกษาตำราพิชัยสงครามของไทยและทรงคลุกคลีกับราชสำนักสยามมากกว่าจะคลุกคลีกับพ่อค้าจีน หรือคนจีนอพยพหรือทรงศึกษาตำราพิชัยสงครามซุนหวู่พากย์จีน

การที่ผู้เขียนเห็นว่า สำเนียงกรุงเทพฯเป็นสำเนียง "ชาวเมือง" พระนครศรีอยุธยา ก็เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนว่า หลังสงครามกอบกู้อิสรภาพของสมเด็จพระเจ้าตากสินในปีพ.ศ.2311 เจ้านายส่วนหนึ่งที่ทรงหลบอยู่ในเมืองลพบุรีและบริวารที่ตามเสด็จ รวมขุนนางเก่าจากราชธานี(ยกกระบัตร)ที่รับราชการอยู่ตามหัวเมืองและบริวารต่างก็ทยอยกลับเข้ามารับราชการที่กรุงธนบุรี บุคคลเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของโครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมสยามที่ทำให้มีการสืบทอดสำเนียงภาษาของผู้ดีชาวกรุงเก่าเอาไว้อย่างเข้มแข็งและมั่นคง เจ้าไปทางไหน ผู้นำไปทางไหน ผู้ดีนิยมอย่างไร ผู้ใหญ่ปลูกฝังสั่งสอนแบบไหน คนไทยในอดีตก็มักพร้อมที่จะเชื่อฟังเจริญรอยตาม และคงจะไม่เอาแบบอย่างของกรรมกรกุลี พ่อค้าอพยพมาใช้เป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตโดยไม่จำเป็นอย่างแน่นอน

ขณะที่คนจีนซึ่งอพยพเข้ามายังสยามเมื่อจะค้าขายกับชาวสยาม ก็ต้องพยายามสร้างความกลมกลืนให้เกิดขึ้นกับคนไทยให้มากที่สุด โดยหัดพูดไทย มีเมียไทยหรือคนพื้นเมือง มีลูกก็ให้เรียนหนังสือไทย เพื่อความก้าวหน้าทางด้านการค้าและการเมือง ดังนั้นในวิถีชีวิตแบบพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยจริงๆจึงมักจะมีเรื่องตลกพื้นบ้านล้อเลียนคนจีนพูดไทยไม่ชัด มีภาพกากแบบวิจิตรกามา(Erotic Art)ล้อเลียนความกระหายของหนุ่มจีนที่จากเมียมาค้าขายในจิตรกรรมเวสสันดรชาดก เบื้องขวาพระประธานที่วัดสุวรรณดารารามในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา(ด้านล่าง) เป็นต้น


ชาวสยามน่าจะมีน้อยคนเรียนภาษาจีน ล่ามภาษาจีนจึงน่าจะเป็นลูกหลานจีนที่เกิดในชุมชนจีนในสยามเช่นเดียวกับล่ามโปรตุเกสหรือล่ามฝรั่งเศส ก็มักจะเป็นคนในหมู่บ้านโปรตุเกสเป็นส่วนใหญ่ หากจะมีคำจีนปะปนอยู่ในภาษาไทยบ้างก็ไม่น่าจะส่งผลให้สำเนียงไทยแปรเปลี่ยนไปคล้ายกับสำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาเวียดนามซึ่งเป็นภาษาคำโดดแบบภาษาไทย กลับมีโทนเสียงที่คล้ายกับภาษาไทยมากกว่าภาษาจีนเสียอีก สำเนียงแต้จิ๋วจึงไม่น่าจะแทรกซึมเข้ามามีอิทธิพลต่อภาษาในชีวิตประจำวันของชาวกรุงเทพฯจนถึงกับจะกล่าวได้เป็นสำเนียงแต้จิ๋วไปเสียทีเดียวกระนั้น

ผู้เขียนเห็นว่า เสียงพากย์โขนเป็นศิลปะการแสดงที่ไม่ใช่สำเนียงการพูดในชีวิตประจำวันของชาวเมืองพระนครศรีอยุธยา การพากย์โขนเป็นรูปแบบอย่างหนึ่งของศิลปะไทยในอดีตซึ่งมีอยู่อย่างหลากหลาย อาทิ การร้องลำตัด เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงพื้นบ้านต่างๆ การแหล่ การอ่านบทประพันธ์โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เสภา และสักวา เป็นต้น ถ้าสำเนียงการสนทนาของชาวเมืองพระนครศรีอยุธยามีท่วงทำนองแบบเสียงพากย์โขน หรือเสียงทำนองแหล่ หรือเสียงทำนองเสภา เพลงยาว เพลงฉ่อย อีแซว ฯลฯ ความพิเศษของศิลปะดังกล่าวก็อาจแทบจะไม่หลงเหลือให้เห็นกันอีกต่อไป กลายเป็นท่วงทำนองที่ “แสนจะธรรมดาในชีวิตประจำวัน” และจะใช้จีบ ใช้ชม ใช้ด่า หรือใช้กระแหนะกระแหนผู้คนอย่างไรก็ไม่มีความพิเศษพิสดารอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน[1]

ผู้เขียนพบหลักฐานชิ้นหนึ่งในหนังสือ สาส์นสมเด็จฉบับที่ยังไม่ตีพิมพ์พ.ศ.2475[2] สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระวินิจฉัยเมื่อ 78 ปี ที่แล้วว่า สำเนียงของชาวกรุงเทพฯ มาจากพระนครศรีอยุธยา ดังนี้[3]

“ทูลสมเด็จกรมพระนริศ
วันนี้มานึกอะไรขึ้นอีกอย่างหนึ่งเนื่องด้วยพระดำริของท่านว่า บัญญัติวรรณยุตให้ใช้เอกโท ตามเสียงสูงต่ำ จะเปนของที่เกิดขึ้นชั้นหลังไม่นานนัก มาเกิดปรารภขึ้นว่าแต่ก่อนมา ไทยเราพูดสำเนียงต่างๆกัน ตามถิ่นที่อยู่ ซึ่งยังยังพอหาตัวอย่างชี้ได้ในปัจจุบันนี้ เช่น ชาวนครศรีธรรมราชก็สำเนียงอย่าง๑ ชาวนครราชสีมาก็สำเนียงอย่าง๑ แม้ชาวเมืองสมุทสงคราม ชาวเมืองเพ็ชรบุรีและชาวเมืองสุพรรณบุรีก็มีสำเนียงต่างไปจากชาวกรุงเทพฯ เพิ่งจะมาเหมือนกันขึ้นแพร่หลายเมื่อมีโรงเรียนเกิดขึ้นและการคมนาคมสดวกขึ้น ว่าฉะเพาะชาวเหนือเมื่อครั้งเปนมณฑลราชธานีในสมัยสุโขทัย ก็คงมีสำเนียงไปอีกอย่าง๑ ข้อนี้เห็นได้ในบทเสภาที่แต่งเพียงเมื่อรัชชกาลที่๒และที่๓ กรุงรัตนโกสินทร์นี้ยังว่า “ชาวเหนือเสียงเกื๋อไก่” แปลว่าสำเนียงไม่เหมือนชาวกรุงเทพฯ สำเนียงอย่างเราพูดกันในกรุงเทพฯ เห็นจะสืบมาแต่สำเนียงชาวพระนครศรีอยุธยา ด้วยเหตุดังทูลมา ชาวมณฑลและเมืองที่สำเนียงเปนอย่างอื่น ย่อมเขียนวรรณยุตตามเสียงไม่ได้ หม่อมฉันเคยถามพระยาวิเชียรคีรี(ชม)[4] ว่า สำเนียงแกพูดไม่เหมือนชาวบางกอก แกเขียนหนังสือลงเอกโทด้วยเอาหลักอย่างไร แกตอบว่า ใช้จำว่า ชาวบางกอกเขาเขียนคำใช้เอกโทอย่างไรก็เขียนตาม”

ภาษาแต้จิ๋วอาจแทรกซึมเข้ามาบ้างในชีวิตประจำวันของชาวกรุงเทพฯ บางส่วน แต่ไม่ได้เป็นโครงสร้างหลักของภาษาไทย หนังสือแบบหัดอ่าน ก ข ก กา โดยพระยาผดุงวิทยาเสริม(กำจัด พลางกูร)[5] ตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารวิทยาจารย์เล่ม11 ตอนที่ 7 ร.ศ.129 (พ.ศ.2453) ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวบันทึกถึงเสี้ยวหนึ่งของการเข้ามาผสมผสานทางวัฒนธรรมของภาษาแต้จิ๋วในภาษาไทยตอนหนึ่งว่า


“ ตาอ่ำ เกาะเต่า(พื้นเพเป็นชาวเกาะเต่า: พิทยะ)มีเคหาที่ประตูผี แกมีม้าสี่ตัว เวลาเช้าแกพาม้าสี่ตัวไปที่ท่าน้ำ แกมัวดูเรือลำโตรั่ว น้ำเข้าอู้อู้เสีย ม้าก็เปะปะมาที่ประตูผี ตาโป๊เจียะเจไปซื้อถั่วดำ ถั่วพูมะเขือเต้าหู้ จะมาคั่วกะกะทิ ตาโป๊ตามัวไม่รู้ว่ามีม้ามาเกะกะ ม้าเตะแกเผียะเข้าที่ขา แกเซไปปะทะเสาไฟฟ้า ได้แต่ว่า “ไอ๊ย่า ไอ๊ย่า อั๊วซี้ฮ่า เค้าเป๋แท้ๆ” พอแกทุเลา แกก็เตาะแตะไปหาเจ้าหน้าที่ให้ชำระให้แก เจ้าหน้าที่เขารู้เขาก็ไปเกาะตัวตาอ่ำมา ตาโป๋ [6] ว่า “ทำไมลื้อให้ม้าเตะอั๊วขาโป(ขาบวม: พิทยะ)” ตาอ่ำ เกาะเต่าเสียใจไม่รู้ว่ากะไร ได้แต่ว่า “หึหึ” เจ้าหน้าที่ดุตาอ่ำ เกาะเต่าว่าไม่ดูม้า ให้ม้ามาเกะกะและให้ตาอ่ำ เกาะเต่า เสียค่ายาทาขาตาโป๊ ตาอ่ำ เกาะเต่าจะให้ตาโป๊น่อจี๋ตาโป๊ว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ ม้าเตะอั๊วขาโปโตโต อั๊วจะเอาซาจี๋” ตาอ่ำ เกาะเต่าเสียใจจำใจให้ซาจี๋ ตาโป๊ดีใจหัวเราะแหะแหะ...”[7]


ภาษาแต้จิ๋วที่ปรากฏในย่อหน้าข้างต้น ได้แก่ ชื่อ “ตาโป๊เจียะเจ(ตาโป๊กินเจ)” เป็นคำเรียกชาวจีนที่มีคำนำหน้านามแบบไทยผสม ไม่เรียกอาแป๊ะ อากง(ลุง ตา)แบบจีนทั้งหมด เต้าหู้ หมายถึง ส่วนประกอบอาหารจีนชนิดหนึ่งทำจากถั่ว “ไอ๊ย่า ไอ๊ย่า อั๊วซี้ฮ่า เค้าเป๋แท้ๆ” เป็นคำร้องอุทานตกใจแบบจีน อาจแปลได้ว่า “โอ๊ย โอ๊ย ข้าตายห่า ฉิบหายแท้ๆ” คำว่า “อั๊ว” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 แปลว่า ข้า ผม ฉัน กู ส่วนคำว่า “ลื๊อ” เป็นสรรพนามบุรุษที่2 แปลว่า ท่าน คุณ มึง “น่อจี๋” แปลว่า 2 สลึง “ซาจี๋” แปลว่า 3 สลึง คำเหล่านี้เป็นคำดาดๆในตลาดที่มีการค้าขายระหว่างไทย-จีนเท่านั้น ซึ่งไม่อาจแทรกซึมส่งผลทำให้สำเนียงผู้ดีชาวกรุงเก่าที่เข้ามาอยู่ในเมืองบางกอกแปรปรวนได้เลย


แม้เพลงไทยจำนวนหนึ่งจะมีเพลง “สำเนียง(ทำนอง)จีน”อยู่บ้าง อาทิ เพลงแป๊ะสามชั้น และมีการแปลวรรณกรรมจีนสามก๊กและอื่นๆ เป็นภาษาไทย แต่ในระบบฉันทลักษณ์ชั้นสูง อาทิ โคลงฉันท์ กาพย์ กลอน นั้นกลับจะไม่พบอิทธิพลของภาษาแต้จิ๋วให้เห็นแม้แต่น้อย เนื่องจากคนไทยไม่ถูกบังคับให้เรียนต้องเรียนภาษาจีนตามแบบอย่างที่ปรากฏในวัฒนธรรมเวียดนาม เกาหลีและธิเบต


จึงอาจจะกล่าวในที่นี้ได้ว่า สำเนียงของคนกรุงเทพฯปัจจุบัน เป็นสำเนียงของผู้ดีหรือสำเนียงเมืองหลวงแบบชาวกรุงเก่า ไม่ใช่สำเนียงเนียงแบบจีนแต้จิ๋วแต่อย่างใด ขณะที่สำเนียงของชาวอยุธยาในปัจจุบันหรือแม้แต่สำเนียงเหน่อของคนแถบปริมณฑลกรุงเทพฯ เป็นสำเนียงหยั่งรากลึกแบบชาวชนบทที่มิได้ตามเคลื่อนย้ายตามผู้นำทางการเมืองลงมายังศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมแห่งใหม่ของสยาม สำเนียงของพวกท่านเหล่านั้นจึงเป็นสำเนียงชาวบ้านมิใช่สำเนียงแบบราชธานี


ผู้เขียนยอมรับว่า ปัจจุบันภาษาไทยและเพลงไทยบางเพลงมีอิทธิพลของสำเนียงอังกฤษเข้ามาผสมผสาน มีสาเหตุจากการที่นักเรียนไทยส่วนหนึ่งต้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง หรือเกิดจากอิทธิพลทางการค้าขาย หรือการสื่อสารทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น และหลักฐานสำคัญสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากความนิยมของชนชั้นนำที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันค่อนข้างมากจากความตื่นตัวในการรับอารยธรรมตะวันตกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4-5 จึงปรากฎการใช้คำภาษาอังกฤษ อาทิ คำว่า "เปิ๊สก้าด-first class" "สเตแท่น-Station" "ตะแล่บแก๊บ-Telegraph" จนถึงคำว่า "โอเค-OK!" อย่างกว้างขวางในสังคมไทยมาโดยลำดับ


[1] การใช้ศิลปะเพลงฉ่อย ลำตัดหรือเพลงพื้นเมืองอื่นๆ ลอยหน้า ลอยตา กรีดกราย จีบ ชม ด่า กระแหนะกระแหนทางการเมืองสามารถสร้างความครื้นเครงและแนวร่วมทางการเมืองได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด
[2] มูลนิธิสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและหม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล พระธิดา จัดพิมพ์(2533, หน้า2)
[3] สะกดตามต้นฉบับ
[4]พระยาวิเชียรคีรี(ชม ณ สงขลา)
[5] ตีพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงจรูญ ผดุงวิทยาเสริมและนางสาวจรวยรส พลางกูร ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม. วันอาทิตย์ที่28 เมษายน พ.ศ. 2528
[6] ตามต้นฉบับ
[7] พระยาผดุงวิทยาเสริม(กำจัด พลางกูร). แบบหัดอ่าน ก ข ก กา. ตีพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงจรูญ ผดุงวิทยาเสริมและนางสาวจรวยรส พลางกูร ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม. วันอาทิตย์ที่28 เมษายน พ.ศ. 2528, หน้า 25-26

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หลักฐานที่น่าสนใจจากการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรค์

หลักฐานที่น่าสนใจจากการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ในปีงบประมาณ 2540 บริษัทมรดกโลก จำกัด ได้รับว่าจ้างจากสำนักโบราณคดีที่ 1 (พระนครศรีอยุธยา: ขณะนั้น) ให้ดำเนินการขุดแต่งเพื่อการออกแบบบูรณะพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี การดำเนินการแล้วเสร็จลงด้วยดีตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาการจ้างเหมา ต่อมาในปีพ.ศ.2545 ผู้เขียนซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นนักโบราณคดีผู้ควบคุมการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ในฝ่ายของผู้รับจ้างก็ได้รับเชิญจากสถาบันราชภัฏเทพสตรี ลพบุรี ให้ไปบรรยายเรื่องตามหัวข้อที่ระบุไว้ข้างต้น จึงเห็นควรที่จะถ่ายทอดเนื้อหาดังกล่าวแก่สาธารณะเพื่อประโยชน์ทางวิชาการต่อไป รายละเอียดการอ้างอิงศึกษาเพิ่มเติมและตรวจสอบได้จากรายงานการขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ที่สำนักศิลปากร อ.เมือง จ.ลพบุรี
แผนผังเมืองละโว้( Plan du Palais de Louvo) เขียนโดย แบลแล็ง(Bellin) ค.ศ. 1764 (ขอขอบคุณแผนผังประกอบบทความจาก http://antiquemapsasia-meyerprints.blogspot.com/2009_02_01_archive.html เป็นอย่างยิ่ง- Merci beaucoup pour le Plan du Palais de Louvo)
ภาพร่างรูปด้าน(สันนิษฐาน)ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์(ขอขอบคุณกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม)


แผนผังพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ภายหลังการขุดแต่ง
สภาพรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ภายหลังการขุดแต่ง
-เชิงรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์

การขุดลอกมูลดินและเศษอิฐหักออกจากพื้นที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางด้านเหนือ ระยะห่างจากรากฐานพระที่นั่งประมาณ 5 เมตร พบพื้นลานพระราชฐานอยู่ลึกลงไปจากผิวดิน ประมาณ 30-40 เซนติเมตร พื้นที่ดังกล่าวถูกปูด้วยอิฐ ขนาด 28 x 14x 5 เซนติเมตร เหนืออิฐขึ้นไปจะมีพื้นปูนขาวเทราดทับอีกชั้นหนึ่งหรือไม่นั้น น่าสงสัยไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การพบชิ้นส่วนของแผ่นกระเบื้องอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดประมาณ 30 x 30 x 3 เซนติเมตร ปริมาณเล็กน้อยที่หลุม 9N 7W ทำให้นึกเปรียบเทียบถึงพื้นที่ระเบียงคตหรือพื้นลานประทักษิณที่วัดบางแห่งในเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งนิยมทำพื้นอิฐเหนือชั้นดินอัดก่อนจะปูด้วยแผ่นกระเบื้องอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใกล้เคียงกันอีกครั้งหนึ่ง แผ่นกระเบื้องอิฐชนิดนี้มีความแข็งแกร่ง ทนทาน และสวยงามมาก หากเคยถูกนำมาปูเรียงเป็นพื้นลานพระราชฐานในพระราชวังแห่งนี้มาก่อนก็น่าจะหลงเหลือร่องรอยหลักฐานมากกว่านี้ หรือ มิฉะนั้นก็อาจถูกรื้อไปใช้ประโยชน์จนหมดสิ้นแล้วก็ได้

เชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางด้านตะวันออก ถูกออกแบบให้เป็นถนนพื้นอิฐ เทปูนขาวซึ่งมีส่วนผสมของหินอ่อนขนาดต่างๆกัน (ตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-2.5 เซนติเมตร) ถนนสายนี้เริ่มต้นจากแนวประตูกำแพงด้านเหนือ ผ่านหน้าพระที่นั่งไปสู่ประตูพระราชฐานทางได้ โดยมีจุดหักเลี้ยวไปทางตะวันออกที่กึ่งกลางรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นทางสามแพร่งมุ่งสู่ประตูพระราชฐานทางตะวันออก

ถนนดังกล่าว กว้างประมาณ 4 เมตร ด้านตะวันออกถูกขุดเป็นรางระบายน้ำ แล้วทำแนวอิฐเตี้ยๆยกขึ้นเป็นขอบถนน ส่วนด้านตะวันตกมีแต่ขอบถนนเพียงอย่างเดียว

มีข้อถกเถียงพิจารณากันพอสมควรว่า พื้นถนนสายนี้เป็นของเดิมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา หรือจะถูกบูรณะขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากมีมูลดินทับถมเพียงบางๆ และใช้อิฐไม่สมบูรณ์มาปูเรียงแลแนวถนนลักษณะดังกล่าวมีร่องรอยอยู่ทั่วไปภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ข้อเสนอที่เห็นว่าแนวดังกล่าวน่าจะเป็นถนนของเดิมในสมัยอยุธยาพิจารณาจากส่วนผสมของปูนนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับพื้นปูนบนระเบียงพระที่นั่งและปูนสอกันซึมที่อ่างเก็บน้ำในพระราชฐานชั้นนอก

ที่หลุม 4N 1W (ด้านในของมุขที่ยื่นออกมาทางตะวันออก) พบแผ่นหินชนวนขนาดประมาณ 30x50x5 เซนติเมตร วางเป็นแนวจากตะวันตกไปตะวันออกอยู่ใต้พื้นถนน ปิดบนท่อน้ำดินเผาอีกครั้งหนึ่ง เข้าใจว่าด้านเหนือของมุขก็น่าจะมีแนวดังกล่าวเช่นกัน

บริเวณเชิงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ด้านใต้พบว่า พื้นพระราชฐานด้านนี้มีลักษณะเป็นลาน เทด้วยปูนผสมทรายหยาบและหินอ่อนก้อนเล็กๆ พื้นบางส่วนมีอิฐทรงปริมาตรปูทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่าจะสัมพันธ์กับรากฐานอาคารอย่างไร เนื่องจากมีสภาพไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก
เมื่อทดลองขุดลอกมูลดินต่อเนื่องไปทางใต้ กว้าง 50 เซนติเมตร ห่างออกมาจากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ประมาณ 10 เมตร (ตรงกับพื้นที่หลุมทดสอบชั้นดินทางโบราณคดี 1S 3W) พบว่ายังคงมีพื้นที่ปูนเทกว้างต่อออกไปประมาณ 10 เมตร แล้วจึงสิ้นสุดลงที่แนวชั้นอิฐกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร

หากพิจารณาจากหลักฐาน Plan du Palais de Louvo แล้ว แนวอิฐชุดนี้น่าจะเป็นรากฐานของกำแพงล้อมพระราชอุทยานขนาดเล็กด้านเหนือและใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระราชอุทยานดังกล่าวคงจะมีลักษณะเป็นสวนย่อมๆมีพื้นลาดพระบาทเทปูน สำหรับเสด็จฯลงสำราญพระราชหฤทัยเมื่อทรงปลูกพรรณไม้หอมพันธุ์หายากด้วยพระองค์เอง จากบันทึกของแชร์แวสประตูทางเข้าพระราชอุทยานทั้งสองฟากนั้น ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเยื้องกับประตูและบันไดของปีกพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทางเหนือและใต้เล็กน้อย

ในพื้นที่หลุม 3N 4W พบอ่างน้ำรูปสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 1x1 เมตร ขอบกรุอิฐ พื้นปูนอิฐฉาบปูนกันซึมแน่นหนา พบท่อดินเผาเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ที่ขอบอ่างด้านใต้ท่อดังกล่าวนี้อาจเป็นท่อส่งน้ำจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ต่อเข้าไปยังพระราชอุทยานเล็กด้านใต้ ด้านตะวันตกของอ่างมีหลุมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยอิฐตั้ง ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร แต่อาจจะลึกมากกว่านี้ก็ได้ (มีดินทับถมอยู่ข้างในช่องเล็กยากต่อการขุดติดตามร่องรอย)

ส่วนด้านเหนือบริเวณฐานระเบียงมีหลักฐานของการเซาะอิฐเป็นร่องกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 100 เซนติเมตร มุ่งตรงไปยังแผ่นหินชนวนกรุขอบลำราง แผ่นหินชนวนนี้เซาะด้านบนเป็นร่องรูปครึ่งวงกลม ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง (ครึ่งวงกลม) ประมาณ 2.5 เซนติเมตร เช่นเดียวกับเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อน้ำดินเผาด้านล่าง หลักฐานนี้อาจเป็นร่องรอยแนวของท่อโลหะสำริดที่ใช้ส่งน้ำจากลำรางไปยังอ่างน้ำและพระราชอุทยานใต้

ด้านตะวันตกของอ่างดังกล่าว เป็นบันไดอิฐขนาดประมาณ 60x100 เซนติเมตร รับกับบันไดด้านเหนือของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ซึ่งมีแผ่นหินแอนดีไซต์ปูอยู่บนขั้นบันได (8N 4W) บันไดด้านใต้นี้แต่เดิมก็น่าจะมีแผ่นหินแอนดีไซต์ปูทับอยู่ข้างบนเช่นกัน

-เขามอและหลักฐานระบบการทดน้ำ-จ่ายน้ำ
เมื่อการขุดแต่งพื้นที่รอบๆเชิงเขามอ ทางเหนือของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ซึ่งบันทึกของนิโคลาส แชร์แวส ระบุว่าเป็นสระน้ำลักษณะคล้ายถ้ำเล็กๆเสร็จสิ้นลง ได้พบแนวท่อน้ำดินเผาที่เชิงเขามอด้านเหนือ 2 แนว ทำมุมเฉียงกัน ท่อน้ำดังกล่าวมีต้นทางมาจากด้านเหนือ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทดน้ำเข้ามาใช้ภายในพระที่นั่ง สุทธาสวรรย์ ท่อน้ำทั้งสองแนวถูกฝังอยู่ใต้ดินมีอิฐตะแคง แท่งศิลาแลงและพื้นปูนลานพระราชฐานปูทับตามลำดับอย่างแน่นหนามั่นคง

ฐานโดยรอบรูปครึ่งวงกลมทางด้านเหนือเชิงเขามอ มีร่องรอยของการฝังท่อน้ำดินเผาปิดทับด้วยแผ่นอิฐปูนอน ท่อดินเผาดังกล่าว อาจเป็นเพียงท่อระบายน้ำออกจากจุดใดจุดหนึ่งของระเบียงหรือสระน้ำด้านใต้ของเขามอ ขณะที่ฝั่งทางใต้ของเชิงเขามอซึ่งอยู่บนระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ขุดพบลานอิฐขนาด 1.60x2.90 เมตร มีลำรางขนาดประมาณ 30 เซนติเมตรล้อมทั้งสี่ด้าน ที่มุมลำรางมีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40-50 เซนติเมตร รวม 4 หลุม หลักฐานที่พบนี้เป็นร่องรอยของสระน้ำหรืออ่างน้ำที่มีลักษณะคล้ายถ้ำเล็กๆ ในบันทึกของนิโคลาส แชร์แวส

หลุมทั้งสี่มุมของสระแห่งนี้ ก็น่าจะเป็นร่องรอยของหลุมเสากระโจมตามระบุในเอกสารเช่นกัน ใต้ช่องโค้งมุมแหลมด้านเหนือของสระน้ำหรืออ่างน้ำนี้ มีบ่อรูปรีหรือรูปกระเพาะหรือกะเปาะ มุมทางใต้ของบ่อทำเป็นรูปเหลี่ยมหรือมุขยื่นออกมา บ่อนี้ลึกประมาณ 70-80 เซนติเมตร ความกว้างใกล้เคียงกัน ด้านบนซ้ายและขวาเป็นท่อส่งน้ำให้เกิดการไหลเวียนขนาดต่างกัน บ่อและท่อดินเผานี้ยาปูนแน่นหนา

-การค้นพบสระน้ำ(อ่างน้ำใหญ่)
การขุดแต่งที่บริเวณหลุม 2N 5W, 2N 6W, 3N 5W, 3N 6W อันเป็นที่ตั้งขององค์ประกอบสถาปัตยกรรม ซึ่งจะเรียกในชั้นต้นตรงนี้ว่า “ฐานน้ำพุ” ทางด้านของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ นักโบราณคดีได้พบร่องรอยของสระน้ำหรือแอ่งน้ำ ขนาดประมาณ 2.90 x 2.90 เมตร มีลำรางล้อมทั้ง 4 ด้าน และที่มุมลำรางก็มีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 เซนติเมตร อยู่ทั้งสี่มุมด้วย ตรงจุดกึ่งกลางของสระหรือแอ่งน้ำ มีท่อโลหะสำริด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร วางแนวทะลุถึงระดับพื้นพระราชอุทยาน ซึ่งแต่เดิมเข้าใจว่า สระน้ำนี้เป็นร่องรอยของฐานน้ำพุ แต่เมื่อตรวจสอบจากหลักฐานของแชร์แวสโดยยึดจากการอ้างถึงสระน้ำด้านเหนือที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ และการยึดหลักความลงตัวขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมแล้ว สิ่งที่เรียกว่าฐานน้ำพุทางด้านใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั้น น่าจะเป็นสระน้ำหรืออ่างน้ำอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีหลุมเสากระโจมเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งด้วย

ส่วนท่อสำริดซึ่งวางเป็นแนวฉากกับพื้นสระน้ำนั้น ถูกตั้งข้อสงสัยว่า จะถูกวางใต้พื้นดินมาจากท่อน้ำดินเผาเชิงเขามอด้านเหนือขณะสร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยอีกอีกประการหนึ่งว่า ร่องรอยของสระน้ำทั้งด้านเหนือและด้านใต้ของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ที่ขุดพบ เป็นเพียงสระที่มีขนาดเล็กๆเท่านั้น (สระเหนือ 1.60 x 2.90 เมตร สระใต้ 2.90 x 2.90 เมตร) ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวของแชร์แวสที่ระบุว่า

“ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำใหญ่สี่สระบรรจุน้ำบริสุทธิ์ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน ภายใต้กระโจมซึ่งคลุมกั้น”

ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า สิ่งที่แชร์แวสระบุถึง คือ Les Bassins ซึ่งแม้จะแปลได้ทั้ง “สระน้ำ” หรือ “อ่างน้ำ” แต่โดยเจตนารมณ์แท้จริงแล้ว เขาต้องการจะกล่าวถึงอ่างน้ำขนาดใหญ่มากกว่า และหลักฐานที่ขุดพบก็สนับสนุนความคิดนี้ยิ่งกว่าอื่นใด
ด้วยเหตุนี้เพื่อให้การเรียกองค์ประกอบทางสภาปัตยกรรมดังกล่าว มีความเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลักฐานและสภาพความเป็นจริง ในชั้นนี้นักโบราณคดีจะเรียก “สระน้ำ” ทั้งสี่แห่งว่า “อ่างน้ำ” ต่อไป

การขุดค้นพื้นที่บริเวณหลุม 5N 2W ได้พบร่องรอยของลานอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ประมาณ 2.90 หรือ 3.00 x 2.90 หรือ 3.00 เมตร มีลำรางล้อมและมีหลุมเสากระโจมทั้งสี่มุมเช่นกัน ตรงกลางมีรูเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ลักษณะเป็นท่อสำริด ซึ่งทดสอบความลึกได้ใกล้เคียงกับท่อสำริดในอ่างน้ำด้านใต้ สิ่งที่พบนี้คงจะเป็นอย่างอื่นไปเสียไม่ได้ นอกจากอ่างน้ำของมุขด้านตะวันออกตามหลักฐานในบันทึกที่นิโคลาส แชร์แวสระบุไว้ ด้วยเหตุผลจากลักษณะและความคล้ายคลึงกันของหลักฐาน

การขุดพบอ่างน้ำจำนวน 3 สระ ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ในจุดที่รับกันขององค์ประกอบสถาปัตยกรรม คือ อ่างน้ำด้านเหนือคู่กับอ่างน้ำอ่างด้านใต้ และอ่างน้ำด้านตะวันออก เพราะฉะนั้นหากอาศัยหลักการเดียวกันอ่างน้ำแห่งที่ 4 ก็ควรจะอยู่ที่ชานระเบียงทางมุมทิศตะวันตกของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์(คือบริเวณของหลุม 5N 8W) แต่จากการสำรวจเบื้องต้นกลับไม่พบร่องรอยของอ่างน้ำ เมื่อตรวจสอบแผนผังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี ก็ได้พบจุดที่อยู่ห่างจากกำแพงคั่นพระราชฐานชั้นที่ 3 กับพระราชฐานฝ่ายใน ประมาณ 25 – 30 เมตร มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นอ่างน้ำแห่งที่ 4 แต่ก็ยังไม่ขอยืนยันมั่นใจเท่าใดนัก
มีข้อสังเกตประการหนึ่งว่า ขณะที่อ่างน้ำทิศตะวันออกและทิศใต้มีท่อน้ำสำริดเป็นองค์ประกอบสำคัญในการส่งผ่านน้ำมายังอ่างน้ำ ส่วนอ่างน้ำด้านตะวันออกเชิงเขามอมีท่อดินเผาขนาดใกล้เคียงกันเป็นตัวปล่อยน้ำออกมา การลดขนาดของท่อจ่ายน้ำให้เล็กลง ย่อมจะทำให้น้ำมีแรงดันเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะดันออกมาในแนวระนาบหรือดันขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ในขณะที่น้ำในอ่างด้านตะวันออกอาจถูกปล่อยออกมาในแนวระนาบเป็นสายธารไหลวนอยู่ภายในถ้ำเล็กใต้เขามอ น้ำบางส่วนอาจจะถึงถูกขึ้นไปบนเขามอด้วยอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วปล่อยให้ไหลลงมาเป็นน้ำตก ส่วนอ่างน้ำด้านตะวันออก ด้านใต้ และ อ่างน้ำด้านตะวันตกนั้น แรงดันของน้ำจะทำให้เกิดน้ำพุพุ่งกระจายขึ้นเป็นสาย หากมีวัตถุบังคับทิศทางอย่างถูกต้องถูกต้องเหมาะสมก็อาจจะทำให้กระแสน้ำที่พุงขึ้นกลายเป็นน้ำพุที่พร่างพรายสายน้ำออกไปรอบทิศอย่างงดงาม

คำให้การขุนหลวงหาวัด นอกจากจะกล่าวถึงการสร้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท (คือดุสิตสวรรย์ธัญมหาปราสาท) และพระที่นั่งสุธาสวรรย์ (สุทธาสวรรย์) แล้ว ยังกล่าวถึงน้ำพุอ่างแก้ว ซึ่งมี "น้ำดั้นน้ำกระดาษ" เป็นองค์ประกอบ

น้ำพุและอ่างแก้วนั้นมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัว แต่คำว่า “น้ำดั้น” กับ “น้ำกระดาษ” ดูเหมือนว่าอาจจะเลือนหายจากสำนึกรับรู้ทางวัฒนธรรมและพจนานุกรมฉบับปัจจุบันไปแล้ว
การอธิบายเพื่อทำความเข้าใจกับคำทั้งสองมิใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องอาศัยหลักการสังเกตและเชื่อมโยงหลักฐานทางโบราณคดีเข้าด้วยกันเหมาะสม

คำว่า “น้ำดั้น” หากมิได้หมายถึง ระบบการทดน้ำจ่ายน้ำ (ดั้น = มุดดั้นไป, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, หน้า 298) ไปตามท่อน้ำดินเผา ก็น่าจะหมายถึงน้ำพุที่ “ดั้น” ขึ้นจากอ่างน้ำหรือสระน้ำ

คำว่า “น้ำกระดาษ” นี้ ความจริงแล้วหลักฐานน่าจะบันทึกไว้ว่า “น้ำกระดาด” หรือ “น้ำดาด” มากกว่า เพราะอาจทำให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น หากเป็นเช่นนั้นแล้ว “น้ำกระดาษ” หรือ “น้ำกระดาด” หรือ “น้ำดาด” จะหมายถึงน้ำซึ่งไหลลงมาจากที่สูงได้หรือไม่ และที่สูงในความหมายที่เชื่อมโยงกับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มากที่สุดก็คือ เขามอ
น่าเสียดายที่คำว่า “ดาด” นั้น พจนานุกรมอธิบายว่าเป็นคำกริยา เช่น เอาวัตถุเช่นผ้าปิด ขึงให้ทั่วตอนเบื้องบน เช่น ดาดเพดาน ดาดหลังคา เมื่อเป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า ไม่ชัน เช่น หลังคาดาด เป็นต้น และหากยึดตามตำราแล้วการอธิบายว่า “น้ำดาด” หมายถึง น้ำซึ่งตกลงมาจากที่สูง เช่น เขามอ คงจะไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน

-หลักฐานในปีกอาคารเหนือ-ใต้
เมื่อการขุดแต่งปีกอาคารด้านเหนือ(พระปรัศว์ขวา)และปีกอาคารด้านใต้(พระปรัศว์ซ้าย)แล้วเสร็จ ได้ค้นพบอ่างน้ำขนาดประมาณ 1.00X1.50 เมตร กรุด้วยหินอ่อนหนาประมาณ 4-5 เซนติเมตรทั้งสองด้าน

อ่างหินอ่อนนี้มีลำรางส่งน้ำจ่ายน้ำ ซึ่งอาจโยงใยมาจากอ่างน้ำเชิงเขามอด้านเหนือก็ได้ เนื่องจากได้พบทั้งแนวท่อน้ำดินเผาและแนวลำรางเลาะมาตามกำแพงแก้วโดยตลอด (จะได้กล่าวถึงข้างหน้า)

หลักฐานเอกสารหลายเล่ม อาทิ พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม ระบุถึงเทคนิคการเก็บกักน้ำในอ่างว่า ต้อง “กรุศิลายาปูนอันดี” (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 82, พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม,2537 หน้า 247 ) หรือ “ตรุศิลายาปูนเป็นอันดี” (พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับพระพนรัตน์, 2535,หน้า 214) การกรุศิลายาปูนนั้น อาจเป็นเทคนิคที่รู้จักกันดีของช่างไทย แต่การใช้หินอ่อนมาสร้างอ่างอาบน้ำ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก

เอกสารสำคัญร่วมสมัย คือ จดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 ของบางหลวงกีย์ ตาชารต์ ระบุว่า โรงสวด Notre- Dame de Laurtte ในบ้านของคอนสแตนติน ฟอลคอน มีการนำหินอ่อน “มาใช้อย่างไม่อั้น” แต่หินอ่อนนั้นเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีค่าและมีราคาแพงมากในชมพูทวีป จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกัน การสร้างอ่างน้ำกรุหินอ่อนยาปูนกันซึมอย่างดีในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา

เหตุใดนักโบราณคดีจึงมิได้ระบุว่าอ่างน้ำภายในพระปรัศว์ทั้งสองด้านเป็นอ่างน้ำจำนวน 2 ใน 4 อ่างที่แชร์แวสระบุ ในที่นี้ยังไม่สามารถหาคำตอบที่เหมาะสมมาอธิบายได้ ทั้งๆที่เป็นจุดที่ไม่ควรจะมองข้าม
ทางด้านใต้ของพระปรัศว์ซ้ายมีบันไดปูด้วยแผ่นหินแอนดีไซต์รับกับบันไดด้านเหนือของพระปรัศว์ขวา ซึ่งดูเหมือนว่าแผ่นหินแอนดีไซต์บางชิ้นจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปจำนวนหนึ่งโดยรู้เท่าไม่ถึงการแล้วก่อนการขุดแต่ง

นอกจากแผ่นหินแอนดีไซต์จะถูกนำมาปูที่ขั้นบันไดแล้ว ยังพบว่ามีร่องรอยการนำหินชนิดดังกล่าว มาปูบนพื้นด้านตะวันตกและด้านใต้ของพระปรัศว์ขวา รวม 4 จุด และปูบนพื้นด้านเหนือและตะวันตกของพระปรัศว์ซ้าย รวม 4จุดเช่นกัน แต่ร่องรอยของการปูหินบางจุดถูกรื้อไปจนหมดสิ้นแล้ว จุดดังกล่าว คือ ด้านเหนือพระปรัศว์ซ้าย(หลุม 3N 7W) ซึ่งได้พบร่องรอยของการถมทรายยึดและเศษกระเบื้องเคลือบมุงหลังคาแบบเหลืองจักรพรรดิถูกฝังไว้ด้านล่าง และในบริเวณดังกล่าวยังพบการทำฐานเขียงและลวดบัวคว่ำอย่างชัดเจนด้วย

-สภาพระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์และหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
การขุดแต่งระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ทำให้ได้พบหลักฐานลำรางกว้างประมาณ 30-40 เซนติเมตร วางแนวเลาะกำแพงแก้วของพระที่นั่งทั้งสามด้าน (เหนือ, ตะวันออก, ใต้) ด้านนอกของลำรางจะมีท่อน้ำดินเผาถูกฝังโผล่ปลายท่อขึ้นมาให้เห็น และตลอดแนวลำรางจะมีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30-40 เซนติเมตร เรียงรายอยู่เป็นระยะๆ

ในชั้นต้นนี้สันนิษฐานว่า ลำรางอาจเป็นช่องปล่อยให้น้ำไหลผ่านไปหล่อเลี้ยงอ่างน้ำในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แต่หลุมเสาที่อยู่ตามแนวลำรางนั้น หากเป็นหลุมเสากระโจมก็อาจจะทำให้การไหลเวียนของน้ำไม่สะดวกเท่าที่ควรและมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ เมื่อขุดแต่งบริเวณหลุม 3N 8W และ8N 8W เสร็จสิ้นลง ได้พบหลักฐานแผ่นอิฐปิดเหนือปากลำราง ซึ่งทำเป็นแนวต่อเนื่องมาจากด้านตะวันออก ลำรางที่ขุดพบนี้น่าจะสัมพันธ์กับท่อน้ำดินเผาทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ของรากฐานท้องพระโรง (หรือด้านใต้ของขวาและด้านเหนือของพระปรัศว์ซ้าย)

ท่อน้ำดินเผาที่พบก็มีทั้งท่อน้ำทิ้งและท่อน้ำดี ท่อน้ำทิ้งทำหน้าที่ระบายน้ำฝนออกจากระเบียงพระที่นั่งลงสู่ลานด้านล่าง โดยโคนท่อและปลายท่อจะเป็นอิสระ ไม่เชื่อมกับท่ออื่น ส่วนท่อน้ำดีซึ่งพบด้านใต้ของพระปรัศว์ขวาและด้านเหนือของพระปรัศว์ซ้ายถูกฝังไว้อย่างมั่นคงใต้พื้นอิฐ มีข้องอและข้อต่อเป็นตัวบังคับทิศทางของท่อ สภาพของท่อทั้งสองด้านถูกฝังในช่องลักษณะคล้ายลำราง (ดูแผนผังหลังการขุดแต่ง) จึงอาจเป็นไปได้ว่าเดิมนั้น แนวลำรางทุกด้านของระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะมีท่อน้ำดินเผาฝังอยู่โดยตลอด เพื่อเป็นตัวจ่ายน้ำหล่อเลี้ยงอ่างน้ำทั้ง 4 แห่งของท้องพระโรง รวมไปถึงอ่างน้ำในพระปรัศว์ซ้าย-ขวาด้วย ท่อน้ำดินเผาเหล่านี้ได้รับน้ำมาจากแหล่งจ่ายน้ำเชิงเขามอ ซึ่งรับมาจากอ่างแก้วด้านตะวันออกของพระราชฐานชั้นนอก ส่วนท่อน้ำดินเผาทางด้านตะวันออกของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ อาจเป็นท่อส่งน้ำออกไปหล่อเลี้ยงพระราชอุทยานในพระราชฐานชั้นใน

พื้นระเบียงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ด้านเหนือบริเวณหลุม 7N 4W และใกล้เคียง มีหลักฐานการปูอิฐเฉียงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนพื้นอิฐด้านอื่นนั้นกลับปูขนานกับแนวรากฐานอาคารตามปกติ

เมื่อขุดลอกลึกลงไปในพื้นและร่องเอ็นไปเพียงเล็กน้อย ก็พบทรายหยาบอันเป็นทรายอัดรับน้ำหนักและกันการทรุดพังของโครงสร้าง ในชั้นแรกนักโบราณคดีตั้งสมมติฐานว่า อาจเป็นแนวร่องวางท่อน้ำดินเผา
ทางด้านใต้ของอ่างน้ำด้านเหนือ และด้านเหนือของอ่างน้ำด้านใต้ตรงกับช่องประตูกลางท้องพระโรง (ด้านใต้เขามอ) พบแนวพื้นปูนขาวหนา 2 แนวคั่นด้วยร่องตื้นๆ แต่เดิมเข้าใจว่าเป็นทางน้ำที่สัมพันธ์กับอ่างน้ำทั้งสอง แต่เมื่อการขุดแต่งเสร็จสิ้นลงก็เห็นว่า แนวคิดดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลที่เหมาะสมรองรับ

-ท้องพระโรงพระที่นั่งสุทธาสวรรย์
การขุดแต่งพื้นท้องพระโรง พบหลักฐานการปูพื้นอิฐขนาดเดียวกับอิฐที่ใช้ก่อองค์ประกอบส่วนอื่น และเมื่อได้ขุดตรวจชั้นดินในหลุม5N 4W อันเป็นแอ่งใหญ่ที่ถูกขุดเจาะเอาทรายอัดออกไป ได้พบว่าลึกลงไปพอสมควร ยังคงเป็นชั้นทรายอัดอยู่เช่นเดิม

-สรุป
การพบหลักฐานร่องรอยขององค์ประกอบโบราณสถานภายหลังการขุดแต่ง นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อนโยบายและการวางแผนอนุรักษ์และพัฒนารากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ให้ดำรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ สถาปัตยกรรมและโบราณคดีต่อไปในอนาคต แม้การขุดแต่งนี้จะตอบคำถามของนักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้องได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาจมีหลักฐานบางอย่างหลุดรอดสายตาไปบ้าง และหลักฐานบางอย่างอาจยังคงถูกฝังไว้อยู่ใต้ฐานรากของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์และพื้นที่ใกล้เคียง (อาทิแนวท่อน้ำสำริดและแนวท่อน้ำดินเผา เป็นต้น) เนื่องจากการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2540 กำหนดเป้าหมายพื้นที่ขุดแต่งไว้เพียง 800 ตารางเมตรเศษ ขณะที่หลักฐานเอกสารในอดีตบันทึกขนาดดั้งเดิมของรากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์และหมู่ตำหนักบริวารขยายออกไปมากกว่า 1 เท่าตัว ดังนั้น เชื่อว่าในโอกาสที่เหมาะสมแล้วคงจะได้มีการดำเนินงานอนุรักษ์และพัฒนารากฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์อย่างเต็มรูปแบบต่อไป


โบราณวัตถุสำคัญบางส่วนที่พบจากการขุดแต่ง

ลายเส้นชิ้นส่วนกระเบื้องเชิงชายเคลือบสีเหลืองลายเทพนม

ลายเส้นกระเบื้องเชิงชายลายกระจัง

แผ่นป้ายหินระบุข้อหาลักทรัพย์สิ่งของเมื่อพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ถูกแปลงเป็นเรือนจำสมัยรัชกาลที่4-5



อ่างอาบน้ำสาธารณะแบบโรมัน (ขอขอบคุณข้อมูลจากwww.google.com) กรุขอบด้วยหินอ่อน

ลักษณะหินที่กรุขอบบ่อและรางน้ำคล้ายที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์(ขอขอบคุณข้อมูลจากwww.google.com)

นอกจากนี้ยังปูพื้นด้วยแผ่นหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเช่นกัน(ขอขอบคุณข้อมูลจากwww.google.com)