จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความเรียงเรื่อง "ฮั้วดีที่สุด" ของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชนชาติกวางสี

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร

เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2553 ผู้เขียนมอบหมายให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวจีนจากมหาวิทยาลัยแห่งชนชาติกวางสี มณฑลกวางสี ที่มาศึกษาในภาควิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับ “มหาขันทีเจิ้งเหอ” เพื่อนำเสนอหน้าชั้นเรียนและทำบันทึกเป็นความเรียงย่อๆ เผยแพร่ในเวบบล็อกจัดการความรู้ (KM Web Blog) วิชา ธุรกิจการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว (HT306) ของแต่ละคน

นักศึกษาจีนคนหนึ่งชื่อ น.ส.โต้หยินผิง เสนอความเรียง ชื่อ “ฮั้ว ดีที่สุด” โดยวิเคราะห์ความหมายรากศัพท์ที่ผสมผสานอยู่ในชื่อของ “มหาขันทีเจิ้งเหอ” เชื่อมโยงกับคำสอนในลัทธิขงจื้อ ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า คำว่า “เหอ” ในชื่อของ “เจิ้งเหอ” ตรงกับเสียง “ ฮั้ว” ในภาษาแต้จิ๋ว แปลว่า “การสมานฉันท์” ซึ่งตรงกับอุดมการณ์ 1 ใน 5 ของการพัฒนาประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ยังแปลว่า “ปาก” หมายถึง “การมีสิทธิ์ที่จะพูด” ส่วนคำว่า “เจิ้ง” มีเสียงพ้องกับชื่อคัมภีร์แห่งทางสายกลาง(โจงยง)

นางสาวโต้หยินผิงสรุปว่า “โจง” แปลว่า ธรรมชาติแห่งชีวิต เมื่อดำรงอยู่อย่างถูกกาลเทศะก็เรียกว่า เหอ แปลว่า สมานฉันท์กลมกลืน

โจง คือ ฐานสำคัญของฟ้าดิน เหอ คือ หลักพึงปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติจนกลมกลืนกับธรรมชาติเป็นอย่างดีแล้ว ฟ้าและดินก็จะอยู่ในตำแหน่งของตน สรรพสิ่งก็จะเจริญเติบโตตามธรรมชาติ

แนวคิดในความเรียงเรื่อง “ฮั้วดีที่สุด” นี้ นอกจากจะยึดหลักความสมดุลในธรรมชาติและวัฒนธรรมแบบ “หยิน-หยาง” แล้ว ยังสอดคล้องกับหลักพระพุทธศาสนาและศาสตร์แห่งลมและฟ้าในตำราฮวงจุ้ยด้วย

ในขณะที่สังคมจีนถือว่าการ “ฮั้ว” กัน เป็นเรื่องดีทั้งเชิงสังคมและเชิงธุรกิจ สังคมการเมืองไทยกลับต่อต้านการฮั้วทั้งเชิงการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม โดยถือว่าเป็นสิ่งเลวร้าย

ดังนั้น ท่ามกลาง “ความไม่นิ่ง”ทางการเมืองของไทย และท่ามกลาวการกู่ก้องร้องหาความปรองดองและสมานฉันท์ของคนในชาติกันอยู่ปาวๆของนักการเมืองทั้ง 3 ฝ่าย (รัฐบาล เหลืองและแดง) หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก้าวออกมาจาก “จุดปะทะวงใน” และมองย้อนกลับเข้าไปในสมรภูมิแห่งความขัดแย้งทางความคิดและการเมืองเสียบ้างสักระยะหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้ได้คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างความสมานฉันท์ที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงขึ้นเสียทีในบ้านเมืองเรา ตามแนวคิดของการ “ฮั้ว” กัน ดังเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วในสังคมจีน

“.....อย่าดึงดื้อ ถือเด่นเป็นคนพาลในสันดานจงเป็นชนคนดี...”[1]

เนื้อหาในความเรียงสั้นๆ เรื่อง “ฮั้วดีที่สุด” ของนางสาวโต้หยินผิง

ขงจื๊อกล่าวว่า "ประโยชน์แห่งนิติธรรมเนียนนั้น ให้ถือหลักแห่งการฮั้ว(สมานฉันท์) เป็นสำคัญ" (จากวาทวิจารณ์ขงจื้อ หมวด ๑) โดยนับแต่ยุคขงจื้อเป็นต้นมา ชาวจีนก็ได้ให้ความหมายของคำว่า ”和”หรือ“ ฮั้ว”(อ่านเป็นเสียงแต้จี๋ว)ในความหมายที่ดี และคำว่า “和谐”ซึ่งหมายถึง การสมานฉันท์และความกลมกลืนก็ได้กลายเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของชาวจีน ปัจจุบัน “การสร้างสังคมแห่งความสมานฉันท์ในระบบสังคมนิยม ” ยังถือเป็นหนึ่งในห้าแห่งการปฏิบัติเพื่อยกระดับการบริหารประเทศโดยทั่วหน้าอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย

มีผู้รู้วิเคราะห์ คำว่า “和 -ฮั๊ว ” ประกอบด้วยคำว่า “ต้นข้าว ” และ “ปาก ” หมายความว่า “ทุกๆคนมีอันจะกิน ” ส่วนคำว่า “ 谐” ประกอบด้วยคำว่า “พูด ”และ “ทั้งหลาย ” หมายความว่า “ท่านทั้งหลายล้วนมีสิทธิ์พูด ” ซึ่งเป็นการอธิบายที่สร้างสรรค์มาก แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่คนเราใฝ่ฝันและพยายามแสวงหานั้น คือ สภาพสังคมสมานฉันท์นั่นเอง

“โจงยง ” หรือ “คำภีร์แห่งทางสายกลาง ” กล่าวไว้ว่า “ก่อนการปรากฏแห่งอารมณ์ ได้แก่ ปิติยินดี โมโหโทโส โศกเศร้าและสุขสบายนั้น โจง ( แปลว่า ธรรมชาติแห่งชีวิต) เมื่อปรากฏได้อย่างเหมาะสมถูกกาลเทศะ เรียกว่า เหอ (แปลว่า สมานฉันท์กลมกลืน) โจง คือ ฐานสำคัญของฟ้าดิน เหอ คือ หลักการซึ่งทุกชีวิตพึงปฏิบัติ เมื่อสามารถปฏิบัติจนบรรลุถึงขึ้นสมัครสมานกลมกลืนกับธรรมชาติเป็นอย่างดีแล้ว ฟ้าและดินต่างก็จะอยู่ในตำแหน่งของตน สรรพสิ่งก็จะเจริญเติบโตตามธรรมชาติ” การให้อารมณ์ทั้งสี่ดังกล่าวปรากฏให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อมอย่างลงตัว ถือว่าเป็นการให้ความเคารพต่อกฎแห่งชีวิตทั้งปวง ทั้งยังเป็นการให้ความเคารพต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมด้วย

คำผสมที่ประกอบด้วยคำว่า “เหอ ” มีจำนวนมากเพื่อแสดงความหมายที่ดี เช่น สันติปรองดองมีความสุข สนิทสนมกลมเกลียว ท่าทีอ่อนโยนสุขภาพอ่อนโยน เมตตาและอ่อนโยน เหมาะสมได้สัดส่วนและความอบอุ่น เป็นต้น

“和 ”ในภาษาแต้จิ๋วอ่านว่า “ฮั้ว ”โดยไม่ทราบว่ามีการนำมาใช้ในภาษาไทยเมื่อใด พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้คำนิยาม คำว่า“ฮั้ว ” ดังนี้ ...................
ส่วนในเวบไชต์ภาษาไทยอธิบายคำ “ฮั้ว” ไว้ว่า การฮั้ว คือ การทำข้อตกลงในทางลับระหว่างบริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไป ที่ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกันหรือมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ทั้งสองบริษัทได้ประโยชน์มากกว่าบริษัทอื่น ๆ หรือมากกว่าที่ควรจะได้รับ การฮั้วกันเกิดขึ้นในธุรกิจทุกระบบไม่ว่าเล็กหรือใหญ่

การอ้างอิง
[1] เนื้อร้องตอนหนึ่งในเพลง “มาลัยใบจันทร์” เนื้อร้องและทำนองโดย รอ.พิเศษ สังข์สุวรรณ อดีตศิลปินนักแต่งเพลง และผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ในทีมงานของท่านมุ้ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น